เป่าจูอย่างมีความสุขที่สุด แต่ก็ร้องไห้หนักที่สุดด้วย นางไล่ตามออกไปด้วยความเร็วมาก แล้วตะโกนว่า "คุณหนู คุณหนู..."ซ่งซีซีเหลือบมองนางอย่างจนใจ เด็กหญิงคนนี้ทั้งหัวเราะและร้องไห้ ไม่รู้จักควบคุมตนเองจริงๆเซี่ยหลูโม่นั่งกับซ่งซีซี เขาเหลือบมองที่เป่าจูแวบนึง และคิดอยู่ครู่หนึ่งว่า "นางชื่อเป่าจูใช่ไหม?""ท่านอ๋องยังจำนางได้หรือ" ซ่งซีซีรู้สึกประหลาดใจมาก"จำได้" เซี่ยหลูโม่ยกยิ้ม "ข้าจำได้ว่ามีอยู่ปีนึงที่ไปสถาบันว่านซงเหมิน เด็กหญิงคนนี้กำลังตีอินทผลัมบนต้นไม้ เมื่อนางเห็นข้าและศิษย์พี่ของเจ้า นางตกใจจนล้มลงจากต้นไม้"ซ่งซีซีดูประหลาดใจมากยิ่งขึ้น "ท่านอ๋องเคยไปสถาบันว่านซงเหมินมาก่อนหรือ?""อืม ก่อนที่ข้าจะไปเขตหนานเจียง ข้าจะไปที่นั่นปีละครั้ง" เขาพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจ แสงแดดในเดือนมิถุนายนส่องประกายเจิดจ้าในดวงตาของเขา และในไม่ช้าก็มืดลง "ต่อมาก็ไม่ได้ไปเลย""ข้ากลับไม่รู้ และไม่เคยพบกับท่านอ๋องมาก่อนเลย" ซ่งซีซีมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ทำไมท่านอ๋องถึงไปสถาบันว่านซงเหมินทุกปีล่ะ?""เที่ยวเล่น แวะให้อาจารย์และศิษย์อาของเจ้าช่วยสอนศิลปะการต่อสู้ด้วย ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าไม่ได้พ
ตลอดทางที่ยี่ฝางกลับเมืองหลวงนางดูหดหู่ตลอดจ้านเป่ยว่างรักษาระยะห่างจากนาง แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บทางร่างกายแต่ก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง เขาต้านทานที่จะอยู่ใกล้ชิดกับนางมากแม้แต่คนที่ถูกจับพร้อมกับนางพวกนั้น ก็ยังมองดูนางอย่างเกลียดชังพวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าทำไมตนเองถึงถูกตอน หัวหน้าทหารที่ถูกทรมานในเมืองลู่เปินเอ่อร์ เป็นยี่ฝางที่ออกคำสั่งให้ตอนและทำให้เขาอับอายดังนั้น ตอนนี้ชาวซีจิงเลยปฏิบัติกับพวกเขาโดยใช้วิธีแบบเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถบ่นเรื่องทุกข์ใจเช่นนี้ได้และก็ไม่กล้าบ่น เพราะงั้น พวกเขาจึงเกลียดชังยี่ฝางจนเข้ากระดูกดำระหว่างทาง ไม่แม้แต่ไม่อยากคุยกับนาง แค่มองเห็นนางก็อยากหลบหนีไปไกลๆยี่ฝางนึกถึงขาไปมีจิตใจเบิกบานมาก โดยคิดว่าจะสามารถสร้างผลงานแน่ๆ แต่ไม่คาดคิดเมื่อกลับมา ไม่เพียงถูกทำลายใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง และถึงขั้นถูกทุกคนเกลียดชังด้วยเรื่องดังกล่าวนั้นนางยังพอทนได้ ทว่าที่นางทนไม่ไหวที่สุดก็คือ ซ่งซีซีกลับได้รับการยกย่องนับถือจากทหาร มีพวกแม่ทัพคอยปกป้อง และแม้แต่เป่ยหมิงอ๋องก็ชื่นชมกับนางอย่างสูงโดยเฉพาะหลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง ซ่งซีซียังนั่งในรถม้าห
