คำแพงโดนจับตัวมาที่หมู่บ้านของพวกคนดง มันเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง เต็มไปด้วยกระต๊อบที่สร้างด้วยไม้ไผ่อย่างง่าย ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ให้คำแพงเริ่มกลัวที่นี่จะมีหัวคนถูกปักอยู่เต็มไปหมด นั่นทำให้เธอตัวสั่นและอาเจียรออกมา มันพาเธอมากระต๊อบหลังหนึ่งมีผู้หญิงชาวดงนั่งอยู่เต็มไปหมด พวกนางจับนางแต่งตัวใหม่แม้ด้วยชุดกระโปรงยาวสีเทาที่ทอขึ้นมาอย่างหยาบ ๆ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับกระสอบเลย แม้จะไม่เต็มใส่ใจแต่ก็ไม่มีทางเลือก เสื้อผ้าชุดนี้ทำให้คันไปทั้งตัว และพวกมันยังเอามาลัยดอกไม้สวมคอของนางเอาไว้ด้วย และพยายามเอาสีมาทาตัวนาง แต่ก็ถูกคำแพงต่อยหน้าแหกกันถ้วนหน้าเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็สงบลง เมื่อมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา นั่นทำให้คำแพงตะลึง เขาเป็นชายร่างสูงกำยำ ผิวเกือบจะสีแดง มีดวงตาสีดำ เขาทาตัวเป็นลายเหมือนเสือ แต่ที่หน้าเขียนเป็นรูปงู ยังมีสัตว์ประหลาดตามมาด้วย มันมีร่างเป็นงูหัวเป็นเสือ มีลายเสือทั้งตัว ขนาดตัวของมันใหญ่ขนาดที่จับวัวทั้งตัวกินได้อย่างไม่ยากเย็น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งทำให้เธอตกใจที่สุด เพราะสิ่งที่ทำให้เธอตกใจนั้นคือหูที่แหลมเชิดของผู้ชายตรงหน้าต่างหาก พวกคนดงต่างก้มลงกราบ มีเพียงคำแพงเท่านั้นที่ไม่ยอมกราบ
“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยว อย่ามายืนค้ำหัวท่านตะเว้น”
“พวกเจ้านี่ เรียกชื่อ โตแว็นไม่ถูกสักทีนะ โตแว็นชื่อ โตแว็น ไม่ใช่ตะเว้น”มันตอบเป็นภาษากลางหากแต่สำเนียงฟังแล้วแปลก ๆ และมันแทนตัวเองด้วยชื่อ
“เจ้าคืออ้ายมัดหลาย ๆ”
“อ้ายมัสเจ้าพูดถึงเป็นเอลฟ์เหรอ อะไรนอกจากโตแว็น แล้วที่นี่มีเอลฟ์ด้วยเหรอ”
“แม่น แต่อ้ายมัด ผิวด่อน ผมขาว และตาสีม่วงคือแมว”
“โตแว็น ไม่เคยเห็นเอลฟ์แบบนี้มาก่อนเลย” โตแว็นตอบ
“เจ้าจับข่อยมาเฮ็ดอีหยังปล่อยข่อยไปเถาะ”
“โตแว็นปล่อยเจ้าไปไม่หรอก โตแว็นต้องใช้เจ้าทำพิธี” โตแว็นตอบ
“พิธีอีหยัง”
“โตแว็นจะกลับบ้าน และพิธีนี้ต้องใช้วิญญาณคนมาช่วย และวิญญาณของเด็กสาวอย่างเจ้าน่าจะช่วยโตแว็นได้” โตแว็นตอบหน้าตาเฉย
