องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ท่ารพ่อตาของข้าดูแลฝ่ายตรวจการเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจการ ก่อนหน้านี้ที่เขากลับจวนมาทานข้าว ได้ยินเขาพูดถึงว่าบัดนี้ต้องปรับปุงและเข้มงวดกับการกระทำของข้าราชการมากขึ้น ต้องใช้กฏต่างๆ ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนตั้งไว้ต่อ การเป็นข้าราชการย่อมซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ใจ ทุกวันนี้เขากำลังหารือกับอวี้สื่อจงเฉิง(เป็นขุนนางฝ่ายตรวจสอบในราชสำนัก)เกี่ยวกับเรื่องนี้ งั้นซื่อจื่อเหลียงก็มาถูกเวลาพอดี"ซ่งซีซีได้ยินคำพูดนั้น และพูดด้วยรอยยิ้ม "นั่นก็พอดีเลย แต่รอสักวันสองวันก็ได้ หญิงงามเมืองคนนั้นโดนทุบตีในวันนี้ ซื่อจื่อคงทุกข์ใจมาก ข้าเคยเจอเขามาครั้งหนึ่ง เขาดูถูกดูแคลนข้าอย่างมาก คิดดูว่าเขาต้องมาเอาเรื่องที่จวนแน่ๆ ไม่รู้ว่าการรุกรานพระชายาถือเป็นอาชญากรรมได้หรือไม่"องค์หญิงหมิ่นชิงกล่าวว่า "ได้ยินมาว่าซื่อจื่อเป็นเทวดาลับชาติมาเกิด มีพรสวรรค์พิเศษ เขาเป็นถ้านฮัวที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เอง เป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิ การเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิยิ่งต้องยับยั้งตัวเองและเป็นตัวอย่างที่ดี ตอนนี้ฝ่ายในวุ่นวายไปหมด ยังไปเที่ยวสถานบันเทิงอย่างเปิดเผย กลับรับคนในนั้นมาเป็นอนุภรรยาและให้ความ
หลังจากกลับมาถึงจวน ซ่งซีซีเลยถามกับกุ้นเอ๋อร์ กุ้นเอ๋อร์ก็ถามคำถามแรกว่า "ให้เท่าไหร่"ซ่งซีซีรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญมาอย่างง่ายๆ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้อาจารย์ของเขายอมตอบตกลงก็คือการเสนอค่าแรงให้เยอะหน่อยซ่งซีซีกล่าวว่า "จนกระทั่งถึงเด็กเกิดมาอย่างราบรื่นแล้วได้ครบหนึ่งเดือน รวมๆ ดูก็แค่ไม่กี่เดือนเอง หากมาสองคน ข้าออกเงินเป็นเหมาไปเลย หนึ่งพันตำลึง เจ้าว่ายังไง"กุ้นเอ๋อร์สอดมือของเขาลงบนผมของเขาแล้วพูดว่า "ไม่ยังไง แต่ข้าต้องเขียนจดหมายทันที ที่จวนอ๋องมีคนที่ส่งจดหมายโดยเฉพาะหรือเปล่า? โปรดส่งจดหมายถึงอาจารย์ของข้าทันที ให้เร็วที่สุด เดี๋ยวนี้เลยนะ"ซ่งซีซียิ้ม "โปรดเขียนจดหมายออกให้โดยเร็วที่สุด"หนึ่งพันตำลึง มันไม่ใช่น้อยจริงๆอาจารย์ของเขาไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ลงจากภูเขา เพราะการเป็นองครักษ์หญิงคอยปกป้องนายหญิงของตระกูลร่ำรวย เงินเดือนมากสุดก็แค่สองตำลึง แถมยังต้องทนความคับข้องใจด้วยตอนนี้ไปปกป้องท่านหญิง ไม่มีใครทำอารมณ์ใส่ตนเอง ไม่ต้องทำงานอื่น แค่ปกป้องนางจากการถูกทำร้าย มากสุดก็แค่มีหน้าที่ดูแลยาบำรุงครรภ์ของนางหลังจากทำงานแบบนี้เพียงไม่กี่เดือน คนสองค