ยี่ฝางชะงักไป แล้วพูดด้วยความโกรธทันที "ใคร ใครบอกว่าข้าถูกเสียบริสุทธิ์ไป?""แค่ตอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านโกรธมากจนหน้าซีด "ข้างนอกลือกันหมดแล้ว ยังถามว่าใคร ใครๆ ทั้งนั้นก็ลือแบบนี้"ยี่ฝางไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์ในเขตหนานเจียงจะแพร่กระจายถึงเมืองหลวง ราวกับสมองระเบิดออกในทันทีทันใด นางพูดเสียงดังด้วยความเสียใจ "ข้าเปล่า ข้าถูกจับก็จริง แต่ข้าแค่เจ็บปวดภายนอก ไม่เสียบริสุทธิ์ไป"จ้านจี้กล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นก็หาใครสักคนมาเป็นพยานให้สิ มีคนถูกจับไปพร้อมกับเจ้าไม่ใช่เหรอ พวกเขาสามารถเป็นพยานให้เจ้าได้"พอนึกถึงลูกพี่ลูกน้องและทหารเหล่านั้น ยี่ฝางก็รู้สึกกราดเกรี้ยว หาใช่ว่าพี่จ้านไม่ได้ไปถามพวกเขา แต่พวกเขาทั้งหมดบอกว่าไม่รู้เรื่องไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง ถูกขังอยู่ในบ้านไม้เดียวหัน จะไม่รู้ได้ยังไง?แต่คำว่าไม่รู้เรื่องของพวกเขา ทำให้พี่จ้านและคนอื่นๆ เชื่อมั่นว่า นางเสียบริสุทธิ์ไปแล้วดังนั้นนางจึงไม่สามารถหาใครมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางได้ เมื่อต้องเผชิญกับคำพูดของพ่อสามี นางทำได้เพียงพูดอย่างเย็นชาว่า "ผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์เลย และปากแยู่กับคนอื่น จะ
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจ้านก็ครุ่นคิด และนางหวั่นไหวใจจริงๆบัดนี้ ซ่งซีซีเป็นคุณหนูผู้สูงส่งของจวนเสนาบดีเจิ้นกั๋วกง ตราบใดที่เป่ยว่างแต่งงานกับนาง งั้นก็จะได้สืบทอดยศทันที หาใช่ว่านางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ในเวลานั้นนางรู้สึกว่ายี่ฝางและเป่ยว่างสามารถประสบความสำเร็จแน่นอน ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ลูกชายของตนเองถูกวิพากษ์วิจารณ์แต่ตอนนี้ คำวิพากษ์วิจารณ์ข้างนอกยังน้อยหรือ ผู้หญิงหากไม่มีบริสุทธิ์ ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวต้องเสียหาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อการแต่งงานของน้องๆ ในบ้านด้วย หากเป่ยว่างได้สืบทอดตำแหน่งยศมา อย่างน้อยเห็นแก่สถานะครอบครัวของจวนเสนาบดีกั๋วกง เป่ยเซินและเส้าฮวนยังสามารถเลือกคู่แต่งงานดีๆ ได้และถ้าซ่งซีซีกลับมา งั้นทรัพย์สินสมบัตอันมหาศาลนั้นก็กลับมาพร้อมกัน ช่วงนี้จวนแม่ทัพใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจนทนไม่ไหวแล้ว ขนาดนางไม่มีปัญญาซื้อยาได้อีกเลยซ่งซีซีเป็นคนกตัญญู ดังนั้นนางจะดูแลทุกอย่างอย่างเรียบร้อยโดยไม่ต้องให้นางเป็นห่วงนอกจากนี้ ซ่งซีซีไม่เคยบอกพวกเขามาก่อนว่าไทเฮาทรงเอ็นดูนางมากขนาดนี้ หากนางบอกพวกเขาตั้งแต่แรก อาจไม่แน่คุณท่านกับ