“นี่เจ้าเว้าบ้า ๆ อีหยัง เอาวิญญาณข่อยไป ข่อยก็ตายสิ”
“บางครั้งก็ต้องมีการเสียสละนะ” โตแว็นพูดหน้าตาเฉย คำแพงกำลังจะหนีแต่ เจ้าสัตว์ประหลาดส่งเสียงขู่ฟังแล้วเหมือนงูแต่ดังราวกับเสียงเสือคำราม ทำให้นางต้องถอยไป
“ใจเย็นก่อนเห่าสมิงนางยังตายไม่ได้ เดี๋ยวโตแว๊น ไม่ได้กลับบ้าน” พูดจบมันก็เดินออกไป คำแพงแม้ว่าปกตินางจะกล้าหาญ แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“คำแพง” เสียงเล็ก ๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
“เบต้าเจ้ามาซอยข่อยบ่” คำแพงดีใจมากที่เห็นเบต้า
“อยากทำงั้นเหมือนกันล่ะ แต่เจ้าดูข้าสิมันตบทีเดียวก็ตายแล้วมั้ง แค่มาดูลาดเลาเท่านั้นล่ะ และก็ต้องการความแน่ใจด้วย”
“แน่ใจอะไร” คำแพงรีบถาม
“ว่าไอ้คนที่ชื่อตะเว้นเป็นเอลฟ์น่ะสิ แต่ไอ้ตัวที่ตามมันนี่ ข้าเพิ่งเคยเห็นนี่ล่ะ แล้วเจ้าล่ะ เคยเห็นมาก่อนมั่ย” เบต้าพูดพลางทำท่าทางขนลุก
“บ่ ข่อยก็เพิ่งเคยป๊ะ ตัวอะไรก็บ่ฮู้น่าชังหลาย ๆ รีบให้พวกเขามาซอยข่อยหน่ำ ข่อยกลัวคัก ๆ”
คำแพงพูด เบต้าพยักหน้ารีบบินออกไปทันที
“เจ้ารอก่อนนะ คำพูน มิ้ง จ้อย ดิสมัส ห้าว จะรีบหาทางมาช่วยเจ้าแน่ ๆ” พูดจบนางก็บินไปทันที คำแพงพูดกับตัวเอง
“คำพูน อ้ายมัด ซอยข่อยแน่”
เบต้ากลับมารายงาน
“ไม่แน่ใจว่าใช้เอลฟ์ฟอร์แคร์มั้ยนะ แต่ที่แน่ ๆ มันเป็นเอลฟ์ อาจจะไม่ได้จากที่เดียวกับเจ้าด้วยซ้ำล่ะมั้ง” เบต้าพูด
“วงวารเจ้าติ” ห้าวพูดจิกกัด แต่ดิสมัสแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“แล้วมีอะไรที่ข้าต้องรู้อีกมั้ยเนี่ย”
“มันมีสัตว์ประหลาดมาด้วยเกิดมาข้าเพิ่งเคยเห็น มันมีหัวเป็นเสือ ตัวเป็นงูเหลือม แถมลายพาดกลอนด้วย เจ้านี่ล่ะมั้งเห่าสมิง”
“งานนี้ต้องระวังตัวให้ดีล่ะ เราไม่รู้เลยว่ามันจะใช้เวทย์มนตร์แบบไหน” ดิสมัสพูด ขณะที่กำลังปรึกษากันอยู่นั้น เจ้าคนดงได้โอกาสวิ่งหนีไป จ้อยหันมาเห็นพอดี
“มันหนีไปแล้ว”
“บักดำไปฆ่ามัน” ห้าวสั่งให้กุมารดำพุ่งไป กัดคอของเจ้าคนดงตายคาที่
“ไปฆ่ามันทำไม !” ดิสมัสถาม
“แล้วสิเก็บมันไว้ทำหยัง เดี๋ยวมันก็แล่นไปบอกผู้อื่น ได้แห่กันมาหมดดอก ข่อยบ่รอแฮ้ว ข่อยสิไปจัดการซุ่มมันเอง” ห้าวพูดจบก็เสกควายธนูออกมา และยังมีหุ่นพยนต์ออกมาเป็นกองทัพใหญ่และสั่งทันที
“พวกเอ็ง บุก !”