กุ้นเอ๋อร์เน้นย้ำต่อหน้าพวกนางครั้งแล้วครั้งเล่า "จากนี้ไปต้องเรียกข้าด้วยชื่อของข้าในจวนอ๋อง ข้าชื่อเมิ่งเทียนเซิง ไม่ใช่กุ้นเอ๋อร์ หรือไม้กวนอุจจาระ ยิ่งไม่ใช่ตัวกวน"เสิ่นว่านจือยักไหล่ "ชื่อกุ้นเอ๋อร์ถูกแพร่กระจายออกไปมานานแล้ว แต่ก็ตามที่เจ้าสบายใจจะเรียกเจ้าว่าเทียนเซิงก็ได้ แต่ถึงยังไงเจ้าก็เป็นแท่งไม้แท่งหนึ่งในใจของเราตลอด"ซ่งซีซีให้คนพาศิษย์พี่สาวสองคนออกไปอาบน้ำอาบท่า จากนั้นออกไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปสักสองสามชุด และจะไปจวนเฉิงเอินป๋อในเช้าวันพรุ่งนี้เนื่องจากใบสั่งยาที่หงเชวี่ยออกให้ฮูหยินผู้เฒ่าโหวผิงหยางนั้นก็สั่งให้เสิ่นว่านจือแวะไปส่งด้วย เลยต้องเดินผ่านจวนแม่ทัพเมื่อเดินผ่านจวนแม่ทัพ เสิ่นว่านจือก็เปิดม่านและมองดู ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงไม่ได้สนใจอีกพอมอบใบสั่งยาให้กับพ่อบ้านจวนโหวผิงหยางแล้ว พวกนางก็ไม่หยุดต่อและรีบไปที่จวนเฉิงเอินป๋อในรถม้า ได้กำชับศิษย์พี่หลัวและศิษย์พี่ซือโซว่าหลังจากเข้าจวนแล้วต้องระวังอะไรบ้าง"เราจะไม่เป็นฝ่ายริเริ่มไปโจมตีผู้คน ไม่เป็นฝ่ายริเริ่มที่จะลงไม้ลงมือ แต่อย่าให้อนุที่ชื่อว่าเยียนหลิวคนนั้นเข้าใกล้ท่านหญิงหากซื่อจื่อเหลียงมาระ
ซ่งซีซีนึกถึงสิ่งที่เสิ่นว่านจือพูดในก่อนหน้านี้ หวังชิงหลูต้องการแข่งขันกับนางในเรื่องสินเดิม และบวกกับครั้งล่าสุดที่เจอการก็จบอย่างไม่สบอารมณ์ ดังนั้นนางจึงแค่พยักหน้าเบาๆ "จ้านฮูหยิน""พระชายามีเวลาว่างขนาดนี้หรือ มาดูเรื่องสนุกที่จวนแม่ทัพของเราตั้งแต่เช้างั้นเหรอ?" หวังชิงหลูมีสีหน้าแย่มาก ทั้งอย่างพูดอย่างเสียดสี "หรือว่าพระชายาลืมทางกลับวังของจวน และคิดว่าบ้านของตนเองยังอยู่จวนแม่ทัพงั้นหรือ"เสิ่นว่านจือเตรียมตัวจะลงจากรถม้าทันที แต่ซ่งซีซีห้ามนางไว้ จากนั้นมองหวังชิงหลูด้วยรอยยิ้มจาง ๆ โดยพูดว่า "พอมีเวลาว่างๆ ก็ต้องกลับมาคำนึงถึงอดีตสักหน่อยสิ และแวะมาดูว่าแหล่งรวมคนชั่วอย่างจวนแม่ทัพได้อยู่อย่างสบายหรือไม่ ถือว่ามีน้ำใจมากสินะ"หวังชิงหลูหน้าเขียวคล้ำถมึงทึง "เจ้าว่าแหล่งรวมคนชั่วอะไรกัน พระชายาอยากเห็นจวนแม่ทัพขายหน้าสินะ งั้นก็ลงรถไปดูสิ ไปเห็นแก่ตา ไปดมกลิ่นด้วยตัวเอง ถ้าชอบล่ะก็ สามารถเอามือไปเช็คด้วยนะ"ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "ข้าไม่ได้เป็นสมาชิกของจวนแม่ทัพอีกแล้ว สถานที่ที่เต็มไปด้วยของสกปรกเช่นนี้ ก็เก็บไว้ให้จ้านฮูหยิน เช็คเองเลย"หวังชิงหลูกล่าวด้วยความโกรธ "เป็
