INICIAR SESIÓNก๊อก ก๊อก
“มิราลูก วันนี้จะตื่นขึ้นมาใส่บาตรกับแม่ไหม” คนเป็นแม่เคาะประตูเรียกลูกสาวในช่วงตีห้าครึ่ง ปกติลูกสาวจะใส่บาตรด้วยเฉพาะวันพระเท่านั้น ส่วนตนเองใส่ทุกวันเป็นปกติอยู่แล้ว “เดี๋ยวหนูลงไปนะคะแม่” น้ำเสียงงัวเงียของคนเพิ่งตื่นนอนตอบกลับคนเป็นแม่ มิรา เด็กสาววัยมัธยมปลายปีสุดท้ายก่อนก้าวเข้าสู่การเป็น ‘เฟรชชี่’ ปีหนึ่ง เธออายุเพียงสิบแปดปี แต่มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบไม่ต่างจากคนในวัยทำงาน แม่เปิดร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอย ฝีมือเลื่องลือจนคนต้องกลับมาซื้อซ้ำ เธอเป็นลูกคนโต และมีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ‘เมฆ’ อายุห่างกันสองปี เธอเริ่มทำงานตั้งแต่อายุสิบหกปี เพราะฐานะทางบ้านไม่ดี ลำพังเงินที่แม่หาจากการเปิดร้านอาหารตามสั่งก็ไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว จึงอ้อนวอนขอแม่ไปทำงาน ตอนแรก ‘มะลิ’ คนเป็นแม่ปฏิเสธท่าเดียว ทว่าสุดท้ายต้องยอม เพราะภาระเพิ่มมากขึ้นทุกวัน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย มิราเดินลงมาหาคนเป็นแม่ที่อยู่ข้างล่าง กำลังจัดเตรียมของสำหรับใส่บาตร “มีอะไรให้หนูช่วยไหม” “ไม่มีแล้วจ้ะ” มะลิตอบแล้วยิ้มให้ลูกสาว หากแต่แววตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย “ป่านนี้พระคงใกล้มาแล้ว เราออกไปรอข้างนอกกันเถอะ” “หนูช่วยถือ” เธอรับของจากแม่แล้วเดินตามออกไปหน้าบ้าน ช่วงนี้แม่มีเรื่องให้เครียดหนักหลายอย่าง หลักๆ ก็คือเรื่องของเมฆา น้องชายของเธอประสบอุบัติเหตุโดนชนแล้วหนี ตอนนี้กำลังรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง อาการยังคงโคม่าไม่ได้สติ ทำให้เธอต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินไปรักษาน้องชาย ส่วนคดีไม่คืบหน้าอะไร เหมือนทางนั้นมีอิทธิพล แค่จ่ายเงินให้ตำรวจ ทุกอย่างก็เงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่ยอมให้น้องชายเจ็บตัวฟรีหรอกนะ จะลากคอคนทำมารับโทษ และกราบขอโทษน้องชายตัวเองให้ได้! ••• “รับอะไรดีคะ” มิราเดินไปรับออเดอร์ลูกค้าที่เดินมานั่งลงโต๊ะในร้านสองคน วันนี้วันหยุดจึงช่วยแม่ทำงาน ส่วนตอนเย็นก็ไปทำงานของตัวเองที่ไนต์คลับ “เอาคะน้าหมูกรอบพิเศษ” “ส่วนอีกอันเอาข้าวขาหมู” “ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เธอเดินนำออเดอร์ไปให้คนเป็นแม่ที่กำลังง่วนทำออเดอร์อื่นให้ลูกค้าที่มาก่อนหน้านี้ สายตามิราเหลือบมองรถสีดำคันหนึ่งที่มาจอดหน้าร้าน ก่อนจะมีผู้ชายจำนวนสี่คนท่าทางดูน่ากลัวเดินเข้ามานั่งภายในร้าน คนกลุ่มนั้นเดินผ่านหน้าเธอไปนั่งลงโต๊ะว่าง สายตาที่มองดูกะลิ้มกะเหลี่ยไม่น่าไว้วางใจ “รับอะไรดีคะ” เธอเดินไปรับออเดอร์ เธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนคุกคามผ่านสายตายังไงไม่รู้ ข่มความกลัวแล้วงัดความกล้าเข้าสู้ “ที่นี่มีอะไรน่ากินบ้าง” “นี่ค่ะเมนู” เธอวางเมนูลงโต๊ะ แต่พวกเขามือไวมาก แทนที่จะหยิบเมนูแต่กลับจับมือ เธอรีบสะบัดมือตัวเองออกทันที เริ่มหวั่นๆ กับคนพวกนี้แล้วสิ… “มีอะไรน่ากินกว่าในเมนูนี้ไหม?” “ที่นี่เป็นร้านอาหารตามสั่ง อยากกินอะไรสั่งมาได้เลยค่ะ หรือถ้าคิดไม่ออก ดูเมนูเป็นตัวเลือกได้” ถ้าไม่อยากกินแล้วเดินเข้าร้านมาทำไม การมาของพวกเขาทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ เกิดความอึดอัด เธอสัมผัสได้ “แต่พวกเราคิดว่า คงไม่มีอะไรน่ากินไปกว่า… น้องคนสวยแล้วมั้งใช่ไหมวะ” “ใช่ลูกพี่ฮ่าๆๆ” มะลิมองขวับไปมองชายกลุ่มนั้นเมื่อเอ่ยแซวลูกสาวตนด้วยถ้อยคำไม่สุภาพแถมยังหัวเราะลั่นร้าน สีหน้าคนเป็นแม่แสดงออกทันทีว่าไม่พอใจ วางตะหลิวในมือแล้วเดินไปหาคนกลุ่มนั้น ดึงตัวลูกสาวมายืนหลบหลัง “ขอโทษนะคะ ถ้าไม่กิน เชิญออกจากร้านพวกเราไปด้วย มันรบกวนลูกค้าคนอื่น” “รบกวนยังไงป้า” หนึ่งในนั้นถามอย่างหาเรื่อง “ลูกค้าคนอื่นรอเข้ามากิน ถ้าทั้งสี่คนจะไม่กินอาหารที่ร้านเรา ช่วยสละโต๊ะนี้ให้ลูกค้าคนอื่นได้ไหม” แม่ของมิราใจเย็นกับคนกลุ่มนี้มากๆ แม้ไม่พอใจ แต่ยังคงใช้น้ำเสียงนุ่มนวลด้วยเพราะไม่อยากมีปัญหา “แล้วถ้าพวกเราไม่ไป ป้าจะทำไม” “พวกเราไม่ได้มากินข้าวร้านป้าหรอกนะ แต่เจ้านายให้มาทวงหนี้” คำว่า ‘ทวงหนี้’ ที่ทำให้มิราและแม่มองหน้ากัน ลูกค้าในร้านบางคนเห็นท่าไม่ดีจึงวางเงินค่าอาหารแล้วออกไปจากร้านเพราะกลัวโดนลูกหลง “คนของเสี่ยวิชัยใช่ไหม” มะลิถาม “เออ! ก็รู้นิ แล้วทำไมไม่จ่ายเงินสักที เสี่ยรอเงินจากป้าจนผมหงอกจะหมดหัวอยู่แล้ว” “ลูกพี่ นั่นเจ้านาย…” คนที่นั่งข้างๆ ปรามเจ้าของคำพูดเมื่อครู่ “เสี่ยให้มาทวงทั้งต้นทั้งดอก ถ้าวันนี้ป้าไม่จ่าย รู้ใช่ไหมจะเกิดอะไรขึ้น?” “ขะ…ขอเวลาอีกหน่อยได้ไหม ช่วงนี้เงินค่อนข้างหมุนไปหลายทาง ขอเวลาสักสองอาทิตย์ได้ไหม” มะลิเว้าวอน “เรื่องนี้ป้าคงต้องไปคุยกับเสี่ยวิชัยเอาเอง พวกเรามีหน้าที่มาทวงแค่นั้น” “ก่อนเสี่ยบอกพวกเรามาทวงเงินป้า ท่าทางเสี่ยดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ถ้ายังอยากมีที่ซุกหัวนอน แนะนำให้รีบจ่ายหนี้เสี่ยเขาซะ” มะลิและมิรามองหน้ากันอย่างหนักใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับเรื่องนี้ เพราะเงินมันหมุนเวียนใช้จ่ายอยู่ทุกวัน ไหนจะต้องเก็บไว้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของลูกชาย หากยอมสละเงินก้อนนั้นไป แล้วชีวิตลูกชายเธอล่ะ? จะเป็นอย่างไร “ถ้างั้นขอจ่ายก่อนครึ่งนึงได้ไหมคะ ส่วนอีกครึ่งนึงและดอกเบี้ย ขอเวลาพวกเราภายในสองอาทิตย์ เสี่ยวิชัยได้เงินอีกส่วนคืนแน่นอน” เธอหยิบเงินเก็บตัวเองทั้งหมดที่ตั้งใจเก็บไว้เรียนต่อมหาวิทยาลัยออกมา รู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องโดนทวงหนี้ จึงพกเงินจำนวนนี้มาด้วย สายตาชายฉกรรจ์ทั้งสี่หันไปมองมิราทั้งหมด ก่อนที่ ‘ลูกพี่’ ของแก๊งจะกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน พลางปรายสายตามองเงินก้อนที่ลูกสาวของลูกหนี้วางไว้บนโต๊ะ “ได้! ภายในสองอาทิตย์ ถ้าเสี่ยยังไม่ได้เงินคืน พวกมึงเตรียมหาที่อยู่ใหม่ได้เลย!” ชายคนนั้นหยัดกายขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเอื้อมมือไปเชยคางมิรา มะลิเห็นตกใจมาก รีบปัดออกทว่ากลับถูกอีกคนดึงตัวออกห่างจากลูกสาว “จะทำอะไรลูกฉัน!” “อยู่เฉยๆ ดีกว่าป้า ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” มิรายืนตัวแข็งทื่อ มือทั้งสองจิกผ้ากันเปื้อนไว้แน่น แววตาที่มองเจ้าของการกระทำอุกอาจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “ลูกสาวของป้าหน้าตาสะสวยใช่ย่อยนะ ถ้าลองไปคุยกับเสี่ยด้วยตัวเองดีๆ เสี่ยคงใจดีและเมตตายกหนี้ทั้งหมดให้” ชายฉกรรจ์เลียขอบปากตัวเองอย่างสนใจในตัวมิรา สายตาไล่มองรูปร่างคนตรงหน้า คนเป็นแม่พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการเพื่อเข้าไปช่วยลูกสาวแต่ไม่สำเร็จ เพราะโดนล็อกไว้แน่นหนา มือสากลูบไล้กรอบหน้าสวยหวานมาถึงต้นคอจนมิราขนลุกซุ่และขยะแขยงในเวลาเดียว ไม่ทันสัมผัสมากกว่านั้น ก็มีเสียงของหนึ่งในสี่คนเอ่ยขึ้น “ลูกพี่ เสี่ยส่งข้อความมาบอกให้เราไปทวงหนี้อีกเจ้า” ชายฉกรรจ์หยุดการกระทำของตัวเองลง เหมือนสวรรค์มาโปรดมิราทันใด “ถือว่ารอดตัวไปนะคนสวย เจอกันรอบหน้า ไม่รอดแน่” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกกับคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่ประโยคสุดท้ายที่ทิ้งเอาไว้ทำให้เธอต้องระวังตัวในครั้งถัดไป “แม่เจ็บตรงไหนไหม” เธอเข้าไปดูแม่ที่โดนปล่อยตัว และคนนิสัยไม่ดีกลุ่มนั้นก็เดินออกไปจากร้าน “เจ็บแขนนิดหน่อย” เพราะแรงบีบที่กดทับลงมาทำให้มะลิซึ่งปวดแขนข้างนี้อยู่แล้วเจ็บเป็นทุนเดิม “มิราเอาเงินเก็บของตัวเองให้พวกนั้นทำไม” นั่นเป็นเงินที่ลูกสาวตั้งใจเก็บไว้เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่กลับเอาไปจ่ายหนี้แล้วเสียอย่างนั้น “หนูไม่อยากให้คนพวกนั้นทำร้ายแม่ และยึดบ้านของพวกเรา” เสี่ยวิชัยมีลูกน้องหลายคน แต่ละคนที่มาทวงหนี้มักไม่ซ้ำหน้า คราวก่อนโดนตามทวงหนี้ถึงบ้าน หนึ่งในนั้นพลั้งมือตบหน้าแม่ เธอพยายามเข้าไปช่วยจนเกือบโดนตบอีกคน “แต่นั่นมันเงินเก็บของลูก เงินก้อนนั้นคือความฝันของมิรา” “ไม่เป็นไรค่ะแม่ ถ้าความฝันของหนูต้องแลกกับการที่เห็นแม่โดนทำร้ายและสูญเสียบ้านหลังนั้น หนูยอมทิ้งมันเพื่อแม่และบ้านของเรา” เธอรักแม่ รักน้องชาย และรักบ้านหลังนั้นมาก “มิรา…” มะลิร้องไห้ออกมาอย่างทนไม่ได้ รู้สึกเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้ลูกสาวต้องเสียสละเงินก้อนนั้นที่เป็นความฝันไปเพียงเพราะหนี้สินที่ไม่ได้ก่อ “แม่ขอโทษนะลูกฮึก แม่ขอโทษ…” มิราสวมกอดคนเป็นแม่แล้วน้ำตาซึมตาม “แม่อย่าโทษตัวเองเลยนะ” ไม่ใช่ความผิดของแม่ แต่เป็นความผิดของ… พ่อต่างหาก “ไม่ใช่ความผิดของแม่เลย…” เธอบอกแม่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่ชอบเลยเวลาเห็นแม่ต้องร้องไห้แบบนี้ สำหรับเธอแม่คือผู้หญิงที่เก่งที่สุด แม่สมควรมีรอยยิ้มแห่งความสุข มากกว่าน้ำตาบนใบหน้า“เดินระวังนะครับ”“เบบี๋ประคองหนูทั้งวันแล้วนะ ให้หนูเดินเองเถอะ”“ไม่ได้ ท้องหนูโตมากแล้ว ให้เฮียประคองเนี่ยแหละดีแล้ว”เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ ต่อให้ท้องไม่โตใกล้คลอดเขาก็เดินประคองทุกวันอยู่แล้ว อาทิตย์หน้าก็ถึงกำหนดคลอดลูก บอกตามตรงว่าตื่นเต้นและกลัวในเวลาเดียวกัน ไม่เคยมีประสบการณ์คลอดลูกมาก่อน ค้นกูเกิลเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก ซึ่งหลายคนบอกไม่เหมือนกันเลยสักคนคาร์มินประคองมิรามานั่งลงโซฟา ชายหนุ่มถอดรองเท้าออกให้ การกระทำของคนตัวโตเรียกรอยยิ้มจากภรรยาสาวได้ไม่ยากอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเขาทำแบบนี้ให้“ขอบคุณเบบี๋นะคะ”คาร์มินเงยหน้าขึ้นมองภรรยาสาว“เบบี๋ดูแลหนูดีมากเลย ไม่คิดว่าชีวิตนี้หนูจะได้เจอผู้ชายแบบเบบี๋” แม้จุดเริ่มของความสัมพันธ์ไม่ได้ดีมากนัก ทว่าตอนจบของเรื่อง…เชื่อว่ามันสวยงามเสมอคุณคาร์มินดีกับเธอมากจริงๆ เขาดูแลและเอาใจใส่ในทุกเรื่อง แถมยังรู้ด้วยว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร ถ้าหากวันนั้นเธอกับเขาไม่ได้เจอกัน ก็คงไม่มีวันนี้“หนูรักเบบี๋นะคะ”“รักเหมือนกันครับ” เขามองมิราแล้วยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปสวมกอดเธอเอาไว้ด้วยความรักถ้าหากรู้ว่าจะรักมิรามากขนาดนี้ คงขอเธอเป็นแฟนไ
วันแต่งงาน “สวยจังเลยลูกสาวแม่” มะลิพูดกับลูกสาวในชุดเจ้าสีขาวสะอาดตาสวยงามด้วยรอยยิ้มและแววตาที่ปลื้มปิติจากเด็กน้อยในวันนั้นสู่เจ้าสาวในวันนี้…วันและเวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ เผลอแป๊บเดียวมิราโตเป็นสาวแล้ว ความฝันของคนเป็นแม่ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย แค่อยากเห็นลูกสาวได้เจอคู่ชีวิตที่ดีและได้อุ้มหลานเส้นทางแห่งการก้าวสู่คำว่า ‘สร้างครอบครัว’ คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมิราและคาร์มิน หวังว่าทั้งสองคนจะจับมือกันผ่านอุปสรรคต่างๆ ในอนาคตไปได้ จะคอยดูลูกสาวเติบโตอยู่ไม่ไกล หันมาเมื่อไหร่ก็ยังเจอ“แม่ก็สวยเหมือนกันค่ะ”“ปากหวานจริงๆ เด็กคนนี้”“คิก แม่ว่าคนอื่นจะมองหนูยังไงบ้างคะ เพราะหนูอายุสิบแปด แต่กำลังแต่งงาน”“อีกไม่กี่เดือนลูกสาวแม่ก็สิบเก้าแล้วนะ” มะลิพูดเย้าแหย่ให้ลูกสาวไม่เครียด“มิราไม่ต้องสนใจสายตาคนอื่นหรอกว่าจะมองยังไง วันนี้หนูเป็นนางเอกของงาน สวยที่สุดในนี้ ต่อให้ลูกสาวแม่แต่งงานตอนอายุสิบแปดมันก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย เพราะมิราบรรลุนิติภาวะแล้ว อีกอย่าง ความคิดและทัศนคติของลูกยังเหมือนผู้ใหญ่คนนึง”“…”“หากตัดเรื่องอายุออกไป ลูกสาวแม่ก็เหมือนผู้ใหญ่คนนึงเลยแหละ เพราะฉะนั้นมิราไม่ต