เหล่าภูตเสกของห้าวและลูกน้องบุกเข้าไปในหมู่บ้านของคนดง เกิดการต่อสู้เหล่าคนดงสู้เหล่าหุ่นพยนต์และกุมาร ควายธนูไม่ได้ ทำให้ห้าวและลูกน้องยิ่งได้ใจ โตเว็นมาดูเห็นแล้วก็ถอยใจ
“ผีระดับนี้ ก็ทำให้พวกคนดงกลัวได้แล้ว โตเว็นไม่พอใจมาก ไม่พอใจจริง ๆ เห่าสมิงไปจัดการซะ” เจ้าเห่าสมิงพุ่งไปหาควายธนูก่อนมันพุ่งมารัดร่างของเจ้าควายธนูเอาไว้แน่นแค่พักเดียวควายธนูก็ตัวแตกออกเป็นชิ้น ๆ และก็หันไปพ่นไฟสีเขียวออกมา ทำลายหุ่นพยนต์ทั้งหมด ห้าวเห็นแล้วก็ร่ายมนตร์ กุมารดำชักดาบออกมา และเข้าโจมตีไม่หยุด ในที่สุดก็ตัดหัวของเจ้าเห่าสมิงขาด แต่โตเว็นกลับหัวเราะเสียงดังลั่น
คราวนี้ทำให้เจ้าออร์คเริ่มมีแผลและมึนงงแล้ว คำพูนกับคำแพงมองหน้ากระโดดใส่เข่าเข้าที่หน้าของออร์คนั้นเต็ม ๆ สองแรงทำให้มันล้มลงไป คำพูนเอามีดออกมาแทงมันเข้าที่คอเลือดไหลพุ่งออกมาราวกับน้ำ มันวิ่งไปด้วยความเจ็บปวด คำแพงเหวี่ยงหินไปโดนมันซ้ำเข้าที่หัว คราวนี้ทำให้ล้มลงไปได้ สองพี่น้องมองหน้ากัน และตัดสินใจกลับไปหาพ่อนายฮ้อยคำแหงดวลดาบกับซีดาน ส่วนนายไปร่งต่อสู้กับล็องกี ซึ่งเชิงดาบของทั้งสองพอ ๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเสกอะไรมา ก็โดนทำลายไปหมด จนในที่สุดไปร่งก็ตัดสินใจ ร่ายมนตร์บทหนึ่ง นายฮ้อยคำแหงได้ยินก็ตะโกนห้าม“อย่าเฮ็ดจั๋งซัน”แต่สายไปแล้ว ไปร่งร่ายมนตร์แล้ว เหล่าหุ่นพยนต์มารวมอยู่ที่ร่างของเขากลายเป็นเสื้อเกราะ ไปร่งเข้าต่อสู้ทันที คราวนี้เขาต้านพลังของล็องกีได้หมด และเข้าประชิดตัวและชกล็องกีกระเด็น มันรู้สึกเจ็บ ไปร่งยังคงออกหมัดไปไม่หยุด ล็องกีเหวี่ยงคถาไปทันทีโดนร่างของไปร่ง เขากระเด็น “ให้ตายสิไม่ได้สู้ระยะประชิดนานแล้วนะเนี่ย แต่ว่า ข้าก็ไม่ชอบอยู่ดี ลมหายใจมังกร”ไฟถูกยิงออกมาจากคถาของมัน เมื่อโดนร่างของไปร่ง ความเจ็บปวดแผ่เข้ามา แต่ไปร่งยังพยายามเข้าไปต่อสู้ แต่ว่าไฟยิ
ดิสมัสต้องเหวี่ยงหินและใช้กะโหลกเพลิง ยิงสกัดพวกมันเ แต่พวกมันยังคงวิ่งเข้ามา ไม่หยุด ดิสมัสเลยเอาไม้แหลมที่เขาเหลาเอาไว้ ร่ายคำสาปเคลือบเอาไว้ ขว้างไป มันปักเข้าที่ร่างของพวกออร์คทำให้มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก แต่แค่ไม้จะทำอะไรพวกมันได้ มีตัวหนึ่งเขามาประชิดตัวเขาได้ และกำลังจะเอาดาบฟันหมายจะฟันให้ขาดสองท่อน แต่บากีร่ากระโดดตะครุบร่างของเจ้าออร์คตนนั้นเอาไว้ ดาบหลุดจากมือของมัน ดิสมัสได้โอกาสแล้ว รีบคว้าดาบเล่มนั้นเอามาเป็นอาวุธของตัวเอง เขาฟาดฟันมันอย่างชำนาญ ทำให้สังหารออร์คไปได้หลายตัว เขาดูดาบเล่มนี้ชัด ๆ แม้มันจะดูเก่า แต่เขาก็จำได้ว่าเป็นฝีมือการตีดาบของพวกโดวาฟ ! “อย่าให้ใช่เลย”ดิสมัสพูด พวกออร์ดที่เหลือกำลังจะเข้ามารุมเขา ดิสมัสเลยร่ายคาถา “จงรวบรวม แขน ขา และวิญญาณเพื่อรับใช้ข้า ลุกขึ้นมา !”