ซ่งซีซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อนางบอกว่าต้องการสั่งสอนหวังชิงหลูนั้น ก็กลัวมากว่าเมื่อนางอยู่ในจวนเฉิงเอินป๋อพอเจออะไรที่ไม่พอใจก็จะใช้กำลังเลยเชื่อว่าพวกนางก็รู้อะไรควรอะไรไม่ควรด้วยซ่งซีซีรู้สึกหมดคำพูดกับกับหวังชิงหลูจริงๆพูดตามตรงก็ไม่เคยมีเรื่องกับนางมาก่อน ทำไมถึงเกลียดนางมากขนาดนี้?แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ ก็พอจะเข้าใจได้ ว่าฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นคงพูดให้ร้ายนางไม่น้อยเมื่อต่อหน้าหวังชิงหลูดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นจะอิจฉาที่นางได้แต่งงานเข้าจวนอ๋องจริงๆเพียงแต่ว่าหวังชิงหลูก็เป็นภรรยาคนในตระกูลฝางมาก่อนเช่นกัน คุณชายฝางนั้นเป็นคนมีเหตุผลมากแค่ไหนเชียว ทำไม่นางถึงไม่เรียนรู้นิสัยนั้นมาแม้แต่น้อยล่ะเมื่อมาถึงจวนเฉิงเอินป๋อ ฮูหยินเฉิงเอินป๋อก็รีบต้อนรับผู้คนเข้าไปในห้องโถงดอกไม้นางรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย เพราะหลายวันก่อนเหลียงเส้าได้ไปก่อเรื่องที่จวนอ๋อง นางเลยกังวลอยู่เสมอว่าคนในจวนอ๋องจะมาเอาเรื่องเมื่อรอมาหลายวันก็ไม่เห็นมีคนมา เมื่อวันนี้ได้ยินคนมารายว่าเป่ยหมิงอ๋องมา จู่ๆ นางก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นมาสิ่งที่นางกังวลก็คืออนาคตสดใสของลูกชายของนาง แต่ได้ยิน
ซ่งซีซีมองดูดวงตาที่แดงก่ำของหลานเอ่อร์ นางพยายามเอาพัดปิดหน้า นางถอนหายใจ "เพราะงั้นเจ้ารู้ว่าข้ามาแล้วแต่ก็ไม่ยอมมาพบข้าหรือ"หลานเอ่อร์พูดด้วยเสียงสะอื้น "ท่านพี่ ดวงตาของข้าให้คนอื่นเห็นเข้าไม่ได้"ซ่งซีซีมองแวบหนึ่งแล้วพูดว่า "ก็จริง มันบวมเหมือนลูกทอ""ท่านพี่…" เสียงของหลานเอ่อร์สำลักอีกครั้ง "เพราะเรื่องวันนั้น เขามาตำหนิข้าทุกวัน เขาจะใจร้ายขนาดนี้ได้ยังไง"ซ่งซีซีขมวดคิ้ว "เขาตำหนิเจ้า ทำไมเจ้าไม่ตำหนิกลับล่ะ""ข้า…" น้ำตาของหลานเอ่อร์ไหลลงมาอีกครั้ง "ข้าไม่รู้จะด่าทอคนอย่างไร"ซ่งซีซีไม่สามารถทำอะไรนางได้จริงๆ ดังนั้นจึงหันกลับไปถามศิษย์พี่ซือโซว่า "ศิษย์พี่ ท่านสาปแช่งคนเป็นด้วยไหม""โอ้ สบายมากเลย" ศิษย์พี่ซือโซกล่าว"เยี่ยม ถ้าต่อไปซื่อจื่อเหลียงมาด่าท่านหญิง ท่าก็ด่ากลับ ท่านจำหลักการข้อหนึ่งไว้: ถ้าเขาด่า เจ้าก็ด่ากลับ ถ้าเขาลงมือ ท่านก็ลงด้วย""สุดยอดไปเลย" ศิษย์พี่ซือโซกล่าว"ท่านพี่ สองคนนี้คือใครเหรอ" หลานเอ่อร์หยุดร้องไห้และถามอย่างสงสัย"พวกนางเป็นศิษย์พี่สาวที่ข้ารู้จักในภูเขาเหม่ยชาน พวกนางมีวรยุทธ์และรู้การแพทย์บ้าง สามารถดูแลเรื่องอาหารการกินของเจ้า