วันรับปริญญาคาร์มินในชุดครุยรับปริญญากำลังยืนถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อนสนิท สายตาคมเข้มมองหาใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย มีเพียงครอบครัวตัวเองและของเพื่อนสนิทเท่านั้น เมื่อเช้ามิราโทรมาบอกว่าอาจจะไม่ได้เข้าไปเพราะติดธุระสำคัญวันนี้เป็นวันสำคัญแต่คนสำคัญกลับยังไม่มา พอมองดูรอบข้างเห็นคิมหันต์และอนาคินกำลังถ่ายรูปคู่กับแฟนสาวมันกลับทำให้เขารู้สึกเศร้าขึ้นมารู้ว่ามิราติดธุระของตัวเอง ทว่าวันสำคัญทั้งที ก็อยากให้เธอได้อยู่ตรงนี้ด้วยกัน“มิราไม่มาเหรอวะ” ลูคัสเดินเข้าไปถามคาร์มิน“ไม่แน่ใจวะ เห็นบอกว่าวันนี้ต้องไปทำธุระสำคัญ”“เดี๋ยวก็มา” เพื่อนสนิทตบไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาครอบครัวตัวเองส่วนคาร์มินก็เดินเข้าไปหาพ่อ แม่ และน้องสาว“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะพี่คาร์มิน” คาร์เทียร์เอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม แม้รู้อยู่แล้วว่าสาเหตุที่ทำให้พี่ชายทำหน้าหงอยแบบนี้มาจากอะไรเพราะว่าพี่สะใภ้ไม่อยู่ตรงนี้ยังไงล่ะ เลยทำให้แมวเย็นแถวนี้กลายเป็นแมวหงอย“พี่สะใภ้ของเทียร์ยังไม่มาเหรอคะ”“นั่นนะสิ ตั้งแต่มาถึง แม่ยังไม่เห็นหนูมิราเลย”“วันนี้มิราติดธุระสำคัญครับ ไม่รู้ว่าจะเสร็จตอนไหน บางทีอาจจะไม่ได้มา”“ลอง
“เบบี๋~ หนูมาแล้ว~” เสียงใสคุ้นเคยดังเข้ามาในโสตประสาทชายหนุ่มที่กำลังวุ่นวายอยู่กับงานตรงหน้า ความเครียดตึงเหมือนสมองบีบรัดแน่นหายไปในพริบตา เมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสของแฟนสาวและเป็นคนเดียวกับ…แม่ของลูก“ซื้อของกินมาฝากด้วยค่ะ” คนตัวเล็กในชุดสบายๆ ชูถุงของกินเต็มสองมือขึ้นต่อหน้าคาร์มิน“ไปชอปปิงกับคาร์เทียร์สนุกไหม” วันนี้เขาออกมาบริษัทตั้งแต่สิบโมงเช้า ทำให้มิราต้องอยู่เพนท์เฮาส์คนเดียว ตอนแรกแอบกังวลว่าเธอจะเหงาหรือเปล่า โชคดีวันนี้คาร์เทียร์โทรมาขออนุญาตพามิราไปชอปปิงเป็นเพื่อน เขาเลยอนุญาตให้ไป เพราะไม่อยากปล่อยแฟนไว้คนเดียว“สนุกมากเลยค่ะ น้องสาวเบบี๋ชวนคุยเก่งมาก แถมยังพาหนูไปกินของอร่อยๆ เยอะแยะเต็มไปหมดเลย”“หึ เฮียดีใจนะที่เห็นหนูมีความสุข” คงสนุกเที่ยวเลยล่ะ ทั้งมิราและคาร์เทียร์มีอะไรหลายอย่างคล้ายกันมาก แตกต่างกันอยู่แค่ไม่กี่อย่าง“ยิ้มแบบนี้เยอะๆ นะครับ” รอยยิ้มของมิราเปรียบเสมือนยาชูกำลัง เห็นแบบนี้ทุกวันทำให้เขาหายเหนื่อยกับอะไรหลายๆ อย่างที่ทำมาทั้งวันเลยล่ะ…“เมื่อกี้เห็นเบบี๋สีหน้าไม่ค่อยดีเลย เป็นอะไรเหรอคะ”“เฮียแค่กำลังโฟกัสกับงาน” เวลากำลังโฟกัสกับอะไร สีหน้าของ
บรรยากาศภายในห้องอาหารของโรงแรมหรูระดับห้าดาวชื่อดังแห่งหนึ่งอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุข สองครอบครัวได้มาเจอกันเป็นครั้งแรกครอบครัวคาร์มินให้การต้อนรับครอบครัวมิราเป็นอย่างดี ทั้งหมดร่วมกันรับประทานอาหารเย็นท่ามกลามวิวตึกในยามค่ำคืนของเมืองกรุงเทพมหานครในห้องอาหารส่วนตัววีไอพีคาร์มินเป็นคนนัดทุกคนให้มารวมตัวกันเพื่อบอกเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าตัวไม่ได้คิดมากอะไร แต่คนที่คิดมากเห็นจะเป็นแฟนสาวมากกว่า เมื่อคืนมิรานอนไม่หลับเพราะเอาแต่เครียดเรื่องนี้ และกลัวอะไรหลายๆ อย่างที่ยังไม่เกิดขึ้น“นัดเจอกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ทำความรู้จักกับครอบครัวหนูมิราด้วย” เสียงนาร์มินพูดแล้วยิ้มให้ครอบครัวมิราอย่างเป็นมิตร“อะไรที่ทำให้ลูกนัดเจอพวกเราพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้” มาร์คินหันไปถามลูกชายด้วยความอยากรู้“ที่ผมนัดทุกคนมาเจอกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาวันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะบอกให้ทราบครับ”“เรื่องสำคัญอะไรเหรอ?” มะลิถามคาร์มินหันไปมองหน้ามิราพร้อมกับจับมือเล็กมากุมเอาไว้ แม้คนข้างกายไม่แสดงออกว่ากำลังวิตกกังวล แต่ลึกๆ เชื่อว่าเธอคงกำลังเป็นแบบนั้น“
“เบบี๋~” เสียงใสเจื้อยแจ้วเรียกแฟนมาแต่ไกล มิราเดินมานั่งบนตักอ้อนคาร์มินที่กำลังทำงานอยู่ ทำให้ชายหนุ่มต้องพักงานตัวเองเอาไว้ชั่วคราวเพื่อสนใจแฟนสาวก่อนเป็นอันดับแรก“ว่าไงครับ”“เบบี๋ไม่ปลุกหนูอีกแล้ว”“เฮียเห็นหนูหลับอยู่เลยไม่อยากรบกวน” ช่วงนี้มิรานอนกลางวันบ่อยมาก แถมยังขี้อ้อน และติดเขาแบบสุดๆ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่เธอเป็นอย่างนี้ ชอบมากเลยล่ะ เพราะเมื่อก่อนมิราไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไร อยากให้เป็นแบบนี้ไปนานๆ ตลอดไปเลยยิ่งดี…“แต่บางทีการตื่นขึ้นมาโดยไม่เห็นเบบี๋ มันก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน”“บางทีเฮียก็เดินเข้าไปดูหนูอยู่ แต่เห็นนอนหลับสบายเลยไม่กล้าปลุก”“เบบี๋ทำงานอยู่เหรอ?”“ใช่ครับ”“หนูลงไปซื้อชานมไข่มุกนะ เบบี๋จะเอาอะไรไหมเดี๋ยวซื้อมาให้”“ไปคนเดียว?”เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ เห็นเขากำลังทำงานอยู่เลยไม่อยากชวนลงไปด้วย“เดี๋ยวเฮียลงไปเป็นเพื่อน”“เบบี๋ทำงานเถอะค่ะ หนูไม่อยากกวน”“เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน”“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูไปหยิบกระเป๋าตังค์ก่อนนะ”“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเฮียจ่ายให้”“เบบี๋จ่ายค่าชานมไข่มุกให้หนูเกือบทุกวัน หมดไปเยอะแล้วมั้ง ครั้งนี้หนูขอจ่ายเองดีกว่า”“เฮียจะจ่ายให้”“ตามใจเ







