เขาพยายามดิ้นรน แต่ไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อยและอ่อนแอราวกับป่วยหนักประตูถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกับเสียง "แค่ก" เขารีบหันศีรษะไปมอง และเห็นใครบางคนเดินอ้อมฉากบังตามานางหวีผมเป็นทรงมวยตกหลังม้า(เป็นลักษณะมวยเอียงคล้ายกับคนกำลังตกลงมาและเป็นมวยแกละคล้ายหลังม้า) ประดับด้วยปิ่นระย้า เสื้อคอเหลี่ยมสีขาวมีแถบสีเขียว และเสื้อคลุมผ้าต่วนลายเมฆ นางดูอายุประมาณสี่สิบปี ยังบำรุงหน้าตาเป็นอย่างดี แต่ใบหน้าของนางดูสง่างามและจริงจัง ค่อนข้างจะมีพลังที่น่าเกรงขามของผู้นำมีคนเดินตามข้างหลังนาง และย้ายเก้าอี้ไปข้างเตียง นางค่อยๆ นั่งลงและสบตากับสายตาที่ตกตระหนกและสงสัยของซ่งจืออันด้วยสายตาที่เย็นชา"เจ้า...เจ้าเป็นใคร?" ซ่งจืออันไม่เคยเห็นองค์หญิงใหญ่มาก่อน แต่รู้ดีว่าตัวตนของนางย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนองค์หญิงใหญ่เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของเขา และใจของนางก็หดหู่ถึงสุดขีด ราวกับว่าไฟที่จุดไว้ถูกราดด้วยน้ำในทันที ดับลงจนไม่มีประกายไฟเหลืออยู่แม้แต่น้อยหน้าตาคล้ายกัน แต่กิริยาท่าทางและความกล้าหาญต่างกันราวฟ้ากับดิน"เจ้ากลัวข้าเหรอ" องค์หญิงใหญ่ถามช้าๆ โดยไม่ได้ปิดบังความรังเกียจในดวงตาของนา
เมื่อแม่นมฝางได้ยินว่าให้ขังไว้คุกใต้ดิน นางก็รีบไล่ตามไป "องค์หญิง ท่านเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม?"องค์หญิงใหญ่เพียงรู้สึกหงุดหงิดมาก "ขังไว้ที่คุกใต้ดินไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน""เจ้าค่ะ ท่านอย่าทรงโกรธ เดี๋ยวจะไม่ดีต่อสุขภาพของตนเอง" แม่นมฝางเกลี้ยกล่อม"ไม่มีใครเทียบเขาได้ ถึงเขาจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกประการ แต่ถ้าไม่ใช่เขายังไงก็ไม่ใช่เขา เขาไม่สามารถทำให้ข้ารู้สึกหวั่นไหวใจใดๆ เลย มีใบหน้าเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้ามองดูแล้วก็รู้สึกโกรธด้วย"ดวงตาของนางอายแววความกราดเกรี้ยว สาวเท้าเดินกลับห้อง พอนั่งลงแต่ยังคงรู้สึกหงุดหงิดมาก "คนใช้ ไปเอาน้ำกับสบู่มา ข้าจะล้างมือ"สาวใช้ต่างๆ เริ่มทำหน้าที่ของตนเอง นางล้างมือที่สัมผัสกับซ่งจืออันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับทุกครั้งที่นางจุดตะเกียง หลังจากร่วมรักกับฝู้หม่าเสร็จ นางก็ต้องแช่ตัวในถังน้ำร้อนถังแล้วถังเล่า เพื่อชำระล้างความสกปรกที่ทำให้น่าเกียจออกไปแม่นมฝางสั่งให้สาวใช้ออกไป มองดูองค์หญิงใหญ่ที่มีทีท่าบ้าคลั่งนั้น ได้แต่ถอนหายใจ "องค์หญิง ที่ท่านรักซ่งฮวยอันเพราะรักหน้าตาของเขาหรือเปล่า เขาตายแล้วก็คือตายแล้ว แม้ว่ามีคนที่หน้าตาเหมือนเป๊ะนั้น
