Mag-log inหลังจากส่งให้อวี้หลิงหรงกลับเรือน ฉินเฉินอวี้ก็กลับมานั่งในห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความเงียบภายในห้องยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาดูหนักอึ้งยิ่งขึ้น คำพูดของเสด็จแม่ในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว
“หากไม่สามารถรักนางฉันสามีภรรยาได้ อย่างน้อยก็ดีกับนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเถิด”
เขาพยายามเปิดใจและเปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออวี้หลิงหรง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
คนที่น่าสงสารในสายตาเขา กลับกลายเป็นคนที่ถือมีดหมายปลิดชีวิตผู้อื่น ความคิดนี้ทำให้เขากดขมับแน่น พยายามหาคำตอบว่าทำไมนางถึงได้เลือดเย็นเพียงนี้
"องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ" เสียงของหลี่เฉียนอันดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตูเบา ๆ
"เข้ามา" ฉินเฉินอวี้เอ่ยอนุญาต
เมื่อหลี่เฉียนอันก้าวเข้ามา เขาเริ่มรายงานคำให้การของสาวใช้ในเหตุการณ์ห้องครัวอย่างละเอียด ฉินเฉินอวี้ฟังอย่างตั้งใจ และยิ่งฟังไป สีหน้าของเขาก็ยิ่งเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความสงสัย และในที่สุดก็เป็นความเข้าใจ
"เจ้ากำลังจะบอกว่าสาวใช้ในตำหนักรวมหัวกันกลั่นแกล้งไม่ยอมส่งข้าวส่งน้ำไปที่เรือนของพระชายางั้นหรือ!!" เขาเข้าใจในที่สุดว่าการกระทำของอวี้หลิงหรงไม่ได้เกิดจากความบ้าคลั่งไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะนางและสาวใช้คนสนิทถูกกลั่นแกล้ง..
"ปลดสาวใช้ที่ก่อเรื่องออกให้หมดและให้พวกนางไปทำหน้าที่ซักล้างในวัง!" ฉินเฉินอวี้ออกคำสั่งเสียงแข็ง หากนางเลือกมาบอกเขาตรง ๆ เขาย่อมจัดการให้นางเป็นอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว แต่นางกลับเลือกใช้วิธีรุนแรงแทน
ตัวเขาเองที่ฝึกฝนวิชาดาบมาทั้งชีวิตยังต่อกรกับนางอย่างยากลำบาก นางกล้าที่จะใช้มีดทำร้ายคนมือเปล่าได้อย่างไร
ฉินเฉินอวี้ถอนหายใจยาว เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย สุดท้ายแล้วอันจิ่นเยว่ก็ปลอดภัย ส่วนอวี้หลิงหรงเองก็ได้รับโทษแล้ว เขาควรจะปล่อยเรื่องนี้ให้จบลงได้แล้วใช่หรือไม่?
"องค์ชายเพคะ หม่อมฉัน..แม่บ้านอัน ขอเข้าเฝ้าเพคะ" เสียงจากหน้าประตูดังขึ้นอีกครั้ง
ฉินเฉินอวี้ขมวดคิ้วแน่น ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "เข้ามา"
ร่างของหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา นางคืออันหลี่เม่ย มารดาของอันจิ่นเยว่ และเป็นแม่บ้านใหญ่ของตำหนัก
"องค์ชาย โปรดให้ความเป็นธรรมแก่จิ่นเยว่ด้วยเพคะ!" แม่บ้านอันทรุดตัวลงกับพื้น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ "หากวันนี้องค์ชายไม่เสด็จไปช่วย เกรงว่าจิ่นเยว่คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาหม่อมฉันแล้ว!"
ฉินเฉินอวี้ฟังโดยไม่ขัดจังหวะ ปล่อยให้นางระบายต่อไป
"นางเป็นแค่เชลยที่แต่งงานเข้ามาได้เพียงไม่กี่วัน กลับอวดเบ่งอำนาจ ใช้กำลังอย่างป่าเถื่อน องค์ชายเพคะ ท่านจะปล่อยคนอันตรายเช่นนี้ไว้ในตำหนักต่อไปไม่ได้!"
คำพูดของแม่บ้านอันทำให้ฉินเฉินอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้เขาจะเข้าใจว่าแม่บ้านอันเพียงแค่ต้องการปกป้องลูกสาวของตน
"แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไร?" เขาถามเสียงเรียบ
แม่บ้านอันยกยิ้มที่มุมปาก นางรีบเสนอความคิดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "ขับไล่นางออกไปจากจวน หรือไม่ก็ฝังนางทั้งเป็นเพคะ!"
คำตอบนั้นทำให้ดวงตาของฉินเฉินอวี้วาวโรจน์ เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
"เช่นนั้นข้าควรบอกเสด็จพ่ออย่างไรดี? การแต่งงานครั้งนี้เป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นฉินและแคว้นหาน อวี้หลิงหรงแม้จะเป็นเชลยในสายตาเจ้า แต่นางก็คือบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในแคว้นหาน หากพวกเขามาเยี่ยมเยียน ข้าควรอธิบายกับพวกเขาอย่างไรว่าเราฝังลูกสาวของพวกเขาทั้งเป็น?"
