แชร์

บทที่ 3 รถม้าปริศนา (1)

ผู้เขียน: เทียนสื่อ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-19 00:41:53

ต้นยามโฉ่ว [1]

เสียงลมโกรกหวีดหวิวดังอยู่ข้างหู สตรีสองนางจับจูงมือกันมุ่งหน้าอยู่บนเส้นทางอันมืดมิด แขนขาทั้งสองข้างเริ่มอ่อนล้าไร้กำลังลงทุกขณะ

“คุณหนู เราจะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ” โปหรานหน้าซีดขาวเหงื่อเปียกโซมเต็มแผ่นหลัง 

“อาหรานเราแยกกันตรงนี้เถิดนะ เจ้ากลับบ้านเดิมของเจ้า แล้วนำเงินก้อนนี้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”

โปหรานจับมือไป๋เฉินเซียงแน่นพลางส่ายหน้าระรัวเร็ว ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “คุณหนูบ่าวเป็นห่วงท่าน ท่านจะไปที่ใดให้บ่าวไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ”

ดวงตาสุกสกาวฉายแววความเอื้ออาทร เพราะไป๋เฉินเซียงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากที่ตรงไหน เดิมทีไป๋เฉินเซียงถูกเลี้ยงดูให้อยู่ติดในจวน ทว่าครั้งหนึ่งนางเคยขึ้นเขาไปไหว้พระขอพรที่วัดเฉินหลิงกับมารดาในตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ 

ไป๋เฉินเซียงเล่นซ่อนแอบกับเด็กชายคนหนึ่ง ดูเหมือนเขาก็มาที่นี่กับมารดาเช่นเดียวกัน ตอนนั้นนางและเขาต่างก็เด็กด้วยกันทั้งคู่ แม้อีกฝ่ายดูโตกว่าแต่นั่นนับเป็นเรื่องเมื่อชาติก่อน ไป๋เฉินเซียงจำหน้าค่าตาของเขาไม่ได้แล้ว

วิ่งเล่นกันไปมาไป๋เฉินเซียงก็หลงเข้าไปในอารามด้านใน จึงได้เห็นว่าที่วัดเฉินหลิงไม่ใช่เพียงวัดเก่าที่อยู่บนเนินเขาทึมทึบธรรมดา ทว่ากลับเป็นถึงสำนักศึกษาของหมอหัตถ์เทวดาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้ตอนนั้นไป๋เฉินเซียงอายุเพียงไม่กี่หนาว แต่นางก็พอรู้ความบ้างแล้ว

ไป๋เฉินเซียงเคยนึกสงสัยมาโดยตลอด หากมารดาของนางอยากไหว้พระขอพรไยต้องตรากตรำเพียงนี้ ทั้งที่วัดในเมืองหลวงก็มีตั้งมาก ทว่ากลับเลือกบากบั่นเพื่อมาขอพรยังวัดเก่าคร่ำคร่าที่ไร้ผู้คน หนำซ้ำบรรยากาศยังวิเวกวังเวงประหนึ่งวัดร้าง หากไม่มีองค์พระพุทธรูปตั้งอยู่ และมีนักพรตอาศัย ไป๋เฉินเซียงคงคิดว่าที่นี่เป็นเพียงซากปรักหักพังแห่งหนึ่งเท่านั้น 

แท้ที่จริงมารดาของไป๋เฉินเซียงก็เป็นลูกศิษย์ของนักพรตที่นี่ มารดาของไป๋เฉินเซียงมีนามว่า เยว่ซิน นางคือหมอหญิงหัตถ์เทวดาผู้เก่งกาจ ซ้ำยังเติบโตที่วัดเฉินหลิงตั้งแต่แบเบาะ 

เยว่ซินเป็นเด็กกำพร้า อยู่มาวันหนึ่งนางได้พบเข้ากับชายบาดเจ็บโดยบังเอิญที่ตีนเขา เยว่ซินตัดสินใจช่วยชีวิตเขาไว้จนเกิดมีใจให้กัน ผู้ใดจะทันคาดคิดว่าหมอหญิงผู้ปราดเปรื่องจะส่งตัวเองไปลงนรก ณ จวนสกุลไป๋ เพราะคำว่ารักบังตาคำหวานของบุรุษลวงใจทำให้นางแต่งเข้าจวนสกุลไป๋เงียบ ๆ 

