ปิติญาดานั่งทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ด้วยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อสินค้าต่างประเทศ หญิงสาวเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลอารายานนท์ ครอบครัวเธอประกอบธุรกิจด้านพลังงานพร้อมให้เข้าไปบริหารได้ทุกเมื่อ แต่หญิงสาวกลับมองว่าตัวเองยังขาดความสามารถที่จะแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ ทั้งเรื่องงานและเรื่องบุคลากรนั่นไว้บนบ่า
พอจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจึงขอบิดาออกมาทำงานหาประสบการณ์จากบริษัทภายนอกก่อน พร้อมๆ กับเรียนปริญญาโทด้านบริหารควบคู่กันไปด้วย ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังลงตัว ว่างจากงานบริษัทที่ทำงานอยู่ก็เข้าไปศึกษางานบริษัทของครอบครัว และเธอก็ได้เปรยกับบิดาแล้วว่าอีกสองสามเดือนข้างหน้าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทให้เต็มตัว เสียงเคาะประตูห้องทำงานที่ดังขึ้นทำให้ปิติญาดาหยุดความคิดไว้ แล้วเหลือบหันไปมองนิดหน่อยก็เห็นเลขาถือแฟ้มเข้ามา แต่เธอยังไม่มีเวลาจะพูดด้วยเพราะติดสายลูกค้าคนสำคัญอยู่ อันที่จริงสร้อยสุดาจะวางแฟ้มไว้ แล้วกลับออกไปก็ยังได้ แต่หญิงสาวมีเรื่องจะพูดกับผู้จัดการที่เธอรักและเคารพคนนี้ เมื่อเห็นว่าปิติญาดาวางสายไปแล้ว เลขาสาวจึงเอ่ยขึ้น “เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะพี่น้ำมนต์” แฟ้มสีดำถูกยื่นมาให้คือเอกสารสำคัญเรื่องการนำเข้าสินค้าที่ต้องให้ปิติญาดาเซ็นรับทราบ “ขอบใจจ้ะน้องสร้อย” เสียงอบอุ่นเอ่ยบอก ปิติญาดาเป็นเจ้านายที่ไม่ดุเดือดแต่ไม่อ่อนไหว ยอมทุกอย่างเสมอไป หญิงสาวเรียนรู้จากการทำงานที่นี่ว่าพนักงานแต่ละคนนิสัยเป็นอย่างไร บางคนต้องให้คอยบอก คอยสอน คอยจับจ้องถึงจะทำงาน แต่บางคนแทบไม่ต้องพูดก็เข้าใจหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง หนึ่งในกลุ่มคนอย่างหลังนั่นคือเลขาของเธอคนนี้ ความที่เธอเป็นหญิงสาวรุ่นใหม่ไฟแรง การก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการแผนกทั้งๆ ที่อายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ ทำให้พนักงานเก่าบางคนก็เขม่นไม่ชอบขี้หน้าที่อยู่ๆ เธอก็กลายมาเป็นเจ้านายพวกเขา ดีมาจากไหนคนเหล่านั้นก็ไม่เปิดใจ แรกๆ หญิงสาวก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แต่เธอก็ค่อยๆ ปรับตัว จนในที่สุดสถานการณ์อึมครึมก็ผ่านไปได้ “พี่น้ำมนต์จะลาออกจริงๆ เหรอคะ” คำถามของสร้อยสุดา ทำให้ปิติญาดาสะดุดนิดหน่อย เพราะเรื่องนี้เธอกำชับกับฝ่ายบุคคลไปแล้วว่าอย่าพึ่งบอกใครจนกว่าจะถึงเวลา ตอนนี้จึงเฉไฉไปก่อน “เปล่านี่...