น่าเสียดายที่เขายังหนุ่มยังแน่นก็ต้องกลายมาเป็นแม่ทัพตาบอด ทว่าดวงตาของเขาแลกมาด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่นับหลายสิบหน แม่ทัพไป๋หู่สามารถกวาดล้างศัตรูจนราบเป็นหน้ากลอง กระทั่งอีกฝ่ายปราชัยและยินยอมทำสัญญาสงบศึกถึงยี่สิบปี เพียงแต่ไม่นานมานี้เขาเกิดตาบอดไม่ทราบสาเหตุ ศึกหนานชางที่เพิ่งผ่านมาจึงเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเขาอาสาออกรบแทน ทั้งยังสามารถคว้าชัยชนะมาได้ด้วยยุทธวิธีการรบอันชาญฉลาด ด้วยความดีความชอบนี้ ฮ่องเต้จึงมอบตำแหน่งแม่ทัพชิงหลงให้แก่เขา ตระกูลหลานจึงมากอิทธิพลขึ้นไปอีกขั้น เพราะเขาสามารถให้กำเนิดแม่ทัพได้พร้อมกันถึงสองคน
แม้ว่าแม่ทัพไป๋หู่กลับกลายเป็นแม่ทัพพิการ ทว่าฮ่องเต้ก็ยังปูนบำเหน็จให้เขามากมายเหนือคณนา ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง รวมทั้งยังมอบสมรสพระราชทานให้แก่เขาเพื่อประโลมจิตใจที่บอบช้ำ ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าแม่ทัพไป๋หู่กับบุตรีของใต้เท้าวูนามว่าวูหลิงอีจะต้องเข้าพิธีวิวาห์กันตามธรรมเนียม
ใต้เท้าวูเป็นขุนนางขั้นหนึ่งทั้งยังเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้โดยตรง แม้เขาไม่ยินดีส่งบุตรีเข้าพิธีวิวาห์กับแม่ทัพตาบอดเพียงใด ทว่าก็มิอาจปฏิเสธสมรสพระราชทานครานี้ได้
แม่ทัพไป๋หู่ผู้เกรียงไกรก็ประหนึ่งเสือถูกถอดเขี้ยวเล็บ เขาต้องเก็บตัวอยู่แต่ในจวนเพื่อรักษาดวงตา เพียงแต่จะมีหมอเทวดาที่ไหนสามารถรักษาดวงตาของเขาให้หายได้กันเล่า เกรงว่าเขาอาจต้องกลายเป็นแม่ทัพตาบอดไปชั่วชีวิต
“คืนนี้เร่งพักผ่อนกันก่อน ไว้ข้าจะไปหาเซียงเซียงอีกครั้ง บางทีนางได้พักสักหน่อยก็อาจจำทุกอย่างได้”
ไป๋จื่อเหิงสะบัดชายเสื้อดังพรึบ หมุนกายจากไปอย่างไม่สบอารมณ์
หมู่เมฆบนขอบฟ้าเริ่มกลายเป็นสีทองเรือง ๆ ไม่นานแสงสว่างก็จางหายไป ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศของความสงบและเย็นยะเยือกของราตรีกาล
ไป๋เฉินเซียงเอนตัวลงบนฟูกนอน โปหรานหยิบผ้าผืนหนาขึ้นคลุมเรือนร่างระหงที่นอนพาดกายยาวเหยียดเพื่อมอบความอบอุ่นให้ผู้เป็นนาย
“คุณหนู จุดกำยานดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไป๋เฉินเซียงยิ้ม “เอาสิ”
ไป๋เฉินเซียงมองตามโปหรานที่เดินไปจุดกำยานคลายกังวลให้นาง ดูเหมือนคืนนี้คนสกุลไป๋คงหลับกันหมดแล้ว
ไป๋เฉินเซียงกำลังจมอยู่กับความคิดบางอย่างเพียงลำพัง ไม่นานสายตาก็ไปหยุดที่ลิ้นชักตัวหนึ่ง มือเรียวเลิกผ้าห่มออกจากตัว