เยว่ซินร่ำลาอาจารย์เพื่อออกเดินทางไปยังจวนสกุลไป๋พร้อมกระเตงท้องที่เริ่มโตขึ้นทุกวันไปด้วย กระนั้นเมื่อไปถึง เยว่ซินจึงได้รู้ว่าบุรุษที่นางมอบทั้งตัวและใจให้เขามีฮูหยินและลูกรออยู่ที่จวน นางจึงเป็นได้เพียงอนุผู้ต่ำต้อย หลังให้กำเนิดไป๋เฉินเซียงจนนางอายุครบห้าหนาว เยว่ซินก็ด่วนจากไปด้วยไข้ใจอันเรื้อรัง 

มิน่าเล่าไป๋เฉินเซียงจึงชอบศึกษาเกี่ยวกับตำราพืชสมุนไพร นางสามารถจดจำรายละเอียดเรื่องการรักษาโรคต่าง ๆ ได้ แม้จะลอบเรียนรู้ด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็นับว่าไป๋เฉินเซียงเรียนรู้ได้ไวอย่างยิ่ง อาจเพราะนางได้รับสืบทอดจิตสำนึกการเป็นหมอผ่านสายเลือดมาจากมารดาเต็มตัว 

ตอนไป๋เฉินเซียงอายุได้เจ็ดหนาว นางยังเคยร้องขอบิดาเพื่อร่ำเรียนเกี่ยวกับการแพทย์ ทว่าไป๋จื่อเหิงกลับไม่เห็นด้วย หยางปิ่งอี้ก็ขัดขวาง ไป๋เฉินเซียงจึงได้ร่ำเรียนแค่เพียงการเย็บปักถักร้อย วาดภาพ เล่นดนตรีเฉกเช่นสตรีทั่วไป ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางก็ยังลอบเข้าหอตำราของสกุลไป๋อยู่บ่อยครั้งโดยไม่มีผู้ใดจับพิรุธได้ 

ในชาตินี้ไป๋เฉินเซียงพบทางสว่างของตนแล้ว หากนางเลือกเดินไม่ผิด นางจะขอเป็นหมอหญิงหัตถ์เทวดาเฉกเช่นมารดาของตน การตายอย่างอยุติธรรมของไป๋เฉินเซียงในชาติก่อนต้องได้รับการสะสางจนสิ้น 

เพียงแต่ไป๋เฉินเซียงไม่อาจเดินดุ่ม ๆ เข้าไปยังจวนสกุลหลาน แล้วยกเอาอดีตที่ผันผ่านมาเรียกร้องหาความยุติธรรมให้ตนได้ ไป๋เฉินเซียงจำเป็นต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะต่อกรกับพวกเลวทรามไร้หัวใจก่อน เพราะหากใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ก็รังแต่เป็นการขุดหลุมฝังตนเช่นเดิม

เรื่องแก้แค้นทวงคืนความเป็นธรรมหากยังมีลมหายใจ สิบปีก็ยังไม่สายมิใช่หรือ 

“อาหราน หากเราเดินทางไปด้วยกันต้องถูกท่านพ่อเจอตัวแน่”

แม้ไป๋จื่อเหิงเป็นเพียงขุนนางขั้นหก เขาก็มีอำนาจเพียงพอจะส่งเรื่องขอตรวจสอบคนเข้านอกออกในกำแพงเมืองได้ ดังนั้นไป๋เฉินเซียงจำเป็นต้องเดินทางออกจากเมืองให้ทันก่อนฟ้าสาง

คาดการณ์จากท้องนภาในยามนี้ อีกไม่กี่ชั่วยามพระอาทิตย์ก็คงโผล่มาแทนที่ นางต้องเร่งฝีเท้าอีกหน่อย ไม่เช่นนั้นจุดจบต้องไม่พ้นชะตาชีวิตเดิม 

ไป๋เฉินเซียงตรองอยู่นาน เสียงใสเอ่ยเพื่อประโลมจิตใจโปหราน  “อาหราน ข้าสัญญาว่าจะรักษาตัวเองให้ดี และข้าก็หวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ได้แต่งงานกับคนที่รัก มีครอบครัวสุขสันต์ และได้ใช้ชีวิตดั่งใจปรารถนา”