สร้อยรู้เรื่องนี้มาจากไหน” “ก็...เพื่อนสร้อยที่ฝ่ายบุคคลบอก” ได้ยินแบบนี้ปิติญาดาถึงกับส่ายหน้าให้ทันที ก่อนจะวางมือจากงานที่ทำพร้อมถอนหายใจออกมาดังเฮือก แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเลขาของเธอ “เฮ้อ! คนที่นี่ บอกให้ปิดเป็นความลับแท้ๆ แต่กลับปิดไม่ได้ซะอย่างนั้น” เรื่องที่สร้อยสุดารู้เรื่องนี้นั้น ปิติญาดาเดาเอาไว้แล้วว่าต้องมีสักวันที่ความลับจะรั่วไหลถึงหูเลขาคนสนิท เพราะในแผนกบุคคลมีเพื่อนของสร้อยสุดาอยู่ทั้งคนนี่นา แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงขนาดนี้เท่านั้นเอง “ตกลงนี่คือเรื่องจริงเหรอคะ” ขณะพูดสร้อยสุดาก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “อื้อ...จริง” “แล้วพี่น้ำมนต์จะไปทำงานที่ไหน เขาซื้อตัวพี่ไปเหรอ” “เปล่า...พี่จะกลับไปทำงานกับที่บ้าน” หญิงสาวเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ให้สร้อยไปด้วยนะ ถ้าพี่ไม่อยู่ที่นี่ หนูก็ไม่อยากอยู่” เหตุผลที่สร้อยสุดาพูดออกไปแบบนี้ เพราะคนที่รับเธอเข้ามาทำงานทั้งๆ ที่เป็นนักศึกษาพึ่งจบไม่มีประสบการณ์พ่วงท้ายสวยๆ เหมือนคนอื่นคือหญิงสาวคนตรงหน้านี้ ทำให้สร้อยสุดาฝากผีฝากไข้ไปด้วยตลอดนั่นเอง เรียกได้ว่าปิติญาดาไปไหน เธอก็จะขอไปด้วย แต่คนฟังออกแนวอ่อนใจ เพราะบางครั้งสร้อยสุดาก็ดูโตขึ้น แต่บางครั้งก็ยังงอแงเหมือนเด็ก อย่างเช่นตอนนี้เป็นต้น “สร้อย! อย่าพูดแบบนี้สิ” “ก็จริงนี่นา พี่น้ำมนต์เป็นคนรับหนูเข้ามาทำงานเอง แล้วอยู่ๆ จะไม่อยู่ที่นี่แล้วก็พลอยทำให้รู้สึกหวิวๆ” เลขาสาวสวยก้มหน้าก้มตา ออกแนวสะอื้นในอก “คนเราก็มีเส้นทางเดินของตัวเองซึ่งตอนนี้ถึงคิวของพี่แล้ว สร้อยเองก็เหมือนกัน อยู่ที่นี่พี่ก็เห็นว่าเรามีความสุข สนุกกับงานมากไม่ใช่เหรอ” “นั่นเพราะมีพี่น้ำมนต์อยู่ด้วย” ปิติญาดาพอจะเข้าใจความรู้สึกของสร้อยสุดา แต่การที่เราจะเอาชีวิตไปผูกไว้กับอีกคนก็เหมือนจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว คนเราก็ต้องยืนได้ด้วยล้ำแข็งสิ “อีกอย่างสร้อยกลัวว่าเจ้านายใหม่ที่จะมาแทนที่พี่น้ำมนต์ เขาจะไม่ดีเท่าพี่” “คนเราไม่เหมือนกันนะสร้อย ลองคิดดูนะคนที่มาใหม่อาจจะดีกว่าพี่ก็ได้ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่าพึ่งไปตั้งแง่กันตั้งแต่ยังไม่ได้เจอหน้าหรือรู้ว่าเขาเป็นคนยังไงสิ” คำพูดแบบพี่สอนน้องของ ปิติญาดานั้น สร้อยสุดาเข้าใจจึงพยักหน้าให้ ทำเอาคนพูดพลอยโล่งอก “ค่ะ...