อีกอย่าง หากซ่งซีซีตอบตกลงก็แล้วไป หากนางไม่ยอม นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?ดังนั้น หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว "ให้ลูกสะใภ้รองไปก่อน หากนางไม่ตอบตกลงเราค่อยวางแผนใหม่"นางไม่สามารถแบกหย้าไปทำเช่นนั้นได้ หากนางไปเอง ต่อให้ซ่งซีซียอมคืนดีกับเป่ยว่างจริงๆ นางก็กู้คืนภาพลักษณ์ที่เป็นแม่สามีของนางได้อีกที่จวนแม่ทัพมียี่ฝางที่น่าอับอายขายขี้หน้าคนเดียวก็มากพอแล้ว จะเพิ่มคนที่ทำยอมเชื่อฟังไม่ได้อีกฮูหยินผู้เฒ่าจ้านกำลังจินตนาต่างๆ นาๆ ส่วนซ่งซีซีได้ไปตำหนักฉือหนิงเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮาแล้วไทเฮาอายุไม่ถึงห้าสิบปี และทรงดูแลตัวเองอย่างดี ยกเว้นรอยตีนกาที่หางตา พระองค์ไม่ทรงแสดงสภาพทรงชราแต่อย่างใดผมสีขาวสองสามเส้นปนกับผมดำ สังเกตได้ยากนางทั้งสง่างาม มีกิริยาท่าทางเพียบพร้อม เมื่ออยู่กับซ่งซีซียิ่งแสดงความอ่อนโยนออกมา"เจ้าเด็กน้อยนี่ เจ้าวิ่งไปที่สนามรบอย่างเงียบๆ หากเป็นอะไรขึ้นมา จะให้ข้าอธิบายกับท่านแม่ของเจ้าได้อย่างไร"ดวงตาของไทเฮาแดงก่ำเล็กน้อย นางชื่นชมซ่งซีซีแต่ก็เป็นห่วงใยด้วย บางทีอาจคิดถึงซ่งฮูหยิน นางก็รู้สึกอึดอัดใจมากขึ้น"ทำให้ไทเฮาทรงเป็นห่วง หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ" ซ่งซี
เสียงของไทเฮาสะอื้นเมื่อซ่งซีซียังเด็ก นางมักจะติดตามท่านแม่ของนางเข้าพระราชวัง ในเวลานั้น ไทเฮายังเป็นฮองเฮาหัวข้อที่นางและท่านแม่พูดถึงมากที่สุดคือ ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ต้องสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วย ย่อมไม่รับใช้ผู้ชายอย่างเดียว จะมีความคิดของตนเอง และใช้ชีวิตของตัวเองทุกครั้งที่นางพูดถึงเรื่องนี้ นางจะถอนหายใจ และบอกว่านางติดอยู่ใต้กำแพงสูงของวังหลัง ดูเหมือนว่านางจะกินดีอยู่ดี แต่ชีวิตอย่างสงบสุข ทว่าชีวิตนี้ใช้แต่ชีวิตอย่างนี้ไปตลอดกาลแล้วท่านแม่ก็พูดตามนางไปด้วย นางบอกว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องแต่งงานและมีลูกก็ได้ สามารถออกไปผจญภัยกับโลกภายนอกได้นั่นเป็นเหตุผลที่นางออกจากบ้านเมื่ออายุเจ็ดแปดขวบ และไปสถาบันว่านซงเหมินที่ภูเขาเหม่ยชานเพื่อเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ หากมีความสามารถจริง เมื่อนางไปผจญภัยกับโลกภายนอก ไม่ถึงขั้นจะตกอยู่ในอันตรายครอบครัวธรรมดาๆ จะทำใจส่งลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจของตัวเองไปเรียนศิลปะการต่อสู้ได้อย่างไร? แต่ท่านแม่ของนางทำได้ นางยังบอกกับท่านพ่อว่า อาจไม่แน่สักวันหนึ่งลูกสาวของพวกเขาจะออกศึกได้ก็ได้แต่ต่อมาท่านพ่อและพี่ชายของนางก็เสียชีวิตในสนามรบ และ