โปหรานน้ำตาไหลพรากร้องไห้โฮดั่งทำนบแตก “ฮึก…ฮื่อ…คุณหนู บ่าวไม่รู้ว่าเหตุใดคุณหนูจึงเลือกเส้นทางนี้ แต่ในเมื่อเป็นความตั้งใจของท่าน เช่นนั้นบ่าวจะไม่ขวาง คุณหนูรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”

ไป๋เฉินเซียงยกมือลูบหลังโปหราน นางเองก็ชอกช้ำไม่ต่าง แต่ก็ไม่อาจฉุดใครให้มาเสี่ยงกับแผนการของตนได้ “ข้าเชื่อว่าเราจะต้องได้พบกันอีก อาหราน รักษาตัวด้วย” เสียงใสอ่อนโยนคล้ายสายน้ำเย็นที่อาบชโลมจิตใจซึ่งอ่อนล้า ไป๋เฉินเซียงดึงปิ่นปักผมอันล้ำค่าลงมา จากนั้นก็ยัดเข้าไปในมือโปหราน

โปหรานไม่รับ นางส่ายหน้าและยื่นมันคืนให้ไป๋เฉินเซียง ไป๋เฉินเซียงยิ้มอ่อน “เจ้ารับไว้ ข้าจะได้สบายใจ เอามันไปขายรวม ๆ กับเงินในนั้นคงพอให้เจ้าได้มีที่พักดี ๆ จนกว่าจะหาหนทางของตนเจอ”   

โปหรานยิ้มขื่นขม นางพูดไม่ออกพลางกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่กลางลำคอลงไป ท้ายที่สุดโปหรานก็ยอมกำปิ่นนั้นเอาไว้แล้ว 

โปหรานพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าค่ะคุณหนู ท่านเองก็รักษาตัวด้วย”  

ไป๋เฉินเซียงพยักหน้า ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำพราวระยับ ไม่นานทั้งสองก็เลือกผละจากกันอย่างสุดอาลัยและมุ่งหน้าออกเดินทางไปคนละทิศ 

เชิงอรรถ

^ ยามโฉ่ว (丑:chǒu) เริ่มนับตั้งแต่เวลา 01.00 – 03.00 น.

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 4 อำมหิตเกินกว่าจินตนาการ (1)

    ไป๋เฉินเซียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กะพริบเปลือกตาสองสามหน พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ กระทั่งสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจขึ้นไม่น้อยบุรุษผู้นี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก โครงหน้าของเขาช่างคลับคล้ายว่านางเคยพานพบมาก่อน นัยน์ตาสีนิลแข็งกร้าวดุดันกระนั้นยังคล้ายกับท้องฟ้าในคืนไร้ดาว ไป๋เฉินเซียงจ้องมองเขาไม่ขยับ จมูกโด่งเป็นสันรับกับโครงหน้าคมเข้ม รูปปากหยักระบายสีแดงระเรื่อ ทว่าเส้นผมของเขากลับมีสีเงินยวงแซมประปรายหน้ายังดูเด็กทำไมผมหงอกแล้ว“มองพอหรือยัง ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร หากไม่พูดข้าจะปิดปากเจ้าเสียตอนนี้” เสียงทุ้มถามย้ำไป๋เฉินเซียงได้สติมือทั้งสองฝั่งชูขึ้นแช่มช้าเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ว่านางมาดี ไป๋เฉินเซียงกระแอมปรับน้ำเสียงให้ทุ้มกว่ายามปกติ“ขออภัยคุณชายท่านนี้ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้าน้อยแค่บังเอิญขึ้นรถม้าผิดเพราะเห็นว่ารถม้าของท่านคล้ายกับรถม้าลูกพี่ลูกน้องข้าน้อยที่นัดกันไว้ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจรบกวนท่านจริง ๆ นะขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ขึ้นผิด...เช่นนั้นเจ้าก็ลงไป”ม

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 3 รถม้าปริศนา (1)

    ต้นยามโฉ่ว [1] เสียงลมโกรกหวีดหวิวดังอยู่ข้างหู สตรีสองนางจับจูงมือกันมุ่งหน้าอยู่บนเส้นทางอันมืดมิด แขนขาทั้งสองข้างเริ่มอ่อนล้าไร้กำลังลงทุกขณะ“คุณหนู เราจะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ” โปหรานหน้าซีดขาวเหงื่อเปียกโซมเต็มแผ่นหลัง “อาหรานเราแยกกันตรงนี้เถิดนะ เจ้ากลับบ้านเดิมของเจ้า แล้วนำเงินก้อนนี้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”โปหรานจับมือไป๋เฉินเซียงแน่นพลางส่ายหน้าระรัวเร็ว ดวงตาแดงก่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำตา “คุณหนูบ่าวเป็นห่วงท่าน ท่านจะไปที่ใดให้บ่าวไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ”ดวงตาสุกสกาวฉายแววความเอื้ออาทร เพราะไป๋เฉินเซียงเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากที่ตรงไหน เดิมทีไป๋เฉินเซียงถูกเลี้ยงดูให้อยู่ติดในจวน ทว่าครั้งหนึ่งนางเคยขึ้นเขาไปไหว้พระขอพรที่วัดเฉินหลิงกับมารดาในตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ ไป๋เฉินเซียงเล่นซ่อนแอบกับเด็กชายคนหนึ่ง ดูเหมือนเขาก็มาที่นี่กับมารดาเช่นเดียวกัน ตอนนั้นนางและเขาต่างก็เด็กด้วยกันทั้งคู่ แม้อีกฝ่ายดูโตกว่าแต่นั่นนับเป็นเรื่องเมื่อชาติก่อน ไป๋เฉินเซียงจำหน้าค่าตาของเขาไม่ได้แล้ววิ่งเล่นกันไปมาไป๋เฉินเซียงก็หลงเข้าไปในอารามด้านใน จึงได้เห็นว่าที่วัดเฉินหลิงไม่ใช่เพียงว

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 2 หลีกหนีดวงชะตา (2)

    น่าเสียดายที่เขายังหนุ่มยังแน่นก็ต้องกลายมาเป็นแม่ทัพตาบอด ทว่าดวงตาของเขาแลกมาด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่นับหลายสิบหน แม่ทัพไป๋หู่สามารถกวาดล้างศัตรูจนราบเป็นหน้ากลอง กระทั่งอีกฝ่ายปราชัยและยินยอมทำสัญญาสงบศึกถึงยี่สิบปี เพียงแต่ไม่นานมานี้เขาเกิดตาบอดไม่ทราบสาเหตุ ศึกหนานชางที่เพิ่งผ่านมาจึงเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเขาอาสาออกรบแทน ทั้งยังสามารถคว้าชัยชนะมาได้ด้วยยุทธวิธีการรบอันชาญฉลาด ด้วยความดีความชอบนี้ ฮ่องเต้จึงมอบตำแหน่งแม่ทัพชิงหลงให้แก่เขา ตระกูลหลานจึงมากอิทธิพลขึ้นไปอีกขั้น เพราะเขาสามารถให้กำเนิดแม่ทัพได้พร้อมกันถึงสองคนแม้ว่าแม่ทัพไป๋หู่กลับกลายเป็นแม่ทัพพิการ ทว่าฮ่องเต้ก็ยังปูนบำเหน็จให้เขามากมายเหนือคณนา ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง รวมทั้งยังมอบสมรสพระราชทานให้แก่เขาเพื่อประโลมจิตใจที่บอบช้ำ ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าแม่ทัพไป๋หู่กับบุตรีของใต้เท้าวูนามว่าวูหลิงอีจะต้องเข้าพิธีวิวาห์กันตามธรรมเนียมใต้เท้าวูเป็นขุนนางขั้นหนึ่งทั้งยังเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้โดยตรง แม้เขาไม่ยินดีส่งบุตรีเข้าพิธีวิวาห์กับแม่ทัพตาบอดเพียงใด ทว่าก็มิอาจปฏิเสธสมรสพระราชทานครานี้ได้แม่ทัพไป๋หู่ผ

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 2 หลีกหนีดวงชะตา (1)

