LOGIN“สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือหาทางรู้ให้ได้ว่าอาการของท่านอ๋องเป็นอย่างไร และสืบว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เดิมใบหน้ายังเปี่ยมด้วยโทสะ พอได้สดับเช่นนั้นก็สงบลงโดยพลันเหตุลอบสังหารเกิดขึ้นในจวนว่าการมณฑล ไช่ซิงเฉาในฐานะเจ้าเมือง หากมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริง ย่อมไม่มีทางเลือกให้ลงมือในจวนว่าการมณฑลอีกทั้งไช่ซิงเฉาเป็นคนหยิ่งทระนง ไม่เคยเข้ากับพรรคฝ่ายใดในราชสำนัก ไม่น่าจะถูกใครซื้อตัวไปได้ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือมีคนวางแผนไว้ ใช้สินบนล่อลวงหัวหน้าหวัง แล้วส่งสาวใช้คนหนึ่งไปลอบสังหารฉู่หนิงหากลงโทษไช่ซิงเฉาในเวลานี้ ย่อมกระทบต่องานราชการของเมืองตุนหวงเมื่อครุ่นคิดถึงจุดนี้ ฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตรัสเสียงเย็นชาว่า “เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่!”“เช่นนั้น จงเผยแพร่ข่าวการลอบสังหารฉู่หนิงออกไปทันที ดูปฏิกิริยาของทุกคนในราชสำนัก”“อีกอย่าง รีบส่งข่าวถึงไช่ซิงเฉา ให้เขาจัดคนคุ้มกันนำตัวฉู่หนิงกลับมารักษาที่เมืองหลวง”“กระหม่อมรับพระบัญชา!” องครักษ์เงาตอบรับ จากนั้นร่างของเขาก็หายลับไปในความมืดฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ทั้งสุ
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฉู่อ๋องถูกลอบสังหาร ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย!”สามวันต่อมา ตำหนักอิงอู่ พระราชวังองครักษ์เงาที่มีผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเข้ามารายงาน แม้มองไม่เห็นสีหน้า แต่น้ำเสียงร้อนรนกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัดบนบัลลังก์ ฮ่องเต้ซึ่งกำลังตรวจฎีกาอยู่ชะงักไป บนพระพักตร์ปรากฏความตื่นตะลึงจากนั้นส่ายหน้าพลางหัวเราะเบา ๆ “ฉู่หนิงเจ้าเด็กนั่นมันเจ้าเล่ห์นัก ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นการจัดฉากของเขาก็ได้”สำหรับฉู่หนิง ฮ่องเต้ยังคงเชื่อมั่นในตัวเขาอยู่อีกทั้งฉู่หนิงขึ้นชื่อในเรื่องมากแผนการ และไม่เคยยอมให้ตนเสียเปรียบง่าย ๆ จะถูกคนลอบสังหารได้อย่างไรกันแต่เงาองครักษ์กล่าวเสียงขรึม “ฝ่าบาท เรื่องนี้จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ คนของเราเห็นด้วยตาตนเองว่าฉู่อ๋องเลือดท่วมทั้งกาย และแม่ทัพจ้าวอวี่กับแม่ทัพหร่านหมิงที่ตามไปถึงในตอนนั้น ได้ฟันนักฆ่าจนแหลกเละทันที”ฮ่องเต้พลันอยู่ไม่สุขฎีกาที่เดิมถืออยู่ในพระหัตถ์หล่นลงโดยไม่รู้ตัว พระพักตร์แสดงความตะลึงอย่างยิ่งหากฉู่หนิงปลอดภัย จ้าวอวี่กับหร่านหมิงไม่มีทางโมโหจนฟันคนร้ายจนเละแน่ ย่อมต้องไว้ชีวิตเพื่อสอบสวนทั้งสองเดือดดาลถึงเพียงนี