สร้อยจะจำไว้ แต่ถึงยังไงสร้อยก็อยากไปทำงานกับพี่น้ำมนต์อยู่ดี” โล่งใจยังไม่ถึงนาที ปิติญาดาก็ตีหน้ายุ่งเป็นยุงตีกันกับบทดื้อรันของสร้อยสุดา “เอางี้นะ ถ้าสร้อยมีปัญหาเรื่องงานหรือเจ้านายใหม่ โทรหาพี่ได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้ามางี่เง่าใส่น้องพี่มากนัก เดี๋ยวพี่จัดการให้หมอบเลย” คำพูดพร้อมสีหน้าขึงขัง บ่งบอกว่าเอาจริงของปิติญาดาทำให้สร้อยสุดายิ้มออกในที่สุด แต่น้ำตาก็พาลร่วง เมื่อคิดว่าอีกไม่กี่เดือน เธอจะไม่ได้ทำงานร่วมเจ้านายคนนี้อีกแล้ว อาการร้องไห้เป็นหนักเข้าจนร่างบางไหวโยนไปมาตามแรงสะอื้อไห้ที่มีอย่างต่อเนื่อง ปิติญาดาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่ เดินไปกอดแล้วปลอบเบาๆ “พี่ไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อยสร้อย ถ้าคิดถึงก็นัดเจอกันได้นี่ ใช่ไหม” “ค่ะ” สร้อยสุดาขานรับเสียงสั่น เพราะเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นว่าต่อให้เธอรั้นจะตามปิติญาดาไปทำงานด้วยมากแค่ไหนก็คงทำไม่ได้แน่ สู้เธอตั้งใจทำงานอยู่ที่นี่ เลื่อนตำแหน่งให้มั่นคงขึ้น ถึงตอนนั้นคนแรกที่รับเธอเข้ามาทำงานต้องดีใจเป็นแน่เมื่อได้เวลาสามหนุ่มก็มารับคนรักตามคำสั่ง วันนี้พวกเขาเป็นเหมือนคนนอก เพราะสาวๆ อยากคุยกันตามประสาผู้หญิง ส่วนผู้ชายตามสบายเหมือนกัน ขณะนั่งรถกลับบ้านปิติญาดาหันมามองหน้าคณินคล้ายมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดจนเขาต้องถามขึ้น“มีอะไรจะคุยกับพี่หรือเปล่าคะ”“อืม...ไม่มีค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ แต่คณินก็ยังถามย้ำ“แน่ใจนะ”“ค่ะ” ปิติญาดาเอ่ยรับ จะให้บอกเขาได้ยังไงว่าเธอรอให้เขาคุกเข่าขอแต่งงานอยู่ ขืนพูดไปแบบนั้นคณินได้หัวเราะแล้วหาว่าเธอเพี้ยนแน่ๆ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้พี่คิงส์ไปไหนมาคะ”“แวะไปหาเพื่อนเก่ามาครับ ไปบอกเขาว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน”“เหรอคะ...แล้วหลังแต่งงานเราจะไปฮันนีมูนที่ไหนดี” หญิงสาวเอ่ยชักแม่น้ำทั้งโลกมาพูดก่อนที่จะพูดเรื่องที่กำลังคิด“พี่ให้น้ำมนต์เลือก”“น้ำมนต์อยากไปสวิชเซอร์แลนด์”“ได้” คณินรับ
“คุณพูดอะไร บัวไม่เข้าใจ”“ไม่ต้องห่วงสเต็กจานนี้ไม่มียาแลนเนจนั่นหรอก”“คิงส์!” คำตอบของคณินทำให้กิ่งดาวนั่งนิ่ง ไม่กล้าแม้จะหายใจด้วยซ้ำ เหงื่อมากมายแตกพลั่กใบหน้าซีดเผือก นั่งขดตัวหลบหน้าเขา“จำไว้ ว่าผมรู้ทุกอย่าง อย่าแม้แต่จะคิดทำร้ายคนที่ผมรักอีก เพราะครั้งต่อไปผมคงไม่น่านั่งคุยกับคุณอยู่แบบนี้”“คิงส์ บัวขะ…” คำขอโทษของกิ่งดาวหายเข้าไปในลำคอ เมื่อถูกคณินเอ่ยขัดขึ้น“ผมฆ่าคนได้โดยไม่ต้องใช้ยาพิษให้โง่ หวังว่าคุณจะไม่ใช่คนนั้น” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากบ้านกิ่งดาวทันที เจ้าของบ้านนั่งหัวใจเต้นรัวเพราะความกลัวเข้ามากุมหัวใจเธอเสียแล้ว ก่อนจะเริ่มอาการกระสับกระส่ายวิตกจริต มองซ้ายมองขวาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านกิ่งดาวขึ้นไปบนห้องนอนแล้วปิดประตูใส่กลอนแน่นหนา ก่อนจะควานหายานอนหลับมากินหลายสิบเม็ด คิดแต่เพียงว่าเธอต้องนอน เธอต้องหลับจะได้ไม่ต้องคิดมาก ตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะผ่านไปได้ เธอจ
คณินนั่งเฝ้าปิติญาดาในห้องพักฟื้นไม่ยอมลุกไปไหน ชายหนุ่มรั้งมือเธอมากุมไว้ก่อนจะจรดจมูกโด่งลงไปบนหนังมือนุ่มตรงหน้าหนักๆ หมอบอกว่าเธอปลอดภัยแล้วแต่เขายังไม่เชื่อจนกว่าปิติญาดาจะได้สติ โทษตัวเองว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขา ถ้าดูแลเธอมากกว่านี้กิ่งดาวก็คงไม่สามารถวางยาพิษได้“พี่ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขอโทษคนบนเตียงคนไข้ ซึ่งขณะนั้นปิติญาดาก็ค่อยๆ ขยับตัว หญิงสาวลืมตาขึ้นหลังจากนอนยาวมานานหลายชั่วโมง พอเห็นหน้าคณินก็ยิ้มให้“พี่คิงส์”“ฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ปวดหัว ปวดท้อง อยากอาเจียนอีกไหม” คณินถามแบบไม่รอให้คนฟังได้มีเวลาตอบ คนฟังยิ้มให้เขาเพราะรู้ว่าเธอทำให้คณินห่วงเข้าให้อีกแล้ว“ไม่แล้วค่ะ” ปิติญาดาส่ายหน้าปฏิเสธ “แล้วนี่น้ำมนต์เป็นอะไรคะ”“หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษ” ชายหนุ่มขอโกหกสักครั้ง เพราะไม่อยากให้ปิติญาดารู้ว่าความจริงคืออะไร ให้เธอเข้าใจแบบนี้ก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องกิ่งดาวที่หนีความผิดกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วนั้นเขาขอจัดการเอง
“อย่าพึ่งทานค่ะ” แต่เหมือนป้าชื่นจะมาช้าไปหนึ่งก้าว เพราะจังหวะนั้นปิติญาดาก็ถูกกิ่งดาวคะยั้นคะยอให้กินสเต็กเข้าไปแล้วหลายคำ“มีอะไรจ๊ะป้า” ปิติญาดาหันไปมองหน้าป้าชื่นซึ่งบ่งบอกว่าตกอกตกใจมาก“แมว แมวข้างบ้านมันตาย”“ก็แค่แมวตายอย่าแตกตื่นไปนักเลยป้าชื่น” กิ่งดาวเอ่ยเหมือนไม่พอใจที่ป้าชื่นเอะอะโวยวาย พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของปิติญาดา อีกนิดเดียวเท่านั้นแผนเธอก็จะสำเร็จแล้ว“แต่ข้างๆ แมวมีจานสเต็กที่คุณบัวเธอทำวางอยู่ด้วย” ได้ยินแบบนั้นปิติญาดาถึงกับหันมามองหน้ากิ่งดาวทันที“ก็ตอนอยู่ในครัวแมวมันมาร้องอยู่ข้างๆ ฉันสงสารเลยให้สเต็กกิน” หัวใจของกิ่งดาวเต้นรัว พยายามเร่งเวลาให้ยาพิษออกฤทธิ์เร็วๆ และก็จริงอย่างที่เธอต้องการ ส้อมในมือของปิติญาดาร่วงลงพื้น หญิงสาวตัวง้องุ้มเป็นกุ้งกุมหน้าท้องแน่นเพราะรู้สึกเจ็บขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ ลำคอแห้งผาก เหงื่อมากมายผุดขึ้นตามร่างกาย“คุณน้ำมนต์เป็นอะไรไปคะ” ป้าชื่นรีบเข้ามาพยุงตัวปิติญาดาทันที“ฉันอยากอาเจี
กิ่งดาวขับรถตระเวนซื้อของมาทำอาหารเย็นด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ ไม่ได้รู้สึกสำนึกต่อสิ่งที่ได้ก่อแต่อย่างใด ก่อนจะพยายามมองหาสิ่งที่เธอจะนำมากำจัดปิติญาดาจนกระทั่งสายตามองไปเห็นป้ายร้านขายยาปราบศัตรูพืช เธอเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าร้านทันที“ต้องการยาชนิดไหนครับ” เจ้าของร้านเอ่ยถามลูกค้าที่เข้ามา กิ่งดาวหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“คือ…ไม่ทราบว่าที่นี่มียาปราบศัตรูพืชแบบไม่มีกลิ่นแต่ประสิทธิภาพดีบ้างไหม”“มีครับ”“ถึงตายหรือเปล่า” กิ่งดาวถามตรงประเด็น เจ้าของร้านจึงพูดถึงสรรพคุณให้ลูกค้าฟังทันที“อย่าว่าแต่พวกหญ้าเลยคุณ ถ้าคนได้กินเข้าไปก็ไม่รอด”“เหรอ” แทนที่จะรู้สึกผิดแต่กิ่งดาวกลับรู้สึกว่าตนกำลังจะเป็นผู้ชนะ เส้นชัยใกล้มาถึงทุกขณะ ต่อจากนี้เธอก็จะได้อยู่กับ คณินอย่างมีความสุข“แล้วไม่ทราบว่าคุณต้องการมากแค่ไหน”“ขวดเดียวก่อน ฉันอยากรู้ว่าหญ้ารกโลกพวกนั้นจะตายจริงๆ ถ้าดีจะกลับมาซื้ออีก” กิ่งดาวยิ้มเหี้
กิ่งดาวไม่อยากตื่นแต่เช้าก็ต้องตื่นเพราะเธอออกมานั่งรอคณินที่หน้าบ้าน เธอพยายามโทรศัพท์ไปหาชายหนุ่มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกลับติดต่อไม่ได้เลย เพราะขณะนี้คณินและปิติญาดาอยู่กับครอบครัวและบรรดาเพื่อนสนิทอยู่นั่นเอง ทั้งหมดกำลังคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานของทั้งคู่ ซึ่งปิติญาดาอยากจัดงานที่ลำปาง เพราะที่นี่มีรีสอร์ตที่สวยๆ อยู่หลายแห่งวันนี้บรรดาพ่อๆ แม่ๆ ของปิติญาดาและคณินจะกลับกรุงเทพฯ ภคมณและวศินก็ด้วยเนื่องจากภคมณมีนัดกับคุณหมอเพื่อตรวจครรภ์ ส่วนต้องหทัยก็ต้องกลับเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้เธอไม่ได้เป็นคนว่างงานจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระอย่างเช่นเมื่อก่อน หญิงสาวเลือกที่จะเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของครอบครัว ทั้งหมดแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน เมื่อออกจากรีสอร์ตก็บ่ายแล้วคณินก็หันมองหน้าปิติญาดา“จะกลับบ้านเลยไหม”“ค่ะ…ต่อให้หลบหน้ายังไงก็คงต้องกลับไปเพราะนั่นคือบ้านเรา”“นั่นสิ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่คุยกับบัวให้รู้เรื่องเอง” ปิติญาดาพยักหน้าให้ชายหนุ่ม ทั้งคู่จึงขับรถตรงกลับบ้าน และ