    โจ๊กอั้นเซียงกลิ่นหอมกรุ่นถูกยกเข้ามาวางข้างหัวเตียง ไป๋เฉินเซียงปรายตามองด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย“คุณหนูอาการเพิ่งดีขึ้น ทานโจ๊กสักหน่อยนะเจ้าคะ”โปหรานตักโจ๊กขึ้นมาหนึ่งคำ จากนั้นเป่าเพื่อไล่ไอระอุที่พวยพุ่งขึ้นกลางอากาศจนเป็นควันสีขาวกระทั่งค่อย ๆ จางลง “อาหราน ไม่เป็นไร ข้ากินเองได้” “เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวช่วยนะเจ้าคะ” โปหรานวางช้อนกระเบื้องเคลือบลงในถ้วยดังเดิม จากนั้นเข้ามาช่วยประคองไป๋เฉินเซียงให้ขยับกายได้สะดวก ต่อมาก็คว้าถ้วยโจ๊กส่งให้ไป๋เฉินเซียง“ขอบใจนะ”มือเรียวหยิบช้อนขึ้นมา ไป๋เฉินเซียงคนอาหารเหลวในถ้วยเล็กน้อยเพื่อให้โจ๊กคลายความร้อนสักพัก ระหว่างนี้จิตใจก็ล่องลอยกระทั่งนึกถึงความเป็นอยู่ของตนเมื่อชาติก่อนโจ๊กอั้นเซียงนับว่าเป็นอาหารชั้นเลิศรสชาติไม่เลว ทว่าในยามนั้นที่นางเป็นอนุท้ายจวนหวังเหว่ย [1] ไป๋เฉินเซียงได้กินเพียงโจ๊กต้มเกลือกับผักลวกแสนจืดชืด ทั้งยังถูกฮูหยินใหญ่โขกสับประหนึ่งวัวม้าก็ไม่ปาน กระทั่งวันหนึ่งฝนตกลมแรง ไป๋เฉินเซียงก็ยังถูกกดหัวใช้ให้ไปหาบน้ำเพื่อนำมาต้มให้ฮูหยินใหญ่ได้อาบ วันต่อมาไป๋เฉินเซียงก็เกิดล้มป่วย อาหารที่นางได้รับเพื่อใช้ประทังความหิวใน

  • วิวาห์ลวงรักแม่ทัพตาบอด   บทที่ 1 ข้ามผ่านราตรีกาลอันแสนหนาวเหน็บ

    บนผิวน้ำยามค่ำคืนมีแสงสาดสะท้อนจากดวงจันทร์ส่องกระทบลงมาดั่งเส้นทางปีนสู่สรวงสวรรค์ ยามที่น้ำเคลื่อนไหวเป็นคลื่นขนาดเล็กพลันบังเกิดประกายพราวระยับดุจหมู่ดาวดารดาษทว่าแสงที่ฉาบเป็นเงาสะท้อนความงดงามกลับซ่อนเร้นความเลวร้ายภายใต้จิตใจของมวลมนุษย์ อากาศหนาวเหน็บของราตรีกาลประสานกับความเย็นเยียบของสายธารากำลังกัดลึกกร่อนกระดูกใครบางคนจนไหวสะท้านสตรีร่างระหงถูกหินก้อนยักษ์ถ่วงดุลกายไว้ใต้ผืนน้ำ สติที่คงอยู่ค่อย ๆ เลือนรางลงทุกขณะ เมื่อถึงคราวตายผู้ใดเล่าจะริอ่านฝืน หลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อคว้าอากาศเข้าปอดอยู่นานนางก็รู้สึกว่าไม่มีทางทวงชีวิตที่ปรโลกริบไปได้อีก นางยินยอมจำนนต่อชะตาอันเลวร้ายนี้แล้วหนาวเหลือเกิน…ชั่วพริบตาลมหายใจก็มลายหายไปดั่งไม่เคยมี..“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”มือเรียวกระดิกไหวเชื่องช้า แพขนตาหนาค่อย ๆ ขยับแผ่ว เปลือกตาบางแง้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลดั่งไข่มุกยามราตรีกลอกสำรวจสรรพสิ่งรอบกายหน้าฉงน ข้ายังไม่ตายหรือ ผู้ใดช่วยข้าไว้กันนะ“คุณหนู ได้ยินบ่าวหรือไม่เจ้าคะ”หญิงสาวเบนความสนใจไปยังต้นเสียงแช่มช้า โลหิตแล่นขึ้นใบหน้าจนสมองอื้ออึงอาหราน? อาหรานมาอยู่ที

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status