ขณะนั้น สาวใช้เอ่ยเสียงแผ่วว่า “งานฉลองชัยคืนนี้ เสี่ยวหลานถูกเรียกไปช่วยงานที่ลานหน้า เดิมทีบ่าวก็อยู่ที่นั่นคอยยกอาหารขึ้นโต๊ะ แต่หัวหน้าหวังสั่งให้บ่าวมาปรนนิบัติท่านอ๋องแทนก่อนเพคะ”คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าหวังรีบก้าวเข้ามาคารวะ พลางยิ้มเจื่อน “ท่านอ๋อง ลานหน้าผู้คนคลาคล่ำ ข้าน้อยหาตัวเสี่ยวหลานไม่พบ ถึงได้หาสาวใช้คนหนึ่งมาแทนพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นนี้เองหรือ”ฉู่หนิงพยักหน้ารับเบา ๆ ถือถ้วยชาขึ้นเตรียมจะดื่มทว่าในจังหวะนั้นเอง ฉู่หนิงกลับสังเกตได้ว่าดวงตาของคนทั้งสองกำลังจับจ้องอยู่ที่ถ้วยชาในมือของตนหืม?สองคนนี้เป็นอะไรกันแน่?ฉู่หนิงขมวดคิ้ว วางถ้วยชาในมือลงอย่างกะทันหัน เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแม่ทัพอู่แห่งแคว้นต้าโจวได้ขี่ม้าศึกของข้าไป ข้าต้องหาทางเอาม้าศึกตัวนั้นกลับคืนมาให้ได้!”“หัวหน้าหวัง เจ้าไปเรียกแม่ทัพจ้าวมาเดี๋ยวนี้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าหวังลังเลขึ้นมาทันทีขณะนั้น สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ดื่มชาสร่างเมาก่อนเถิดเพคะ เดี๋ยวเย็นแล้วฤทธิ์ยาจะเสื่อมลง”ไม่พูดยังพอว่า แต่พอเอ่ยเช่นนี้ ในใจฉู่หนิงยิ่งมั่นใจว่าช
สายลมราตรีพัดแผ่วเบา แสงจันทร์แจ่มกระจ่างกลางท้องฟ้าในลานจวนว่าการเมืองตุนหวง ทุกคนพร้อมใจกันมาชุมนุม ดื่มกินรื่นเริงกันอย่างครึกครื้นการที่กองทัพแคว้นต้าโจวถอยทัพกลับไป ทำให้เงาหม่นในใจของทุกคนสลายไป งานฉลองชัยครั้งนี้ ทุกคนต่างปลดปล่อยอารมณ์อย่างเต็มที่ทุกคนกินเนื้อชิ้นโต ดื่มสุราชามใหญ่ เสียงเอะอะหัวเราะดังทั่วจวนว่าการแม้แต่ฉู่หนิงผู้มีฐานะเป็นถึงองค์ชายก็ไม่เว้น ถูกเหล่าขุนนางเมืองตุนหวงพากันมายกจอกคารวะสุราแม้สุราที่ดื่มจะไม่แรงนัก แต่เพราะดื่มมากเกินไป เพียงครึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่หนิงก็เริ่มรู้สึกมึนหัวฉู่หนิงเอามือซ้ายพยุงเอวแล้วนั่งลง พร้อมกับวางจอกในมือขวาลงบนโต๊ะหรือว่าวันนี้ใช้แรงมากเกินไป แม้แต่สุราก็ดื่มไม่ไหวแล้วหรือ?เมื่อคิดถึงหนึ่งชั่วยามอันบ้าคลั่งกับฮ่องเต้หญิงในตอนกลางวัน ใบหน้าของฉู่หนิงก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาฮ่องเต้หญิงผู้นี้ช่างไม่ยอมคน แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยังต้องแข่งให้ได้แต่เอวของข้านี่สิ... เห็นทีจะไม่ไหวเสียแล้วมองเหล่าขุนนางที่ต่อแถวกันเข้ามาคารวะสุรา ฉู่หนิงโบกมือเอ่ยยิ้ม ๆ “ใต้เท้าทั้งหลาย ข้าคอไม่แข็งนัก พรุ่งนี้ยังต้องกลับเมืองหลว