ยี่ฝางหรี่ตาลง ร่างกายของนางแข็งทื่อ และความโหดร้ายพุ่งออกมาจากดวงตาแต่ไม่นานนักนางก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ "แล้วไงล่ะ นางอยากมาร่วมสนุกก็เป็นเรื่องของนาง"หวังชิงหลูพูดไม่ออกชั่วครู่หนึ่ง "เจ้า... ยี่ฝาง ข้าขอร้องเจ้า เจ้าไปกล่าวขอโทษที่จวนโหวเจี้ยนคังอีกครั้งได้ไหม ที่เจ้าทำเช่นนี้ไม่เพียงมีผลกระทบต่อจวนแม่ทัพ ทั้งยังส่งผลกระทบต่ออาชีพการงานของท่านสามีด้วย""ท่านสามีงั้นเหรอ? เรียกอย่างสนิทกันจริงๆ" ยี่ฝางยิ้มอย่างเย็นชา"ข้าเรียกแบบนี้มีอะไรผิดหรือ? เขาไม่ใช่ท่านสามีของข้าหรือไง"ยี่ฝางพูดอย่างเย็นชา "ใช่ เขาเป็นท่านสามีของเจ้า ดังนั้นอนาคตของเขาต้องให้เจ้าไปวางแผน จะให้ขอโทษหรือเอาเงินส่วนตัวมาใช้นั้น เจ้าก็ทำเองหมดเลย""นี่เจ้ามีทัศนคติอย่างไร?"ยี่ฝางฟันดาบของนาง "ทัศนคติของข้าก็คือให้ออกไปจากที่นี่และอย่ามายุ่งกับข้าอีก"หวังชิงหลูโกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน นางยังเป็นภรรยาเอก ยี่ฝางกล้าหยาบคายต่อหน้านางเช่นนี้ได้อย่างไรที่นางพูดต่อหน้าซ่งซีซีว่านางยินดีใช้สินเดิมของตนเองเพื่ออุดหรุนให้จวนแม่ทัพ แต่จริงๆ แล้วนางรู้สึกไม่สบอารมณ์มาก
ในเช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฉื่อสวี่และอวี้สื่อจงเฉิงได้นำผู้คนจากฝ่ายตรวจการหลายคนไปทูลรายงานทูลร้องเรียนเรื่องถ้านฮัวซื่อจื่อเหลียงแต่งหญิงงามเมืองเป็นอนุในขณะที่ฮูหยินเอกกำลังตั้งท้อง รักใคร่อนุภรรยาเย็นชาใส่ภรรยาเอก รังแกท่านหญิงทูลร้องเรียนทางจวนแม่ทัพไม่เคารพฮูหยินผู้เฒ่าโหวเจี้ยนคัง ซึ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจมาก ประชาชนขว้างอุจจาระเพื่อระบายความโกรธ พวกเขาถูกลากเข้าจวนและโดนตัดมือทิ้ง คนๆ นั้นได้แจ้งความที่สำนักเขตจิงจ้าว เขายอมรับเรื่องขว้างอุจจาระ แต่ก็ร้องเรียงจะเอาค่าชดเชยด้วยจ้านเป่ยว่างไม่สามารถเข้าไปในห้องโถงของราชสำนักได้ และเมื่อมาเข้าประชุมก็ได้แต่ยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับขุนนางที่มีระดับต่ำดังนั้นเรื่องข้างในจะหารือการเมืองอะไรกัน เดิมทีเขาไม่ได้ยินอยู่แล้ว แต่พวกอวี้ฉื่อ(ขุนนางฝ่ายตรวจการ)เสียงดังมาก ส่งไปถึงข้างนอก เมื่อเขารู้ว่าตนเองถูกร้องเรียนอีกก็รู้สึกใจหายเลยเขาอยากตบหน้าตัวเองสักสองฉาดไปเลย ทำไมตอนแรกเขาจะเลือกทอดทิ้งซ่งซีซีกลับไปแต่งงานกับยี่ฝางตอนนี้ทำให้ครอบครัวเดือนร้อนไปด้วย อนาคตของตนเองก็อาจไปไม่ไกลด้วยเหลียงเส้ายืนอยู่ในราชสำนัก แต่เขายังคงโต้เถียงแ
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง