LOGINหลังจบมื้ออาหารกับครอบครัวที่ต่างคนต่างกัดกันดังว่าเป็นการแข่งขันชิงรางวัล เสิ่นหรงลี่ก็เดินตามองค์ชายรองผู้นี้ออกมาโดยมิได้กล่าววาจาใด
หากเพราะมิใช่คิดว่าเขาคือภารกิจไถ่บาปของตน นางคงจากไปและหาทางรอดเอาดาบหน้าเสียแล้ว เพราะแม้ว่าช่วงหลังของมื้ออาหารนางจะมิใช่เป้าหมายหลักของการฟาดฟันวาจา แต่คนบนโต๊ะอาหารนั้นก็ยังหาโอกาสกระทบกระทั่งเรื่องที่นางเป็นเพียงว่าที่ชายารองต่างจากสะใภ้อีกสองที่เป็นถึงชายาเอก
แต่ทว่าเมื่อถึงรถม้าความอดทนของคุณหนูเสิ่นก็หมดลง นางต้องกล่าวความในใจออกมา “เหตุใดองค์ชายจึงไม่บอกกับหม่อมฉันก่อน การให้หม่อมฉันไปรู้จากปากผู้อื่นเช่นนี้อีกแล้ว นับเป็นเป็นการหักหน้ากันเกินไป หากหม่อมฉันได้เตรียมใจก่อนย่อมหาวิธีรับมือ และไม่แสดงสีหน้าตกใจออกไปเช่นนั้นแน่ องค์ชายสร้างจุดอ่อนให้หม่อมฉันด้วยเหตุใดเพคะ”
“หรงลี่โกรธเรื่องนี้เองหรือ”
“รู้ด้วยหรือเพคะว่าโกรธ หากคิดจะให้หม่อมฉันทำงานให้ก็ไม่ควรให้หม่อมฉันเข้าไปสู้แบบเสียเปรียบ”
“อี้ฉุนช่วยพูดที เวลาน้อยเช่นนี้แค่บอกครบคนก็เก่งมากแล้วมิใช่หรือ” เฟยเทียนหันไปขอความช่วยเหลือจากบ่าวที่ติดตามเสิ่นหรงลี่มา เพราะบ่าวผู้นี้ความจริงก็นับว่าเป็นสหายผู้หนึ่งของเขา เพราะเติบโตมาพร้อมกันกับพี่น้องสกุลกงด้วยเช่นกัน
“องค์ชาย เรื่องนี้ความจริงต้องพูดก่อนเป็นอันดับแรกเลยเพคะ สุดท้ายคุณหนูเล็กก็ต้องรู้ความจริง องค์ชายตั้งใจปกปิดไว้ด้วยเหตุใดกัน” อี้ฉุนส่ายหัว
“ข้าไม่ได้ตั้งใจปกปิดแม้เพียงนิด แค่คิดว่าจะอธิบายเงียบๆ กับหรงลี่สองคน หากนางสงสัยสิ่งใดข้าจะได้ตอบให้ครบถ้วน มิได้อยากมัดมือชกรีบๆ บอกนางให้ยอมรับ”
“เช่นนั้นก็อธิบายมาเพคะ ไม่ต้องคอยถามคนโน้นทีคนนี้ที ไม่ต้องหาผู้ใดมาช่วยตนเองเพคะ” เสิ่นหรงลี่ยกพัดขึ้นมาโบกเบาๆ ยืนรอคำอธิบายหน้ารถม้า
“ขึ้นรถมาก่อนเถอะ ข้าจะพาไปสถานที่หนึ่ง แล้วเดี๋ยวเราจะต้องพูดคุยกัน” องค์ชายรองพูดจบก็จับเอวของเสิ่นหรงลี่อุ้มขึ้นบนรถม้าอย่างง่ายดาย และเมื่อตามขึ้นมาก็สั่งให้รถม้าออกตัวทันที
.
.
.
เฟยเทียนสั่งให้เสิ่นหรงลี่ปิดตาไว้ ยามนี้เขาจึงต้องเป็นคนอุ้มหรงลี่ลงจากรถม้า เพราะไม่ต้องการให้หรงลี่ก้าวพลาดและหกล้มลงไป เมื่อลงมาหยุดยืนที่พื้นก็ยังมิได้อนุญาตให้คุณหนูเสิ่นลืมตาขึ้น แต่เขากลับย้ายไปยืนด้านหลังและใช้มือใหญ่ของตนปิดตาของนางไว้แทน
เมื่อเดินมาได้อีกระยะหนึ่งฝ่ามือที่เคยบดบังวิสัยทัศน์ก็ถูกนำออกไป ภาพตรงหน้าของคุณหนูเสิ่นคือทะเลสาบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา พร้อมกับต้นไม้ที่มีดอกไม้สีแดงผลิบานอยู่เต็มต้น
“เดี๋ยวข้าทำอะไรให้ดู” ตงเฟยเทียนก้มลงกระซิบข้างหูของเสิ่นหรงลี่จากด้านหลัง ก่อนจะเดินไปด้านข้างแล้วหยิบกลีบดอกไม้ที่ตกพื้นขึ้นมา “หรงลี่แบมือออก”
เสิ่นหรงลี่ทำตามอย่างว่าง่าย ใครจะว่านางจะคล้อยตามไปกับบรรยากาศสวยงามก็คงต้องตามใจผู้ว่า เพราะรอบกายยามนี้งดงามอย่างแท้จริง เมื่อเฟยเทียนวางกลีบดอกไม้นั้นลงในมือหรงลี่แล้ว เขาก็ก้มลงไปหยิบอีกกลีบหนึ่งมาเป็นของตัวเองบ้าง จากนั้นตงเฟยเทียนก็ขยำกลีบดอกไม้ในมือ และพยักหน้าให้นางทำตาม
“คราวนี้เจ้าตวัดมือขึ้น แล้วแบมือออกให้กลีบดอกไม้ร่วงหล่นลงมา”
สิ้นคำของเฟยเทียนเขาก็ตวัดมือขึ้นแล้วปล่อยเศษของกลีบดอกไม้ที่เพิ่งขยำไปเมื่อครู่ เสิ่นหรงลี่ตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น กลีบดอกไม้ที่ถูกขยำกลายเป็นผงเล็กละเอียด เมื่อกระทบแสงแล้วมีความระยิบระยับ ดูสวยงามจนยากจะอธิบาย เปล่งประกายยิ่งกว่าผงไข่มุกหรืออัญมณีใดยามต้องแสงเสียอีก
เมื่อนางตวัดตามบ้างก็พบว่าผงดอกไม้ในมือของตนก็ระยิบระยับสวยงามเช่นกัน ครานี้ริมทะเลสาบ จึงมีแม่นางผู้หนึ่งกับเด็กๆ ในภพมารวิ่งเล่นเก็บดอกไม้ขยำโปรยอย่างสนุกสนาน พร้อมกับเสียงหัวเราะไม่แบ่งแยกเด็กผู้ใหญ่ดังขึ้นเป็นระยะ
หลังเล่นจนเหนื่อยแล้วตงเฟยเทียนก็พาหรงลี่พายเรือเล่นไปบนทะเลสาบ เมื่อพายมาถึงจุดที่ห่างไกลผู้คนสักระยะหนึ่งแล้ว เฟยเทียนก็หยุดฝีพายลง
“แท้จริงแล้ว วันนี้ข้าเข้าไปขอให้เจ้าเป็นชายาเอก ไม่ได้มีเจตนาจะลดตำแหน่งโดยไม่บอกเจ้าก่อน”
“เสด็จพ่อของท่านคิดว่าตัวข้าต่ำต้อยไปใช่หรือไม่เพคะ” หรงลี่กล่าวเจือน้ำเสียงน้อยใจ
“บอกตามตรงก็เป็นเช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วที่ข้ามั่นใจว่าจะสามารถให้ตำแหน่งนั้นแก่เจ้าได้เป็นเพราะสัญญาที่เสด็จพ่อเคยมีต่อข้า”
“หากสัญญาไว้แล้ว มันเกิดอันใดขึ้นหรือเพคะพี่เฟยเทียน” เสิ่นหรงลี่ที่ได้เล่นสนุกก็คลายความโกรธลงไปมากแล้ว จึงเรียกเฟยเทียนอย่างสนิทสนมอย่างที่เคย
“อืม ท่านพ่อเคยให้คำมั่นว่าหากหาคนมาเป็นชายาเอกของข้าแล้วล้มเหลวอย่างน้อยสองครั้ง ครั้งที่สามจะให้ข้าเป็นคนเลือกเอง แต่เมื่อถึงเวลากลับบอกว่าครั้งที่สองยังไม่ถือว่าล้มเหลว”
“มะ… หมายความว่าอย่างไรเพคะ หากมีชายาเอกหม่อมฉันก็ไม่จำเป็นแล้ว” เสิ่นหรงลี่เอ่ยถามออกไปอย่างตกใจ
หม่อมฉันไม่อยากไปสู้ตบตีกับเมียหลวงนะเพคะ!
“มีสตรีที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นชายาเอกแล้ว แต่นางหายตัวไปก่อนที่จะเดินทางมา จนยามนี้ก็ยังหาไม่พบ ทางเผ่าสมุทรก็ยังคงตามหาองค์หญิงผู้นี้อยู่ บ้างก็ว่านางหนีเพราะไม่อยากแต่งงานมาอยู่เผ่ามาร บ้างก็ว่าถูกลักพาตัวเพราะมีหลายฝ่ายอยากให้ให้บุตรสาวของตนแต่งเข้ามาแทน และมีหลายฝ่ายที่ต้องการตัวองค์หญิงผู้นี้ไปเป็นชายาเช่นกัน”
“แต่แล้วเหตุใดจึงยังถือว่าไม่ล้มเหลวเล่าเพคะ”
“ท่านพ่อเล่นลิ้นน่ะสิ บอกว่ายังไม่พบตัว ก็ยังต้องให้เกียรติเผ่าสมุทร ทางนั้นไม่เชื่อว่าองค์หญิงของตนจะหนีหายไป เพราะมิได้นำสิ่งใดติดตัวไปและไม่มีผู้ใดติดตามไป เสด็จพ่อว่าหากเราแต่งคนอื่นเข้ามาก็จะนับว่าเป็นการหักหน้ากัน”
“หากหานางไม่พบเป็นพันปี ก็ต้องรอเป็นพันปีหรือเจ้าคะ” เสิ่นหรงลี่ถามอย่างสงสัย
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกหรงลี่ หากครบสามร้อยปีแล้วยังไม่พบนางก็สามารถยกเลิกสัญญาหมั้นหมายฝ่ายเดียวได้ แต่หากต้องการยกเลิกก่อนหน้านั้นจำต้องเห็นชอบทั้งสองฝ่าย แต่โดยทั่วไปหากเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวหนีหายไปเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดรอให้เสียโอกาสหาคู่ครองหรอก”
“แต่เมื่อเป็นคนระดับใหญ่โตจึงต้องทำตามธรรมเนียมหรือเพคะ”
“ก็คงเช่นนั้น แต่ความจริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ เพราะอย่างไรก็เป็นฝ่ายนั้นที่หายไป ไม่ใช่ฝ่ายเรา”
“แล้วหากนางกลับมาหลังครบสามร้อยปีแล้วล่ะเพคะ”
“ข้าก็คงต้องขอเป็นสหายกับนาง ปณิธานแรงกล้าที่จะปฏิเสธการแต่งงานน่านับถือไม่น้อย หายไปตัวคนเดียวไม่นำสิ่งใดไปด้วยจิตใจเด็ดขาดยิ่ง”
“พี่เฟยเทียน ไม่คิดว่านางถูกผู้อื่นทำร้ายหรือเพคะ”
“หากเป็นเช่นนั้นศพนางอยู่ไหนเล่า เวลาผ่านไปไม่ใช่น้อย เหตุใดไม่พบ คนจากเผ่าสมุทรก็ยังมิได้ลดกำลังการตามหาแม้แต่น้อย” ตงเฟยเทียนยักไหล่จากนั้นก็เริ่มพายเรืออีกครั้งให้เสิ่นหรงลี่ได้ดูบรรยากาศก่อนกลับ
“หากเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอให้นางปลอดภัย และที่สำคัญอย่ากลับมาก่อนหม่อมฉันจะหมดอายุขัยเลยเพคะ”
“หวงว่าที่สามีหรือนี่” เฟยเทียนแกล้งเย้า
“ใช่ที่ไหนกัน หม่อมฉันไม่อยากถูกเมียหลวงกลั่นแกล้งต่างหาก ของอย่างนี้ระแวงไว้ก่อนดีกว่าเพคะ” เสิ่นหรงลี่ย่นจมูกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับสะบัดหน้าหนีไปมองต้นไม้ที่นางเพิ่งรู้ว่าชื่อ ‘โลหิตแสงจันทร์’ อย่างสบายใจ “โอ๊ะ… เรืองแสงได้ด้วยหรือเพคะ”
“เพราะว่าเรืองแสงได้จึงได้ชื่อว่าโลหิตแสงจันทร์อย่างไรเล่า ข้าจะรีบพาขึ้นฝั่ง หากเริ่มเรืองแสงแล้วเช่นนี้ ก็ควรพาคุณหนูเช่นเจ้ากลับจวน ต่อจากนี้มีเรื่องมากมายนักที่เจ้าต้องทำเพื่อเตรียมเป็นเจ้าสาว”
แม้นางจะอยากถามเรื่องสตรีอีกนางหนึ่งก่อนจะกลับ แต่เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลง ก็พยักหน้าเห็นด้วยว่าควรกลับจวน
แต่ทว่าเมื่อมาถึงที่จวนกลับเห็นสตรีที่ดูมีอายุ ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าดุดันในชุดนางกำนัลยืนรออยู่ถึงสี่นาง
ผู้ใดอีก วันนี้มิใช่ว่ายาวนานเกินไปแล้วหรือไม่
บทที่ 22 ถึงเวลามีบ่าวของตนเสิ่นหรงลี่กะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องตรงหน้า สตรีทั้งสี่นางมองมาอย่างไม่ใคร่พอใจนัก เรื่องนี้ทำให้หรงลี่สับสนอยู่มากทีเดียว ด้วยมิเคยพบคนทั้งสี่มาก่อน นางจึงได้แต่หันมองซ้ายทีขวาทีพยายามเสี่ยงไม่สบตากับคนเหล่านั้น“ใครส่งพวกเจ้ามา” องค์ชายรองเอ่ยถามออกไป“ฮองเฮาและเสียนเฟยส่งพวกหม่อมฉันมาติดตามรับใช้ใกล้ชิด เพื่ออบรมสั่งสอนธรรมเนียมทั้งหมดที่สะใภ้ราชวงศ์ควรต้องเรียนรู้เพคะ การเรียนรู้แค่ยามไปที่วังมารคงไม่เพียงพอจะขัดเกลาได้” ตัวแทนของนางกำนัลกล่าว“ข้าสามารถหาคนมาดูแลนางเองได้ ผู้อื่นมิต้องลำบาก”“หม่อมฉันรับคำสั่งจากฮองเฮามาแล้วย่อมต้องทำให้ลุล่วงเพคะ” นางกำ
บทที่ 21 ไม่อยากตบตีกับเมียหลวงหลังจบมื้ออาหารกับครอบครัวที่ต่างคนต่างกัดกันดังว่าเป็นการแข่งขันชิงรางวัล เสิ่นหรงลี่ก็เดินตามองค์ชายรองผู้นี้ออกมาโดยมิได้กล่าววาจาใดหากเพราะมิใช่คิดว่าเขาคือภารกิจไถ่บาปของตน นางคงจากไปและหาทางรอดเอาดาบหน้าเสียแล้ว เพราะแม้ว่าช่วงหลังของมื้ออาหารนางจะมิใช่เป้าหมายหลักของการฟาดฟันวาจา แต่คนบนโต๊ะอาหารนั้นก็ยังหาโอกาสกระทบกระทั่งเรื่องที่นางเป็นเพียงว่าที่ชายารองต่างจากสะใภ้อีกสองที่เป็นถึงชายาเอกแต่ทว่าเมื่อถึงรถม้าความอดทนของคุณหนูเสิ่นก็หมดลง นางต้องกล่าวความในใจออกมา “เหตุใดองค์ชายจึงไม่บอกกับหม่อมฉันก่อน การให้หม่อมฉันไปรู้จากปากผู้อื่นเช่นนี้อีกแล้ว นับเป็นเป็นการหักหน้ากันเกินไป หากหม่อมฉันได้เตรียมใจก่อนย่อมหาวิธีรั
บทที่ 20 ตบหัวแล้วลูบหลัง“ยืนเจ้าค่ะ” อี้ฉุนกระซิบกับเสิ่นหรงลี่เมื่อมีเสียงกระดิ่งสั่นครบเก้าครั้ง ทำให้คุณหนูผู้นี้มิต้องขายหน้าที่ยืนช้ากว่าผู้ใด เมื่อรออยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นบุคคลน่าเกรงขามถึงสามพระองค์กำลังก้าวผ่านประตูเข้ามา“องค์มา-” ว่าฉุยที่กำลังจะขานการมาถึงของเจ้าเหนือหัวแคว้นมาร ถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือของตงหานเฟยเสียก่อน“ไม่ต้องขาน เป็นคนกันเองทั้งสิ้น”องค์มารผู้เป็นฮ่องเต้ของแคว้นเดินมาพร้อมกับฮองเฮา และสนมเอกผู้ที่หรงลี่คาดเดาว่าเป็นมารดาขององค์ชายองค์หญิงทั้งหลาย เสิ่นหรงลี่เห็นเช่นนั้นจริงสังเกตสีหน้าขององค์ชายรอง พยายามจับสังเกตว่าผู้ใดคือมารดาของเขา แต่มองไปแล้วก็พบแต่สายตาว่างเปล่าคล้ายว่าสตรีทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดเลย
บทที่ 19 ครอบครัวใหญ่องค์ชายรองที่รู้ว่าต้องอยู่รอร่วมโต๊ะกับทุกคนก่อนก็พาเสิ่นหรงลี่เดินชมสวนในบริเวณที่มิได้หวงห้ามไปพลางก่อน“ต้นไม้ในแดนมารมีสีเข้มหมดเลยหรือเพคะ”“อืม สีเข้มเช่นนี้แหละ หากสีซีดลงก็บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดภายในได้”“ชมสวนเสร็จแล้ว ต้องทำอันใดอีกหรือไม่เพคะ” เสิ่นหรงลี่ถามออกมา เพราะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า และหิวขึ้นมาแล้ว ขนมกับน้ำชาที่คุยกันไว้กับองค์หญิงอิงเจาก็ยังมิได้ใส่เข้าปากรองท้องเมื่อนึกถึงขนมหรงลี่ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะนางแน่ใจว่ายามที่กำลังมีปัญหากับองค์หญิงจูจู ในมือขององค์หญิงอิงเจาไม่มีสิ่งใดที่ถือกลับมาด้วย
บทที่ 18 ปะทะ“หน้าตาเช่นนี้ ชั้นต่ำ อันใดกัน” เสิ่นหรงลี่เอียงคอยังสงสัย พยายามมองหาองค์หญิงอิงเจาว่าไปอยู่ที่ใด“มองหาให้พี่ชายข้ามาช่วยเจ้าหรือ” องค์หญิงจูจูตวาดลั่นศาลาด้วยเสียงสูงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดท่านใดนั้นก็มีชายแปลกหน้าปรากฏตัวเพิ่มอีกสองคน คนหนึ่งมีสีหน้าเรียบขรึม อีกคนหนึ่งมีท่าทางคล้ายชายเสเพลพร้อมกับสีหน้ายกยิ้ม“จูจูโวยวายอันใดกัน” ชายที่ดูนิ่งและสุขุมกว่าเอ่ยขึ้น“สตรีผู้นี้ สมบัติจากบ้านพี่สามใช่หรือไม่ เหตุใดพานางเหยียบเข้ามาถึงในวัง ข้าไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้าเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่คนในสังคมเรา” จูจูมิได้ตอบคำถามออกไป แต่กลับหันไปยังทิศทางที่ชายอีกคนด้านข้าง
บทที่ 17 เข้าวังในที่สุดวันมะรืนที่เฟยเทียนบอกไว้ก็มาถึง เมื่อเขาบอกว่าจะมาพบวันมะรืน เขาก็หายไปหนึ่งวันหนึ่งคืนอย่างที่ว่าจริง คราแรกเสิ่นหรงลี่แอบรู้สึกน้อยอกน้อยใจ แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นถึงองค์ชาย ทั้งยังหายตัวไปหลายสัปดาห์ เรื่องราวที่ต้องจัดการคงมีมาก ไหนจะยังเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่เจอกัน แม้นางจะมิอาจตอบโต้อันใดได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสติรับรู้คำพูดปลอบใจอย่างอ่อนหวานพรั่งพรูออกมา จนนางคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่มนักรักมิใช่นักรบ หากแต่เมื่อหรูอี้และอี้ฉุนเข้ามา เขาก็หยุดคำพูดเหล่านั้นลงไปในทันที และนั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่นางหลับตาลง เพราะหากต้องลืมตามองหรูอี้ ตัวนางคงจะหลุดอาการขัดขืนออกมาจนถูกจับได้ยามนี้มีบ่าวหญิงหลายคนกำลังช่วยนางแต่งตัว เพราะวันนี