บ้านของซ่งจืออันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเก่า เป็นบ้านพักที่มีทางเข้าสองทางและทางออกสองทางและมีลานบ้านด้วยในวันธรรมดา นางหวง ภรรยาของซ่งจืออันจะมาเยี่ยมแม่สามีหลังอาหารเย็นเพื่อมาทำงานเย็บปักถักร้อยกับแม่สามีด้วย ทำเสื้อผ้าให้ทารกในครรภ์ หรือทำของเล่นให้บุตรชายสองคนของนางด้วยแต่คืนนี้ นางไม่ได้มา แม้กระทั่งไม่ได้ยินเสียงเด็กสองคนเล่นด้วยซ้ำ แม่ซ่งรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย จึงส่งพี่เลี้ยงซือไปตรวจดูสักหน่อย พี่เลี้ยงซือถามดูพอถึงบ้านของนางหวง จากนั้นกานเซียะ สาวใช้ข้างกายของนางหวงพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ฮูหยินน้อยได้ไปทำงานปักที่เรือนฮูหยินแล้วมิใช่หรือ ออกไปตั้งครึ่งชั่วยามแล้ว และพานายน้อยสองคนไปด้วย"พี่เลี้ยงซือแปลกใจ "ไม่เห็นเลย เพราะฮูหยินไม่ได้เจอฮูหยินน้อย เลยสั่งข้ามาถามดู"กานเซียะกล่าวว่า "เป็นไปได้ยังไง ได้ไปแล้วจริงๆ หลังมื้อเย็นได้กลับมาดื่มยาป้องกันทารกในครรภ์เสร็จก็ออกไปแล้ว""นางบอกว่าไปเรือนฮูหยินหรือ?""ใช่ หว่านเซียะก็ได้ตามนางไปด้วยนี่ ก่อนที่ฮูหยินน้อยจะออกไปยังสั่งให้ข้าน้อยทำความสะอาดระเบียง ข้าน้อยจึงไม่ตามนางไปด้วย"พี่เลี้ยงซือบอกว่า "ไม่เห็นเลย หรือว่าได้แวะ
เซี่ยหลูโม่เห็นอาจารย์หยูถือกระดาษใบหนึ่งอยู่ในมือ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ที่อยู่ของแม่ลูกสามคนนั้นลุงฟูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทำไมไม่ส่งคนเยอะๆ ไปตามหาล่ะ? ดึกขนาดนี้ ต้องหาคนให้ได้โดยเร็ว ไม่เช่นนั้นหากเกิดเป็นอะไรขึ้นมาก็สายแล้วเขามองไปที่คุณหนู ซ่งซีซียังคงเงียบ เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ลุงฟู ทำตามที่อาจารย์หยูบอก นำคนไปตามหาก็พอ ส่วนทางด้านตระกูลซ่งเจ้าไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่บอกว่าทางจวนอ๋องจะส่งคนไปตามหา หากพรุ่งนี้ยังหาไม่เจอก็ให้เขาไปแจ้งความที่สำนักเขตจิงจ้าว"ขนาดท่านเขยก็พูดเช่นนั้นแล้ว ลุงฟูตอบว่า "ขอรับ จะทำตามที่ท่านอ๋องสั่งขอรับ"ทันทีที่ลุงฟูจากไป เสิ่นว่านจือก็วิ่งเข้ามา นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จในห้อง และได้ยินคนในจวนบอกว่าลุงฟูจากจวนเสนาบดีกั๋วกงมาหา กลัวว่าได้เกิดอะไรขึ้นจึงวิ่งมา"เกิดอะไรขึ้น?" ผมของเสิ่นว่านจือยังไม่แห้งเลย แค่มัดด้วยปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งอาจารย์หยูจับกระดาษในมือและให้กุ้นเอ๋อร์นำคนไปเฝ้าข้างนอก "ข้อความจากสายลับที่เราแอบจัดอยู่ในจวนองค์หญิงใหญ่ โดยบอกว่าคืนนี้ตู้ฉิน หัวหน้าองครักษ์ขององค์หญิงใหญ่พาลูกน้องออกไปสองสามคน ไม่นานเขาก็กลับมาจากประตูด้านข้างและอุ้ม