คำพูดของฉินเฉินอวี้ทำให้แม่บ้านอันหน้าซีดเผือด นางลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น เข้าใจในทันทีว่าองค์ชายไม่ได้อยู่ฝ่ายนางตั้งแต่แรก เขาเพียงหยั่งเชิงเพื่อทดสอบนางเท่านั้น
"มะ..หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอองค์ชายทรงให้อภัย"
ฉินเฉินอวี้มองแม่บ้านอันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ริมฝีปากบางของเขายังคงความดุดัน
"ไม่ว่านางจะแต่งเข้ามาในฐานะอะไร แต่นางก็มีศักดิ์เป็นชายาของข้า.. ตอนนี้เองจิ่นเยว่เองก็ปลอดภัยแล้ว ส่วนพระชายาก็ถูกลงโทษไปแล้ว เจ้าคิดว่าโทษโบยสามสิบไม้มันเบาหรือ?"
แม่บ้านอันขนลุกไปทั้งตัวเมื่อได้ยินองค์ชายหกกล่าวเช่นนั้น นางจึงทำได้เพียงโขกศีรษะลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า "บะ..บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ บ่าวเข้าใจแล้ว"
"เช่นนั้นแม่บ้านอันก็กลับไปพักเถิด"
"ขะ..ขอบพระทัย ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย"
อวี้หลิงหรงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับอยู่บนร่างของตน คิ้วโก่งดุจคันศรโค้งเข้าหากันด้วยความรู้สึกแปลกใจ นางมิได้รู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลที่แผ่นหลัง ทว่านางกลับไม่สามารถขยับตัวได้ตามใจชอบ
นางตัวร้อนอีกทั้งยังรู้สึกอ่อนเพลีย นี่คงเป็นพิษไข้จากบาดแผลแน่นอน
"พระชายาท่านตื่นแล้วหรือเพคะ" จื่อรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนจะรีบเข้ามาประคองร่างของผู้เป็นนายให้ลุกขึ้นนั่ง
"วันนี้องค์ชายให้คนยกสำรับรวมถึงยามาให้ท่านด้วยนะเจ้าคะ" อวี้หลิงหรงได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ตอบอะไรกลับมา นางทำเพียงแค่ลุกขึ้นมากินข้าว กินยา ทายา แล้วก็นอนต่อ
จะว่าเป็นเรื่องโชคดีได้หรือไม่ ด้วยร่างกายของนางตอนนี้ทำให้นางสามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้อย่างปกติ แม้จะใช้เวลารักษาบาดแผลเพียงแค่สองสามวันก็ตาม
"พระชายา..ท่านมิรู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ ใช่ไหมเพคะ" จื่อรั่วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ นางเป็นคนดูแลพระชายาเองกับมือ บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรนางย่อมรู้ดีที่สุด เป็นไปได้จริง ๆ น่ะหรือที่สตรีบอบบางอย่างท่านจะมีแรงลุกขึ้นมาเดินทั้งที่บาดแผลก็ยังไม่หาย
"อาจเป็นเพราะผ่านประตูนรกมาครั้งแล้วครั้งเล่ากระมัง.. ข้าจึงเคยชินกับความเจ็บปวด" อวี้หลิงหรงกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะออกไปเดินเล่นรับลมที่สวนด้านหลังเรือน
เรือนเร้นเมฆาที่พระชายาหกอาศัยอยู่นั้น อยู่ห่างจากหน้าตำหนักมากโข นับว่าเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยปกติแล้วเรือนแห่งนี้แทบจะเป็นเรือนร้าง เพราะมิมีผู้ใดมาอาศัยอยู่ อีกทั้งเรือนแห่งนี้ยังถูกโอบล้อมไปด้วยป่าไผ่ ถึงทำให้บรรยากาศดูอึมครึมอยู่เสมอ
"พระชายาเพคะไยท่านต้องมาอยู่เรือนร้างห่างไกลผู้คนเช่นนี้ ยามดึกลมพัดแรงเสียงไม้ไผ่ก็ดังเอี๊ยดอ๊าด น่าขนลุกเหลือเกิน"
จื่อรั่วยกมือขึ้นมาลูบเรียวแขนของตนพลางเดินตามหลังเจ้านายไปยังลานด้านหลังเรือน
ตำหนักเทียนเหิงนั้นมีการขุดสระยาวพาดผ่านเรือนใหญ่หลายเรือน จึงมีศาลานั่งเล่นและสะพานอยู่หลายแห่ง ด้านหน้าเรือนเร้นเมฆาเองก็มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าเช่นกัน ทว่าเรือนของพระชายาหกนั้น ดูไม่ต่างจากตำหนักเย็น
ด้านหน้าเรือนมีเพียงสวนหิน โต๊ะหินอ่อน และต้นเหมยที่เหมือนถูกปลูกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ส่วนด้านหลังนั้นเป็นเพียงลานกว้าง ๆ ที่มีต้นไผ่ล้อมรอบ แม้ว่าอวี้หลิงหรงจะถูกจัดให้อยู่เรือนนี้ราวกับโดนกลั่นแกล้ง แต่นางกลับรู้สึกชอบเรือนแห่งนี้มากกว่า
"เป็นเช่นนี้น่ะดีแล้ว ข้าชอบที่ที่สงบ"
"หากท่านว่าเช่นนั้น บ่าวก็คงต้องชอบด้วยนั่นแหละเพคะ.."
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