เมื่อคาถาจบศพของพวกออร์คก็ระเบิดกลายเป็นโครงกระดูกยืนอยู่ตรงหน้า พวกออร์คเห็นแล้วก็รู้สึกกลัว“ไม่ได้ทำแบบนี้มานานแล้วนะ ชีวิตสงบ ๆ คงไม่ใช่สำหรับข้า ฆ่ามัน” พวกโครงกระดูกเข้าต่อสู้กับพวกออร์คที่เหลือทันที นายฮ้อยคำแหง มาถึงก็ต้องตกตะลึง ที่น
“ลงน้ำโลด อ้ายมัด” คำแพงร้องบอก ดิสมัสรีบทำตาม หลังจากจัดการมดแดงได้แล้ว เขาก็ขึ้นมาจากน้ำ ทุกคนมองดิสมัสแปลก ๆ เบต้าพยายามกลั้นขำ “มีอะไรเหรอ” “อ้ายก็ลองเบ่งแขนเจ้าของดิ” คำแพงพูดขึ้นมา ดิสมัสมองดูเขาตกใจมาก มันมีจุดแดง ๆ เต็มไปหมดหมด และเขาคล้ำหน้าตัวเองรู้เลยว่าต้องมีจุดแดง ๆ เหมือนกัน ยิ่งเขาเป็นคนผิวขาวสีซีดแล้วจุดพวกนี้ยิ่งชัดเข้าไปอีก เขาทั้งเจ็บทั้งอาย และทั้งขำในเวลาเดียวกัน นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ได้ที่ไม่ได้สวมเกราะเลยทำให้มีแผลมากขนาดนี้ เบต้าเลยบินมารักษาให้กับเขา แต่ดิสมัสไม่ได้รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นยังคงไปแหย่ไข่มดแดงกับทุกคนต่อ วันนี้ ดิสมัสได้ทั้งปลาและไข่มดแดงจำนวนมาก และยังได้ลองกินไข่มดแดงเป็นครั้งแรกด้วย รส ชาตของมันทั้งมันทั้งเปรี้ยว แต่ก็ถูกปากเขาเหมือนกัน การมาหาอาหารกันเป็นกลุ่มใหญ่แบบนี้ทำให้เขานึกถึงตอนไปเก็บเสบียง แต่มันต่างกันมากเพราะว่า ตอนไปเก็บเสบียงนั้นไม่สนุกแบบนี้ ไม่ได้มีเสียงหัวเราะแบบนี้ บางครั้งมันก็แลกมาด้วยน้ำตาของเจ้าของอาหารที่ถูกบังคับให้ส่งเสบียงให้ด้วยซ้ำ ดิสมัสเดินออกจากวงข้า
“ครับข้ากลับมาแล้ว”เย็นวันนั้น ดิสมัสจัดการถอดเกราะออกและมองมัน เขารู้สึกว่ามันช่างหนักเหลือเกินเขาไม่อยากจะสวมมันอีกแล้ว “อ้ายมัด” เสียงของคำแพงดังขึ้นมา ดิสมัสหันมองนางแล้วถามว่า “มีอะไรเหรอ” “อีแม่ให้มาชวนเจ้าไปกินข้าวด้วยกันหน่ำ” ซึ่งเขาก็ไม่ปฎิเสธมาตามคำเชิญ แถมยังเอาเนื้อเค็มติดมือมาด้วย ซึ่งคำแพงเห็นแล้วก็บอกว่า “เจ้าเก็บไว้กินผู้เดียวเถอะ บ่ฮู้ว่าทนกินเข้าไปได้ไง” ดิสมัสเลยพยักหน้าแล้วพูดว่า “มื้อหน้าข้าจะจับตัวอะไรไปให้แม่เจ้าปรุงก็แล้วกันนะ” ดิสมัสพูด และเดินตามคำแพงไป คำแพงแอบมองดิสมัส ตั้งแต่ที่เขาไปช่วยชีวิตนาง นางก็รู้สึกกับเขาในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน รูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาทำให้เธอรู้สึกว่าปลอดภัยตลอดเวลาที่เขาอยู่ “ถึงแล้วนะ” ดิสมัสพูด ทำให้นางหลุดจากภวังค์และรีบเดินนำเข้าไปในบ้าน คราวนี้อาหาร มี ลาบ ต้มแซ่บ ไก่ย่าง เป็นอาหารหลักแม้จะเป็นอาหารง่าย ๆ แต่เขากลับรู้สึกว่ามันน่ากินมาก “กินได้แล้ว บักมัดบ่ต้องเกรงใจเด้อ” นายฮ้อยคำแหงพูด ดิสมัสกินอาหาร มันรสชาติดีมากจนเขาพูดขึ้นมา