ซูลันจีน่านับถือจริงๆแต่หากองค์ชายรองของพวกเขาชนะบัลลังก์ และพบว่ารัชทายาทของเมืองซีจิงสิ้นพระชนม์ยังไง พวกเขาอาจไม่แน่ว่าจะไม่ส่งกองกำลังไปโจมตีชายแดนเฉิงหลิงอีกชายคนนี้ชอบทำสงคราม และซูลันจีก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้หลังจากพูดสิ่งที่ทำให้น่าโมโหเสร็จแล้ว ก็มาพูดถึงซ่งซีซีและเพื่อนๆ ของนางกันต่อฮ่องเต้รู้สึกภูมิใจ และยกย่องซ่งซีซีอย่างมากเขามองไปที่เซี่ยหลูโม่ และพูดว่า "ข้าได้คุยกับฮองเฮาแล้ว จะให้ซ่งซีซีเข้ามาเป็นพระสนม"เซี่ยหลูโม่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความกังวลเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ของเมืองซีจิง เมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ เขาพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว "ได้... อ่า? อะไรนะ?"เขาลุกขึ้นยืน และสรุาที่เขาดื่มเข้าไปนั้นสร่างเมาทันที เบิกตากว้าง และมองดูฮ่องเต้ด้วยความประหลาดใจ "เสด็จพี่ เสด็จพี่บอกว่าจะให้ซ่งซีซีเข้าวังแต่งตั้งนางเป็นเพราะสนมงั้นเหรอ?""ทำไมคุณถึงตื่นเต้นนัก?" ฮ่องเต้กลอกตาใส่เขา "ยามนี้ นางสร้างผลงานทางทหาร เป็นบุตรีของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดีกั๋วกงด้วย นางเป็นผู้นำของทั้งจวนเสนาบดีกั๋วกง พวกแม่ทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อของนางสักวันหนึ่งจะติดตามนางไป
เซี่ยหลูโม่เข้าใจประเด็นหนึ่งจากความคิดซับซ้อนนับพัน นั่นคือไม่ว่ายังไงจะให้เสด็จพี่รับซ่งซีซีเข้าวังเป็นพระสนมไม่ได้เด็ดขาดคนอย่างนาง แม้ว่าจะไม่ได้ต่อสู้อยู่ในสนามรบ แต่ก็ไม่ควรติดอยู่ในกำแพงสูงของวังหลัง"เสด็จพี่ นางเข้าวังไม่ได้ กระหม่อมไม่เห็นด้วยพะยะค่ะ นางเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อม ฝ่าบาทจะเอานางไปด้วยความบังคับไม่ได้ ทั้งๆ ที่ฝ่าบาทไม่ได้ถามความคิดเห็นจากนางด้วยซ้ำ""นั่นไม่ใช่เหตุผล""นางเพิ่งออกมาจากชีวิตการแต่งงานที่แย่ขนาดนั้น อย่างน้อยก็ให้เวลานางได้ปรับตัวสักหน่อย ให้สร้างความเชื่อใจกับผู้ชายอีกครั้ง ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของนาง แทนที่จะใช้กำลังบังคับ…"ฮ่องเต้มองไปที่เซี่ยหลูโม่ ด้วยสายตาที่เคร่งครัด "เวลาทำสงครางเจ้าก็ทำเช่นนี้หรือ ปล่อยให้ศัตรูมีเวลาปรับตัว? คอยคำนึงถึงความรู้สึกของศัตรูหรือ?"เซี่ยหลูโม่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่นิดเดียว "นางไม่ใช่ศัตรูสักหน่อย"ความดุร้ายของเขาเมื่ออยู่ในสนามรบดูเหมือนกลับมาแล้ว เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพี่ชายของเขา เขาไม่ได้ปิดบังการป้องกันที่เขามีต่อซ่งซีซี "นอกจากนี้ ตระกูลซ่งก็ถูกสังหารหมู่แล้ว และตอนนี้ นางได้สร้างผลงานให้ก
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง
ก่อนจะไปยังหนานเจียง ข้าไม่เคยมีแผนการใดในชีวิต ไม่มีเป้าหมาย ไม่เคยมีสิ่งใดที่อยากทำเป็นพิเศษเมื่อยึดหนานเจียงกลับคืนมาแล้วเดินทางกลับสู่เมืองหลวง เสียงโห่ร้องยินดีจากราษฎรทำให้ข้ารู้สึกว่า หากมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปวันๆ เช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรือ?ข้าจึงเริ่มครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตจากการติดตามย่างก้าวของซีซี ข้าก็ได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โรงงานช่างไปจนถึงสถาบันการศึกษาหย่าจวินหญิงมากหลายล้วนประสบชะตาน่าเวทนา และข้ามีความสามารถที่จะช่วยพวกนางได้ ข้าคิดว่า นี่คงเป็นหนึ่งในความหมายของชีวิตว่าเป็น “หนึ่ง” ก็หมายความว่ายังอาจมี “สอง” และ “สาม” ตามมาได้มิใช่ข้าจะโอ้อวดตนเอง แต่เนื้อแท้ของข้าคือคนที่ชังความชั่วโดยสันดานดังนั้น เมื่อได้ยินว่ามีฆาตกรฆ่าคนจำนวนมาก แต่กลับลอยนวลเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาผิดได้ ข้าย่อมโกรธเคืองนัก ข้าเห็นว่า คนฆ่าย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิตแรกเริ่ม ข้าไม่ได้กระทำการอันใดหุนหันพลันแล่น เพียงแต่เดินตามแนวทางของสำนักเขตจิงจ้าว สืบสาวเรื่องราวต่อไป และส่งมอบหลักฐานที่ได้มาให้แก่เจ้ากรมแห่งสำนักเขตจิงจ้าวจนกระทั่งข้าได้พบกับคดีหนึ่งที
ดอกเหมยบนภูเขาเหม่ยชานบานแล้ว ร่วงโรยแล้วเช่นกันในใจข้าย่อมอดเคืองนางไม่ได้ กลับบ้านไปแล้ว ก็จะทอดทิ้งพวกข้าด้วยหรือ? ไม่นึกถึงน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันตลอดหลายปีมานี้เลยหรือ?เฉินเฉินก็ด่านางว่าไร้หัวใจ ไปก็แล้วไป ไยจึงไม่แม้แต่จะส่งจดหมายมาสักฉบับ?นานวันเข้าพวกข้าก็เลิกพูดถึงนางเสียเอง ราวกับว่าการไม่เอ่ยชื่อนางเลย คือการแก้แค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผู้ละทิ้งพวกข้าต่างก็ตกลงกันไว้ว่า หากนางกลับมายังภูเขาเหม่ยชานอีกครั้ง ไม่ว่าใครก็จะไม่ไปพบนาง ไม่พูดกับนางสักคำ แม้นางจะให้คนส่งจดหมายมา ข้าก็จะไม่ตอบกลับ แม้แต่จะอ่านยังไม่อ่านวันเวลาผ่านไปกลางดาบคมและเงาเย็น พวกข้าทุกคนต่างฝึกฝนวิชาให้แกร่งกล้า ราวกับได้ตกลงกันไว้แล้วว่า หากยังไม่ตาย ก็จะฝึกจนสุดกำลังแม้ไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา แต่ข้าย่อมรู้ว่าในใจของทุกคนคิดไม่ต่างกัน ย่อมไม่มีวันเป็น ‘นางที่ยิ้มแย้ม’ ได้อีกแล้ว เพราะเจ้าหวังห้าเล่าว่า ตั้งแต่นางจากเขาลงไป ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีหน้าเคร่งเครียดทุกเมื่อเชื่อวันพวกข้าไม่รู้ว่านางประสบเรื่องราวใด แต่ข้าก็ฝึกฝนจนกล้าแข็ง เพียงรอวันที่นางต้องการข้า ดาบในมือย่อมพร้อมชักออกจา