เสิ่นว่านจือถามว่า "มีแผนที่ของจวนองค์หญิงใหญ่หรือไม่ คุกใต้ดินอยู่ที่ไหน?"เซี่ยหลูโม่ตอบ "จะต้องมีแผนที่อยู่แล้ว จะลงมือในคืนพรุ่งนี้ จะไม่มีแผนที่ได้อย่างไร"จู่ๆ เสิ่นว่านจือก็รู้สึกหงุดหงิดมาก นางกับพวกของหงเซียวเป็นกลุ่มที่สืบข่าวกรองเหล่านี้ แต่กลับไม่ได้ข่าวใหญ่ใดๆ "พวกเจ้าแอบจัดคนให้เข้าไปได้อย่างไร ขนาดมีสายลับที่จวนองค์หญิงใหญ่อย่างเงียบๆ ได้ยังไง? นี่เป็นสถานที่ที่จัดคนเข้าไปได้ยากที่สุดแล้วมั้ง? อีกอย่างทำงานสำคัญด้วย ทำไมจัดอย่างง่ายดาย อีกอย่างมีมากกว่าหนึ่งคนด้วย"อาจารย์หยูไม่อยากพูดถึงเรื่องทำความสะอาดโถชักโครกด้วย เลยเปลี่ยนเรื่องเข้าประเด็นว่า "แผนเบื้องต้นคือให้ท่านอ๋องแอบเข้าไป แต่ในเวลานี้ ไม่สามารถจะฝากข้อความไว้ได้ในสถานที่ที่กำหนดให้พวกเขาเห็นเพราะฉะนั้นพวกเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ ต้องพึ่งพาท่านอ๋องแอบเข้าไปด้วยตนเอง ดีที่เรารู้จักการจัดระบบความปลดภัยและแผนลาดตระเวนของจวนองค์หญิง แอบเข้าไปตอนยามไฮ่จะดีที่สุด บัดนี้ก็ใกล้จะยามจือแล้ว พลาดเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว"เซี่ยหลูโม่กล่าวว่า "ข้าต้องออกเดินทางทันที เปลี่ยนชุดกลางคืนก่อน"เขาหันไปมองซ่งซีซี แล้วพูดอย่าปลอบใ
ซ่งซีซีไม่ตอบนาง "พรุ่งนี้ ข้ากับท่านอ๋องจะออกจากเมือง ช่วยทาสีเล็บให้ข้าที จะได้ไม่ต้องตื่นเช้าในวันพรุ่งนี้""คุณหนู พรุ่งนี้จะไปไหนเหรอ? จะพาข้าน้อยไปด้วยไหม?" เป่าจูถามอย่างมีความสุข"ไม่พาเจ้าไปด้วย" ซ่งซีซีจ้องมองนางอย่างแกล้งๆ "เอาแต่คิดไปเที่ยว"จิ้งซินยังคงมองไปรอบๆ มันแปลกจัง เมื่อกี้ท่านอ๋องและพระชายาได้เข้าไปในห้องด้วยกันชัดๆ ทำไมมีแต่พระชายา แล้วท่านอ๋องล่ะเขาไม่ได้ออกไปทางประตูอย่างแน่นอน ประตูถูกล็อคตลอดเวลา เป็นไปได้ไหมที่เขากระโดดออกไปนอกหน้าต่าง? ทำไมลึกลับจัง?เมื่อนำสีทาเล็บออกมา ทั้งสองคนกำลังจะทำเล็บให้ซ่งซีซีอยู่ กลับได้ยินเสียงของเสิ่นว่านจือดังขึ้น "ซีซี ทำไมต่างหูไข่มุกตงจูที่เจ้าให้ข้าถึงหายไป? อยู่กับเจ้าหรือเปล่า?"เสิ่นว่านจือกล่าวพร้อมกับก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ "ช่วยดูให้หน่อยสิว่ามันอยู่ที่นี่หรือเปล่า"ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "เจ้าไม่เคยถอดต่างหูในเรือนของข้าเลย ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? เป็นเพราะเจ้าถอดมันออกแล้ววางไว้ที่ไหนสักแห่งแล้วลืมมันไปหรือเปล่า? ได้เช็คดูอย่างละเอียดแล้วหรือยัง?"เสิ่นว่านจือเปิดกล่งเก็บของและกล่องเก็บเครื่องประ
การค้นหาครั้งใหญ่เช่นนี้ต้องกวนสนมฮุ่ยไทเฟยเข้าแน่ๆไทเฟยเข้านอนตั้งนานแล้ว และกำลังหลับสนิทอยู่ก็ได้ยินเสียงโวยวายจากข้างนอก จึงถามแม่นมเกาซึ่งนอนห้องเดียวกันให้ออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อได้ยินว่ามีคนรับใช้ในจวนขโมยของและขโมยต่างหูไข่มุกตงจูของเสิ่นว่านจือไป นางก็โกรธเล็กน้อย "ค่าแรงและสวัสดิการของจวนอ๋องดีกว่าจวนอื่นๆ ตั้งเยอะ ยังมีคนที่ไม่รู้จักพออีก หากได้จับตัวได้ก็ต้องให้หักมือทิ้งเลย""พระชายามาแล้ว" คนนอกเข้ามารายงานในคืนที่หนาวเย็น สนมฮุ่ยไทเฟยไม่ยอมลุกจากผ้าห่มที่อุ่นๆ และพูดว่า "นางไม่ได้ดูแลสถานการณ์โดยรวมภายนอก มาทำอะไรที่นี่ที่นี่ ข้าก็เข้านอนแล้ว""เสด็จแม่" ซ่งซีซีสาวเท้าเข้ามา นางมาที่นี่ด้วยตนเอง ต่างหูตงจู่จะถูกพบได้จากเตียงของจิ้งซินเท่านั้นในคืนนี้ และจิ้งซินเคยเป็นคนของไทเฟย ดังนั้นนางจึงมาเฝ้าที่นี่ก่อน เมื่อถูกค้นพบแล้วค่อยหารือกับนางว่าต้องจัดการอย่างไร"เจ้ามาที่นี่ทำไม กลางคืนหนาวจัดเช่นนี้ ไม่รู้ใส่เสื้อให้เยอะๆ หน่อยหรือไง" ใบหน้าที่ไม่พอใจของสนมฮุ่ยไทเฟยเปลี่ยนเป็นดีอกดีใจขึ้นมาทันทีหลังจากเห็นซ่งซีซี "มานั่งนี่สิ"ซ่งซีซีไหว้ให้นาง นางรู้ดีว่าเส
ไม่นานหลังจากนั้น จิ้งซินก็ถูกพาเข้ามา ใบหน้าของนางซีดเผือด แม่นมเหลียงนำกล่องไม้ที่พบจากใต้เตียงของนางขึ้นมา และเทสิ่งของทั้งหมดลงในกล่องบนโต๊ะนอกจากต่างหูไข่มุกตงจูแล้ว ยังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีกมากมาย แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันมีราคาไม่น้อยเลย นอกจากนี้ ยังมีตัวเงินหลายใบอยู่ใต้กล่องไม้อีกด้วย เมื่อเปิดมันออก ล้วนเป็นตัวเงินหนึ่งร้อยตำลึง และยังมีทองคำสองแท่ง แท่งเงินห้าแท่ง เศษเงินอีกมากมายสนมฮุ่ยไทเฟยเบิกตากว้าง นางได้ลุกขึ้นหลังจากสาวใช้ไปชงชาให้แล้ว ตอนนี้เมื่อมองดูสิ่งของบนโต๊ะ นางหยิบปิ่นปักผมทองชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู ปิ่นปักผมนั้นมีอัญมณีฝังอยู่ ผลิตภัณฑ์นี้สนมฮุ่ยไทเฟยคุ้มเคยมาก ล้วนเป็นสิ้นค้าจากร้านจิน ของที่เลียนแบบจากร้านจินจิงจากนั้นก็หยิบกำไลขึ้นมาอีกอันหนึ่งแล้วมองดู ฝีมืองานก็คล้ายกันเครื่องประดับดังกล่าวมีสิบกว่าชิ้น รวมถึงตัวเงิน แท่งทองคำ และแท่งเงินพวกนั้น พอคำนวณคร่าวๆ จะรวมกันได้เงินหลายพันตำลึงทีแรกสนมฮุ่ยไทเฟยคิดว่านางขโมยของไป แต่คนในจวนอ๋องมีใครบ้างที่จะใช้เครื่องประดับจากร้านจินล่ะ? แม้ว่าเครื่องประดับของนางในก่อนหน้านี้ก็เอาไปขายหมดแล้ว หลังจากวาดเส
สายหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมยอด ดอกเหมยเบ่งบานหลายคราเซี่ยเจิงมีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์สูงส่งนัก เรื่องนี้เรียกได้ว่าเก็บข้อดีของเซี่ยหลูโม่และซ่งซีซีมาไว้ทั้งหมดเหรินหยางอวิ๋นสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิใจว่า เซี่ยเจิงคือลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของภูเขาเหม่ยชานอูโซเว่ยเองก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เมื่อนางถูกเซี่ยเจิงถามว่าใครเก่งกว่ากัน ระหว่างนางกับท่านพ่อ อูโซเว่ยได้แต่ตอบอย่างเลี่ยงๆ ว่า "พอๆ กัน ต่างก็มีข้อดี"วรยุทธ์ของเซี่ยเจิงที่ฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ หาได้มาจากเพียงหมื่นสำนักเท่านั้นนางได้ร่ำเรียนจากทุกฝ่ายในภูเขาเหม่ยชานเมื่อนางมาถึงภูเขาเหม่ยชาน ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ผิวขาวเนียนราวหยก รอยยิ้มหวานละมุน ผู้ใดเห็นก็ต้องเอ็นดูนางช่างพูด ช่างคุ้นเคยเร็ว อีกทั้งปากหวานนัก หลอกล่อให้บรรดาหัวหน้าสำนักต่างถ่ายทอดวิชาให้หมดเปลือกเดิมทีนางมีนิสัยซุกซน แต่ด้วยการมุ่งมั่นฝึกวรยุทธ์ และฝึกฝนวิชาเนื้อใน จิตใจก็สงบนิ่งขึ้นมากครั้นถึงปีที่สิบห้า นางได้เข้าพิธีเก็บปิ่นพิธีเก็บปิ่นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ของขวัญย่อมหลั่งไหลมาดังสายน้ำ ส่งเข้ามาไม่ขาดสายซ่งซีซีได้มอบ
แสงแดดสาดลงบนกิ่งไม้ ใต้พุ่มใบหนาแน่น เผยให้เห็นขาเล็กๆ คู่หนึ่งแกว่งไปมา ดูแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจนักนางมีนามเดิมว่าเซี่ยเจิง ชื่อนี้จารึกอยู่ในหยกพงศ์ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นชื่อเล่นว่าจิ้งเหยียนว่ากันว่าเพราะมารดาของนางรังเกียจที่นางพูดมาก จึงตั้งชื่อนี้เพื่อกดทับให้นางสงบลงเซี่ยเจิงเองเห็นว่าตั้งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์ อีกทั้งฟังดูไม่น่าฟัง จิ้งเหยียนก็คือการเงียบงัน เช่นนั้นแล้วนางมีปากไว้ทำไม หากไม่ได้พูด เอาแต่กินหรือ?เช่นนั้นไม่ต้องกินจนอ้วนกลมไปหรอกหรือ?“ท่านหญิงของข้า ท่านอยู่ที่นี่เอง หาเสียจนข้าเหนื่อย” เป่าจูเงยหน้าขึ้นจากใต้ต้นไม้ ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลงมาเถิด ท่านอ๋องกับพระชายากำลังตามหาท่านอยู่”“ท่านอาเป่าจู พวกเขาเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใดกัน?” เสียงใสๆ ดังลงมาจากบนต้นไม้ แฝงด้วยความสบายใจและอิ่มหนำ“พระชายาจะไปภูเขาเหม่ยชาน บอกว่าจะพาท่านไปด้วย ท่านอยากไปหรือไม่?” เป่าจูเอ่ยเซี่ยเจิงได้ยินดังนั้น ก็รีบลื่นไถลลงจากลำต้นไม้ สองข้างไหล่มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวสองตัวเกาะอยู่ นางยิ้มดีใจกล่าวว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นรีบไปเถิด”สองสุนัขจิ้งจอกนั้น ตัวหนึ่งชื่อเซวียนเช
เพียงแต่ ข้าก็รู้ดีว่าในใจของซ่งซีซีไม่ได้มีเสด็จน้อง นางเลือกแต่งกับเสด็จน้อง ก็เพียงเพราะไม่อยากเข้าวังถวายงานแม้นไม่ใช่สามีภรรยาที่จิตใจเป็นหนึ่งเดียว เช่นนั้นข้าจึงแต่งตั้งซ่งซีซีเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพซวนเจีย ให้รับผิดชอบดูแลกองทัพซวนเจียแทนในสายตาของผู้อื่น กองทัพซวนเจียยังคงอยู่ในมือของสามีภรรยาคู่นี้ ข้าไม่ได้ตัดอำนาจของเสด็จน้องเพิ่มเติมเมื่อมองในขณะนั้นแล้ว นับเป็นความคิดที่แยบยลอย่างยิ่งแต่ข้ากลับไม่คาดคิดว่าสามีภรรยาจะไม่ใช่คู่ที่ใจไม่ตรงกันเสมอไป เมื่อนานวันเข้าย่อมเกิดความรักใคร่ อีกทั้งผลประโยชน์ก็เป็นหนึ่งเดียวกันข้าไม่รู้เลย เพราะข้ากับฮองเฮาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้ใจตรงกัน ข้าเองก็ไม่เคยไตร่ตรองเรื่องของสามีภรรยาแต่โชคดีที่ แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะรักใคร่กันภายหลัง แต่ก็ไม่เคยเกิดความทะเยอทะยานที่คิดจะชิงอำนาจเป็นข้าที่ระแวงเกินไปเดิมที ข้าเห็นว่าซ่งซีซีแม้จะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่การบัญชาการกองทัพซวนเจียย่อมลำบาก อีกทั้งมีผู้ไม่ยอมรับนางมากมาย ข้าคิดว่านางอาจถอดใจในสามหรือห้าเดือน เช่นนั้นข้าก็จะหาคนใหม่มาแทนที่แต่ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารหัวแข็งในกองทัพซวนเจี
แต่!แต่คนหนึ่งจะมีจิตใจที่มั่นคงและกล้าหาญได้อย่างไรเล่า?ใครจะคิดว่าในวันนั้นซ่งซีซีไม่ได้รับความไว้วางใจจากข้า แต่กลับขี่ม้าไปยังหนานเจียงเพื่อแจ้งข่าวให้เสด็จน้องทราบนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกใจและน่าทึ่งจริงๆ!หญิงที่หย่าร้างออกจากบ้าน ไม่มีผู้ติดตามหรือองครักษ์ กล้าบุกเข้าไปในค่ายทหารหนานเจียง ความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ในราชสำนักนี้ไม่มีใครทำได้หลายคนเสด็จน้องและข้าก็ต่างกัน เขาเชื่อในตัวซ่งซีซี และเตรียมทัพก่อนเวลา เพื่อรับมือกับกองทัพพันธมิตรแคว้นซาและซีจิงสนามรบจะอันตรายแค่ไหน ข้ารู้ดีไม่ต้องเล่ารายละเอียดเมื่อข่าวดีในการยึดหนานเจียงมาถึง น้ำตาไหลนองหน้าข้าหลังจากนั้นเสด็จน้องส่งคำกราบทูลเพื่อยกย่องทหารซ่งซีซีและพรรคพวกของนางแน่นอนว่าเป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ ข้าจะให้รางวัลแก่พวกเขาแต่จ้านเป่ยว่างและยี่ฝางกลับทำให้ข้าผิดหวัง ข้าจึงต้องคิดอย่างลึกซึ้งถึงเหตุผลที่คนจากซีจิงทำลายข้อตกลงในสนามรบหนานเจียงข้าก็ไม่ใช่คนที่เริ่มคิดเรื่องนี้ในเวลานี้ แต่การแบ่งเขตแดนของเส้นแนวกั้นหลิ่งหลิงก็เป็นหนึ่งในผลงานการบริหารของข้า ข้าจึงพอใจในใจคนเรามักจะโลภ แต่ก็ต้องรู
เมื่อครั้งที่ข้าขึ้นครองราชย์ การศึกชิงคืนหนานเจียงก็ดำเนินมาแล้วหลายปี ชายแดนเฉิงหลิงก็ยังไม่สงบ ส่งผลให้ท้องพระคลังร่อยหรอ ราษฎรพลัดถิ่นไร้ที่อยู่อาศัยยามที่ข้าสวมอาภรณ์มังกร ประทับเหนือบัลลังก์มังกร ก็ลั่นวาจาในใจว่า ถึงจะไม่อาจเปรียบได้กับสมเด็จพระบรมราชบุพการีผู้ทรงพระปรีชาสามารถ แต่ข้าก็จะไม่เป็นจักรพรรดิที่โง่เขลาไร้ความสามารถ ข้าจะต้องชิงคืนหนานเจียง ทำให้แคว้นซางรุ่งเรือง ราษฎรมีความสุขต่อมาข้าจึงได้รู้ว่า มนุษย์นั้นมีเพียงในยามโง่เขลาหรือมีสติปัญญาเป็นเลิศเท่านั้น ถึงกล้าตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้หนานเจียงพ่ายแพ้ ตระกูลซ่งทั้งเจ็ดพี่น้องล้วนพลีชีพในสนามรบแรกเริ่ม เสด็จพ่อและข้าก็ยังมีความหวังลมๆ แล้งๆ คิดว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งมีประสบการณ์ในสนามรบมาก อีกทั้งทหารที่เขานำก็กล้าหาญเชี่ยวชาญเสียดายที่เสบียงล่าช้า ทหารต้องสู้รบทั้งที่ท้องว่าง แม้จะทุ่มสุดกำลัง ก็ยังสู้ฝ่ายศัตรูไม่ได้ยิ่งเมื่อเคยยึดหนานเจียงกลับมาได้แล้ว แต่ต้องเสียคืนไป ผู้คนก็ยิ่งเชื่อว่าแม่ทัพใหญ่ซ่งยังมีหวังจะตีคืนได้ด้วยเหตุผลหลายประการและความลังเลมากมาย ทำให้ข้าไม่อาจส่งกองทัพเป่ยหมิงของเสด็จน้องไปได
ข้าเคยอ่านบันทึกการชันสูตรศพโดยมือชันสูตรแล้ว คำให้การของเขานั้นตรงกับบันทึกแทบทุกประการรายละเอียดอื่นๆ ของคดีก็เช่นกัน ข้าซักถามทีละข้อ เมื่อมั่นใจว่าตรงกันหมดแล้ว จึงส่งตัวเขาไปยังสำนักเขตจิงจ้าว และให้ท่านกงไต้เหรินส่งคนไปค้นหาอาวุธสังหารข้านึกว่าเมื่อจับคนร้ายได้ คดีนี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้น ไม่นับว่าสิ่งที่ข้าอดทนลอบเฝ้าอยู่หลายวันนั้นสูญเปล่าใครจะรู้ว่า พอไปถึงสำนักเขตจิงจ้าว หลิวเซิ่งกลับกลับคำให้การ บอกว่าถูกข้าบีบบังคับจนต้องรับสารภาพ คำสารภาพที่ข้าให้เขาเอ่ยออกมา ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าบังคับให้เขาพูดทีละคำเขาร้องขอความเป็นธรรม ยืนกรานว่าตนเองบริสุทธิ์กลับกัน เขายังกล่าวหาข้าว่าเป็นโจรหญิง ขอให้สำนักเขตจิงจ้าวจับข้าและข่าวร้ายก็มาอีก ระบุจุดที่เขาบอกว่าโยนอาวุธสังหารไป สำนักเขตจิงจ้าวส่งคนหลายสิบลงงมหา กลับไม่พบเสื้อผ้าหรือมีดเลยแม้แต่น้อยสำนักเขตจิงจ้าวสอบสวนอยู่หลายวัน เพราะเขามีบาดแผล จึงไม่ได้ใช้การทรมาน เขายังคงร้องขอความเป็นธรรม ตะโกนเสียงแหบพร่า ว่าตนบริสุทธิ์ไร้ซึ่งหลักฐาน อีกทั้งยังถูกข้อกล่าวหาว่าข้าบีบบังคับคำสารภาพ จึงจำต้องปล่อยตัวเขาไปก็ในตอนนั้นเอง ข้าจ
ผู้ใต้บัญชาทำงานรวดเร็วยิ่งนัก ตอนที่เขาลืมตาตื่น เครื่องทรมานก็ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยแล้วเตาถ่านถูกตั้งขึ้น คีมเหล็กถูกเผาจนแดง แส้ที่เปื้อนเลือดฟาดกลางอากาศสองสามครั้ง เพี้ยะ เพี้ยะ ดังสะท้านใจหลิวเซิ่งถึงอย่างไรก็เคยฆ่าคนมาก่อน ใจคอจึงหนักแน่นแม้ยามเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ มิแม้แต่กระพริบตา กล่าวว่า “พวกเจ้าตั้งศาลเถื่อนเช่นนี้ ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง พวกเจ้ายังมีขื่อมีแปหรือไม่?”คนบางประเภทก็มักเป็นเช่นนี้ คิดว่ากฎหมายใช้บังคับกับใครก็ได้ ยกเว้นตนเองตนกระทำผิด แต่กลับคิดใช้กฎหมายปกป้องตนกับคนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง การโต้แย้งมีแต่จะยิ่งเปิดช่องให้เขาพูดจาไร้สาระมากขึ้นข้าหยิบคีมเหล็กที่ถูกเผาจนแดงก่ำหนีบเข้าที่แขนเขาทันที พอกดแน่นลงไป เสื้อก็ละลายจนเป็นรู เสียงเนื้อถูกไหม้ดัง ซี่ๆๆ…เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไม่เป็นไร ที่นี่เป็นห้องใต้ดินลับ ต่อให้ร้องจนเสียงขาดหาย ก็ไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระดูกจะแข็งเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องทรมาน ก็ไร้ซึ่งพลังต่อต้านข้ายังมิทันได้เริ่มถอนเล็บ เขาก็สารภาพทุกสิ่งอย่างละเอียดทั้งสองครอบครัวสนิทกันจริง พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายร
ข้ามองดูหลิวเซิ่งพูดยั่วยุนางไม่หยุด คล้ายจะจงใจยั่วยุให้นางคิดสั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลงมือฆ่าเอง“ครอบครัวเจ้าตายหมดแล้ว เจ้ายังจะอยู่ต่อไปอย่างครึ่งคนครึ่งผี บ้าๆ บอๆ เช่นนี้อีกหรือ? เจ้าก็แค่สวะ ครอบครัวเจ้าก็เป็นสวะ! ยังจะกล้ามาหัวเราะเยาะข้าว่าสอบไม่ติดอีกหรือ? พวกเจ้ามันสมควรตายทั้งบ้าน เจ้าดูเชือกที่ห้องเก็บฟืนสิ ใช้มันแขวนคอตัวเองเสีย แล้วจะได้ไปอยู่กับครอบครัวเจ้า”“หากเจ้ายังไม่ตาย พวกเขาจะต้องตกนรกสิบแปดชั้น ถูกไฟเผาทุกวัน ถูกควักหัวใจ ถอนลิ้น เพราะพวกเจ้ามันใจดำอำมหิต ชอบใส่ร้ายป้ายสี นี่คือกรรมสนองที่สวรรค์ประทานให้ พวกทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่”ข้ายิ่งฟังยิ่งโกรธจนแทบระเบิด คนทำชั่วคือเขาชัดๆ แต่กลับพลิกกลับความหมายเสียอย่างหน้าด้านๆแม่นางสุ่ยในยามนี้ก็บ้าเสียแล้ว หากถูกเขายั่วยุหนักเข้า ก็อาจคิดฆ่าตัวตายได้จริงๆข้าเปิดประตูพุ่งออกไป ห้องข้ากับห้องแม่นางสุ่ยอยู่ติดกัน พอข้าไปถึง หลิวเซิ่งยังไม่ทันตั้งตัว ยังปิดปากแม่นางสุ่ยอยู่เมื่อเห็นข้า แววตาเขาก็สั่นไหว รีบปล่อยมือทันทีแม่นางสุ่ยตกใจจนน้ำตาร่วง แต่นางไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้แต่เสียงสะอื้นก็ไม่มีข้าจ้องหน้าเขาแ
สุดท้ายข้าก็ทำได้เพียงลอบเฝ้าติดตามแม่นางสุ่ยในเงามืดข้าคิดว่า ฆาตกรที่ฆ่าล้างครอบครัวนาง ย่อมต้องมีแรงจูงใจเป็นแน่หากโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ ไม่เพราะรัก ก็ต้องเพราะแค้น หรือไม่ก็เพราะเงินทอง อย่างไรเสียย่อมต้องมีสักอย่างแม่นางสุ่ยยังมีชีวิตอยู่ แล้วฆาตกรจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างสงบเช่นนั้นหรือ?มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พอเรื่องราวเงียบไปแล้ว ฆาตกรจะย้อนกลับมาฆ่านางอีกครั้ง?การคาดคะเนนี้ดูจะมีเหตุผล แต่ประเด็นสำคัญคือ ข้าไม่อาจหาทิศทางอื่นได้อีกแล้วเถ้าแก่สวีเดิมทีจ้างแม่นมมาคอยดูแลแม่นางสุ่ย แต่แม่นางสุ่ยนั้นหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเถ้าแก่สวีจึงได้แต่ขอร้องให้เพื่อนบ้านโดยรอบแวะเวียนมาดูบ้าง ส่งอาหารมาให้บ้างมารดาของหลิวเซิ่งจะมาทุกวันเว้นวัน เพื่ออาบน้ำล้างหน้าให้แม่นางสุ่ย คอยดูแลให้สะอาดเรียบร้อยข้าพบว่าตระกูลหลิวยังปฏิบัติต่อนางด้วยดี เพียงแต่หลิวเซิ่งผู้นั้นกลับไม่เคยมา หนึ่งคือเขาต้องกลับไปยังโรงเรียน สองคืออาจเพราะในใจก็ยังมีความคับแค้นอยู่บ้าง เพราะคำกล่าวหาของแม่นางสุ่ยที่ทำให้เขาต้องติดคุกอยู่ช่วงหนึ่งชายหนุ่มผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความเย่อหยิ่งในใจบ้าง