แต่ว่าเจ้าเป็นแบบนี้ แล้วคิดว่าเราจะทำอะไรเจ้าไม่ได้หรือ?“ฮึ เจ้าไม่ไป เราไปเอง!”อู่จ้าวไม่อยากเสียเวลาพูดพร่ำกับฉู่หนิงอีก หันกายออกจากรถม้า แล้วขึ้นขี่ม้าศึกตัวใหญ่ของฉู่หนิง ก่อนควบหายลับไปอย่างรวดเร็วฉู่หนิงที่อยู่ในรถม้าได้ยินเสียงกีบม้าค่อย ๆ ห่างออกไป จึงถอนหายใจโล่งอกไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากลุก แต่ลุกไม่ไหวจริง ๆฮ่องเต้หญิงผู้มีวรยุทธ์นั้นร้ายกาจเกินไปจริง ๆ ตลอดหนึ่งชั่วยามไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย แบบนี้ใครจะทนได้กันฉู่หนิงลูบเอวเบา ๆ สีหน้าปรากฏความจนใจขึ้นมาดูจากสภาพแล้ว คงไม่อาจขี่ม้าได้อีกหลายวันแน่ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นจากภายนอก ตามมาด้วยเสียงของจ้าวอวี่“ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เมื่อครู่นี้เห็นม้าศึกของฉู่หนิงมุ่งหน้าไปทางแคว้นต้าโจว จ้าวอวี่ก็ตกใจ รีบควบม้าพาคนเข้ามาทันที“ไม่เป็นไร!”ฉู่หนิงขมวดคิ้ว พิงผนังรถม้าค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่ง “ม้าศึกของข้าถูกแม่ทัพอู่หมิงขี่ไปแล้ว เรียกคนมาควบรถม้าแทนเถอะ”ตอนนี้แม้แต่จะเดินยังลำบาก อย่าว่าแต่ขี่ม้าเลย ได้แต่หาข้ออ้างอยู่ในรถม้าเท่านั้นจ้าวอวี่ไม่ซักถามสิ่งใดเพิ่มเติม รีบสั่งให้ทหารม้านาย
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปท่ามกลางเสียงความเคลื่อนไหวจ้าวอวี่ที่ถอยห่างออกมาราวสองร้อยจั้ง สีหน้าฉายแววกังวล เหลียวมองไปทางรถม้าเป็นระยะ ๆแต่ระยะสองร้อยจั้งนั้นไกลเกินไป มองไม่เห็นเลยว่าทางฝั่งรถม้าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ฉู่หนิงเองก็หาได้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่ จ้าวอวี่จึงทำได้เพียงควบม้าวนอยู่ที่เดิม เพื่อระบายความกระวนกระวายในใจครึ่งชั่วยามผ่านไป ทัพอาชาขาวที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า“แม่ทัพจ้าว ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว เหตุใดยังไม่มีข่าวจากท่านอ๋อง พวกเราควรจะไปดูสักหน่อยหรือไม่?”จ้าวอวี่ขมวดคิ้ว บนใบหน้าเย็นชาแฝงไปด้วยความโกรธพลางตำหนิว่า “หากไม่มีบัญชาจากท่านอ๋อง ห้ามผู้ใดข้ามไปเด็ดขาด!”เหล่าทัพอาชาขาวคำนับรับคำแล้วรีบถอยไป ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีกส่วนอีกด้านหนึ่ง เหล่าทหารต้าโจวสิบกว่าคนที่รับหน้าที่อารักขาฮ่องเต้หญิง ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการเช่นกันแม้ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอะไรกันอยู่ในรถม้า แต่เมื่อเห็นว่าทหารม้าต้าฉู่ไม่มีท่าทีเคลื่อนไหวใด ๆ พวกเขาก็วางใจไม่น้อยอีกทั้งพวกเขาต่างรู้ดีว่าฉู่หนิงเป็นบุตรนอกสมรส มิได้ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ช่วงหลังจะเริ่มฝึก แ