“เอ็งชื่ออะไรวะ” คนในสนามพูด “คำพูน จากโนนต้นติ้ว แต่ข่อยขอใช้ชื่อ คำพูน ลูกคำแหง” เขาตอบ อีกฝ่ายหยักหน้า แล้วพูดว่า “มีเงินเดิมพันมั้ย ถ้ามีก็ขึ้นชกได้”คำพูนเอาเงินออกมาพบว่ามันน้อยเกินไป “โอยแค่นี้เองเหรอไม่พอ ไปหามาอีก ถ้าไม่มีก็ไปให้พ้น ๆ เลย” คำพูนรู้สึกเสียดาย จะไปขอเงินจากนายฮ้อยคำแหงก็คงจะไม่ได้ ดิสมัสเห็นเข้าพอดีเลยเอาเงินมาวางให้ “อ้ายมัด” “อย่าชกแพ้ล่ะ ถ้าแพ้นี่ข้าหมดตัวเลยนะ” ดิสมัสพูดขึ้นมา คำพูนเลยตอบว่า “ไว้ใจข่อยได้ ข่อยสิต้องชนะ” คู่ต่อสู้ของคำพูนนั้นเป็นนักมวยร่างสูงใหญ่ ผิวเข้ม ดูแล้วตัวใหญ่กว่าคำพูนพอสมควร เขาชื่อว่า เด่นธรณี ศิษย์พระกาฬ ส่วนคำพูน นั้นใช้ชื่อว่า คำพูน ลูกคำแหง เสียงปี่ดังขึ้น ทั้งสองออกท่าร่ายรำทำให้ ดิสมัสงงมาก “มวยสยาม สิต้องไหว้ครูบาอาจารย์ก่อนชก เป็นการแสดงความเคารพครูมวย และยังเป็นการอบอุ่นร่างกายอีกหน่ำ” คำแพงอธิบาย ดิสมัสพยักหน้ารับรู้ “ชกกันหนึ่งกะลาจมน้ำใครลุกไม่ขึ้นก่อนเป็นฝ่ายแพ้” เสียงกรรมการประกาศและเอากะลาลงไปในน้
“จังสั้นเจ้าเฮ็ดเลยคำพูน ข่อยสิล่อมันเอง”ห้าวเสกมนตร์ ใส่ร่างของโตเว็น มันเลยมาสนใจเขาแทน สองพี่น้องช่วยกันจับดาบหอก และวิ่งไปและแทงเข้าไปที่รูก้นของโตเว็น มันร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มลงไปแบบไม่เป็นท่า ทั้งสองกดจนมิดด้าม เจ้าโตเว็นตายคาที่ ดิสมัสมองอย่างรู้สึกสมเพชเวทนา เขาไม่คิดเลยเอลฟ์จะต้องมาตายทุเรศแบนี้ จริงอยู่เจ้านี่อาจไม่ใช่เอลฟ์เผ่าเดียวกับเขา แต่ก็เป็นเอลฟ์เหมือนกันจริงเห็นแบบนี้ก็คงจะอดที่จะหดหู่ไม่ได้ เขาเลยกระชากดาบหอกออกมา และดิสมัสเรียกอุมปากลับไป “ชาร์ล็อต” เขาเรียกแมงมุมยักษ์ออกมา ให้มันพ่นใยคลุมร่างของโตเว็นเพื่อกันไม่ให้มีอะไรมากินศพ และเอาดาบหอกปักข้าง ๆ เขาหันไปบอกกับคนดงว่า “อยากจะทำอะไรกับร่างของมันก็ทำไปซะนะ ข้าทำได้แค่นี้” เมื่อเจ้าหัวหน้าตาย พวกคนดงก็มองทุกคนอย่างหวาดกลัว ดิสมัสเดินนำไป พวกเขารีบหลีกทางให้ มีบางคนคิดจะเล่นงานเขาแต่ก็ชะงักไปเพราะว่าเกิดคิดได้สู้ไปก็เหมือนฆ่าตัวเปล่า ๆ “เฮดหยังต้องเฮดศพให้มันหน่ำ” คำแพงถามขึ้นมา “เขาตายแล้วนะ ข้าไม่อยากให้เขากลายเป็นเหยื่อแร้งกาหรอก อีกอย่างเขาก็ต่อสู้อย่างสมศัก