“คุณหนู พื้นเย็นมาก ไยจึงลุกเดินเท้าเปล่าเช่นนั้นเจ้าคะ” โปหรานตกใจ
“ไม่เป็นไร ข้าดีขึ้นแล้ว”
ไป๋เฉินเซียงยอบกายลงจากนั้นหยิบซองบางอย่างออกมา พร้อมกับถุงผ้าอ้วนตุงใบหนึ่ง นี่เป็นเงินเก็บที่นางพยายามเก็บหอมรอมริบมาตลอดสิบห้าปี ยามนี้มันถึงเวลาที่ต้องใช้งานจริงแล้ว
ในชาติก่อนไม่ทันได้นำมาใช้ก็ถูกไป๋อีถิงรื้อห้องจนเจอ ทั้งยังนำเงินที่ไป๋เฉินเซียงหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงไปถลุงใช้จนหมด
ถึงยังไงก็ต้องแต่งไปเป็นอนุของแม่ทัพชิงหลง เงินนี่คงไม่จำเป็นกับเจ้าแล้วกระมัง
พี่หญิงนั่นเงินของข้า เอาคืนมานะเจ้าคะ
มือเรียวคว้าไม่ทันถึงเป้าหมาย ไป๋เฉินเซียงก็ถูกไป๋อีถิงผลักจนล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นไม้แข็งกระด้าง เสียงของโปหรานทำให้ภาพเหล่านั้นจางหายไปประหนึ่งหมอกควัน
“คุณหนู นั่นอะไรหรือเจ้าคะ”
ไป๋เฉินเซียงหลุดจากภวังค์ นางหมุนกายประจันหน้ากับโปหรานพร้อมของในมือ “อาหราน เจ้ารับนี่ไว้นะ”
โปหรานไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเอื้อมมือรับด้วยท่าทีประหม่า ไป๋เฉินเซียงเห็นเช่นนั้นพลันยัดของทั้งสองสิ่งให้อีกฝ่าย พร้อมจดจ้องไปยังแววตากระจ่างใสของโปหรานอย่างแน่วแน่
“ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน”
หัวคิ้วของโปหรานย่นเข้าหากันเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความพิศวง โปหรานเปิดถุงผ้าที่อยู่ในมือตนออกแช่มช้า ครั้นเห็นว่าเป็นสิ่งใดม่านตาก็พลันขยายกว้าง
“คุณหนู นี่เงินเก็บของท่านไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
โปหรานจำถุงผ้าใบนี้ได้แล้ว มันเป็นสิ่งที่ไป๋เฉินเซียงหวงแหนอย่างมาก
“ซองนั่นคือสัญญาการซื้อตัวของเจ้า ส่วนเงินนี่เจ้าเอาไปตั้งหลักใหม่เสียนะ”
โปหรานนิ่งเงียบ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นเต็มเบ้า เสียงใสสั่นเครือ “คุณหนูไม่ต้องการบ่าวแล้วหรือเจ้าคะ ไยต้องทำเช่นนี้”
ไป๋เฉินเซียงคว้ามือของโปหรานขึ้นมา จากนั้นบีบเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม ใช่นางอยากขับไล่โปหรานไป แต่หากไม่ทำเช่นนี้โปหรานก็จะต้องถูกขายออกไปเป็นทาสเฉกเช่นชาติที่ผ่านมา
การที่นางตัดสินใจทำเช่นนี้นับเป็นเส้นทางที่ดีสำหรับโปหรานแล้ว ไป๋เฉินเซียงเองก็มีเส้นทางของนางเช่นกัน ถือเสียว่าต่างแยกย้ายกันไปเติบโต
“อาหรานไม่ต้องร้อง หากมีวาสนา เจ้าและข้าจะต้องได้พบกันอีกครั้งแน่นอน” ไป๋เฉินเซียงส่งยิ้มอันอบอุ่นให้แก่โปหราน
โปหรานน้ำตานองหน้าพลางสะอื้นแผ่ว “คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“คืนนี้…เราหนีออกจากจวนสกุลไป๋กันเถอะ”
หอบรรพชนตระกูลหลานควันจากธูปลอยโขมงประหนึ่งหมอกขาว ด้านหน้าเป็นที่ตั้งป้ายวิญญาณของฮูหยินสกุลหลาน“ที่แท้ท่านแม่ของท่านพี่ก็จากไปนานแล้ว ข้าไม่เคยรู้มาก่อน”ในชาติก่อนไป๋เฉินเซียงเคยเป็นอนุของหลานจิ้นถงก็จริงทว่าเขาไม่เคยพูดถึงมารดาสักครั้ง หนำซ้ำยังสั่งห้ามเหล่าอนุเข้าใกล้ศาลบรรพชนอีกด้วย อาจเพราะเป็นพื้นที่หวงห้ามที่หลานอี้ซินไว้ใช้สงบใจหลานอี้ซินยิ้มขมขื่น “ท่านแม่จากไปในตอนที่ข้าเพิ่งเข้ารับราชการทหารใหม่ ๆ ในตอนนั้นข้าอายุได้สิบห้าหนาว นางป่วยหนัก ท่านพ่อก็งานยุ่งมาก ข้าได้ยินมาว่าบนหุบเขาเป็นที่ตั้งของวัดเฉินหลิงในตำนาน จึงพาท่านแม่ไปรักษาตัวที่นั่น”“แต่ที่วัดเฉินหลิงวางค่ายกลไว้แน่นหนา ท่านเข้าไปได้อย่างไร”หลานอี้ซินยิ้ม มือหยาบกร้านลูบศีรษะภรรยารักอย่างทะนุถนอม “เพราะแม่ของเจ้า”ไป๋เฉินเซียงแทบไม่อยากเชื่อหูตนเองหลานอี้ซินเล่าต่อ “ข้าเห็นรถม้าของนางจอดอยู่กลางหุบเขา ทั้งยังมีลูกน้อยที่หลับสนิทในอ้อมแขน เดิมทีนางลำบากใจอยู่บ้าง ทว่าแม่ของเจ้าคุณธรรมสูงส่งเช่นเจ้าไม่มีผิด”ไป๋เฉินเซียงยิ้ม “ต้องบอกว่าข้า
ณ จวนสกุลเว่ย“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าทั้งสองปั่นหัวข้าหรือ” เว่ยเสี่ยวเฉินหน้างอ เขาชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างหลานอี้ซินและไป๋เฉินเซียง ทั้งยังแหงนหน้ามองฟ้าดั่งหมดอาลัยตายอยาก“สวรรค์! นี่ท่านรังแกข้ามากเกินไปหน่อยแล้ว ทั้งที่ข้าพบนางในฝันก่อนเขาแท้ ๆ ทว่านางกลับเป็นฮูหยินสหายของข้า ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”หลานอี้ซินถอนหายใจ ทั้งยังกระชับอ้อมกอดบริเวณไหล่แคบแน่นขึ้น “เจ้าพล่ามพอแล้วหรือยัง ใครบอกว่าเจ้าพบนางก่อนข้า”เว่ยเสี่ยวเฉินสะบัดแขนพร้อมทำหน้าบูด “ชิ เจ้าก็พูดได้ มีฮูหยินทั้งสวยทั้งเก่ง แล้วดูข้า ต้องตาเทพธิดาคนหนึ่งทว่าเขาไม่ใช่ของเรา”“เจ้าพูดให้น้อยหน่อย เทพธิดาที่เจ้าว่านั่นฮูหยินของข้ามิใช่หรือ หากเจ้าตัดใจไม่ได้ ข้าจะพานางกลับและจะไม่มาเหยียบเรือนเจ้าอีก” เอ่ยจบหลานอี้ซินก็พยุงไป๋เฉินเซียงลุกขึ้น “ไปเถิดฮูหยิน เช่นนั้นเราไปให้คุณชายถังวาดดีกว่า ดูอารมณ์ของเขาแล้ว คงไม่อาจวาดภาพให้งดงามได้”ไป๋เฉินเซียงหัวเราะคิกคัก สามีของนางกำลังเย้าแหย่สหายไป๋เฉินเซียงกระซิบ “ท่านพี่เล่นแรงไปหน่อยกระมัง”เว่ยเสี่ยวเฉินละล้าละลัง “อย่า อ
ขุนนางในท้องพระโรงตะลึงพรึงเพริดไปตามกัน ต่างก็เหลียวมองไปยังใต้เท้าวูที่ยืนหน้าถอดสีอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้เอ่ย “ท่านแม่ทัพ ไยต้องการหนังสือหย่า หากเจ้าทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเอาเปรียบสตรีตัวเล็ก ๆ หรือ นางทำเรื่องใดให้เจ้าไม่พอใจกันเล่า”หลานอี้ซินยังมีสีหน้าสงบนิ่งไร้ซึ่งท่าทางตื่นกลัว ทว่าไป๋เฉินเซียงกลับรู้สึกใจเสียไปแล้ว หากเขาต้องการหย่ากับนางไม่จำเป็นต้องทำขั้นนี้ก็ได้บรรยากาศเข้าสู่ความอึมครึม ยามนี้อารมณ์แต่ละคนต่างรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ใต้เท้าวูเองก็สนิทชิดเชื้อกับฮ่องเต้ไม่น้อย แม่ทัพไป๋หู่กำลังทำเรื่องหยามหน้าขุนนางที่ฮ่องเต้โปรดปรานเข้าให้แล้ว เกรงว่าจากที่ถูกละเว้นโทษตาย กำลังจะเกิดสถานการณ์พลิกกลับไป๋เฉินเซียงกำลังคิดเอ่ยปาก กระนั้นกลับมีเสียงทุ้มดังตัดบท “ทูลฝ่าบาท อันที่จริงเป็นความผิดของลูกสาวกระหม่อมเอง ตระกูลวูขอยอมรับเรื่องการหย่าร้างจากท่านแม่ทัพไป๋หู่พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ประหลาดใจ “ใต้เท้าวู แต่เดิมท่านเป็นคนรักศักดิ์ศรี และมีเหตุผลอยู่เสมอ ไยตอนนี้ท่านจึงยินยอมให้บุตรสาวถูกหย่าร้าง มิกลัวถูกผู้อื่นครหาหรือ”
ท้องพระโรงอันโอ่โถงของแคว้นจื่อโจววันนี้ฮ่องเต้เรียกให้ขุนนางทุกลำดับขั้นเข้าเฝ้าเพื่อร่วมยินดีกับชัยชนะจากสงครามหั่วหมิง“ใต้เท้าหลาน” เสียงครั่นคร้ามของโอรสสวรรค์ดังขึ้นหลานหมิ่นฉีสาวเท้าออกมาพลางประสานฝ่ามือและค้อมศีรษะลง “พ่ะย่ะค่ะ”“ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้เจ้าคงทราบดี ว่าเป็นเรื่องใด”หลานหมิ่นฉีเองก็ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ยามนี้ภายในใจของเขาล้วนเต็มไปด้วยหมอกขาว กลับกลายเป็นการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก“พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เอ่ยต่อ “บุตรชายของเจ้าทั้งสองล้วนมีฝีมือ ทั้งยังสร้างผลงานอันโดดเด่นไว้มาก แต่น่าเสียดาย…”ไป๋จื่อเหิงและเหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างก้มหน้างุดแทบลืมหายใจ ถึงอย่างไรบุตรสาวคนโตของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของสกุลหลาน การที่สามีอย่างแม่ทัพชิงหลงก่อกบฏ ย่อมต้องสร้างความสั่นคลอนต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่เดิมไป๋จื่อเหิงหวังเกาะตำแหน่งและอำนาจของหลานจิ้นถงเพื่อขึ้นสู่ที่สูง แต่ดูเหมือนเขากำลังถูกผลักให้จมลงบ่อโคลนจนไม่อาจโผล่ศีรษะเพื่อหายใจ“ถึงอย่างไรผู้ก่อกบฏก็ได้รับกรรมตามสมควร” ฮ่องเต้ถอนหายใจ
“สรุปแล้วท่านอยากหย่าสินะเจ้าคะ แต่ก็นั่นแหละ ชะตานี้ข้าช่วงชิงมาจากผู้อื่น ย่อมสมควรที่มันจะกลับไปยังเจ้าของเดิม”หลานอี้ซินกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จมูกโด่งเป็นสันโน้มลงจรดลงบนปรางแก้มหอมกรุ่น ไป๋เฉินเซียงตะลึงลาน“เด็กโง่ คิดอะไรของเจ้า ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าลำบาก หากข้าตายไปเจ้าจะต้องอยู่เป็นหม้าย ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจะใช้ชีวิตอิสระได้อย่างไร”ไป๋เฉินเซียงกระเง้ากระงอด พลางบ่นกระปอดกระแปด “ท่านไม่ต้องมาคิดแทนข้า ชิ”“อีกอย่าง ชื่อนั่นก็ไม่ใช่เจ้ามิใช่หรือ”ในหนังสือหย่าเป็นชื่อผู้อื่นก็จริง ทว่าการแบ่งปันทรัพย์สินกลับเป็นชื่อของไป๋เฉินเซียงโดยตรง หากคนอื่นไม่รู้คงได้คิดว่านางเป็นภรรยาลับของเขาแน่แท้ไป๋เฉินเซียงสงบลง กล่าวเสียงค่อย “ก็จริง”“เจ้าลงนามแล้วหรือไม่” หลานอี้ซินถาม“แล้วท่านคิดว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”นางอยากจะกลั่นแกล้งเขานักว่าลงไปแล้ว อันที่จริงนางแทบเผาหนังสือหย่าเล่มนั้นทิ้งเลยต่างหาก“จะลงหรือไม่ลงก็ย่อมไม่ต่าง”ไป๋เฉินเซียงขมวดคิ้ว วาจากำกวมเช่นนี้เป็นเหตุให้นางใคร่รู้เป็นอย่างมาก
เพราะศัตรูเพลี่ยงพล้ำทั้งรับมือจากการลอบโจมตี และยังถูกงูมีพิษดาหน้าเข้าทำร้ายตลอดสองวันสองคืน ท้ายที่สุด กองทัพชิงเป่ยก็ปราชัยให้แก่ทัพของแม่ทัพไป๋หู่ แผนการที่ชิงเป่ยวางเอาไว้ตลอดหลายเดือนพังทลายภายในพริบตา เพียงเพราะการย้อนพิษร้ายคืนสนองจากฝีมือท่านหมอหวัง จะกล่าวให้ถูกต้อง ทั้งหมดเป็นแผนการและฝีมือของไป๋เฉินเซียงดูเหมือนความดีความชอบนี้คงไม่ต้องพึ่งบารมีของแม่ทัพเช่นเขาแล้วขบวนทัพเดินทางกลับแคว้นด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ แคว้นชิงเป่ยยินดีทำสัญญาสงบศึกและเป็นพันธมิตรร่วมกันตลอดไป ทางแคว้นชิงเป่ยยังจะส่งของบรรณาการให้กับแคว้นจื่อโจวในทุกปีอีกด้วย“เซียงเซียง” เสียงทุ้มกระซิบเบาที่เบื้องหลังใบหน้าเกลี้ยงเกลาซับสีชมพูระเรื่อ “เจ้าคะ”ทั้งสองนั่งอยู่บนอาชาศึกเจียวซิ่ง ขบวนเดินทางกำลังมุ่งหน้ากลับวังหลวง เหล่าทหารหลายนายเห็นภาพแม่ทัพโอบภรรยาล้วนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบางคนหน้าเผือดสีเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกแม่ทัพลงโทษที่ริอ่านไปแตะเนื้อต้องตัวฮูหยินของเขา ทั้งจับทั้งโยนเป็นว่าเล่น เกรงว่าคงไม่อาจรักษาศีรษะให้ตั้งตรงบนบ่าได้แล้วหลานอี้ซ