Mag-log inเพียงพริบตาเดียว ไอสังหารเย็นเยียบก็แผ่ซ่านไปทั่วห้องครัว กลิ่นอายของความตึงเครียดทำให้ทุกคนหยุดนิ่งราวกับถูกแช่แข็ง ร่างของอันจิ่นเยว่ ถูกเหวี่ยงลงกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงกระแทกก้องไปทั้งห้อง ก่อนที่อวี้หลิงหรงจะก้าวขึ้นคร่อมกลางลำตัวของนาง
มือข้างหนึ่งของพระชายายกมีดเล่มคมขึ้นสูง ก่อนจะพุ่งลงมาอย่างไร้ความลังเล ปลายมีดคมกริบพุ่งตรงไปที่ลำคอของอันจิ่นเยว่
ทว่าด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด นางยกมือขึ้นป้องกันได้ทัน คมมีดจึงบาดลึกเข้ากลางฝ่ามือแทน เลือดสดไหลพุ่งกระจายเปื้อนพื้น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
"กรี๊ดด ไม่! ได้โปรด…!" เสียงของอันจิ่นเยว่สั่นสะท้าน น้ำตาไหลพรั่งพรูจนเปียกชุ่มสองแก้ม ร่างกายของนางบิดเกร็งขณะพยายามผลักมือของอวี้หลิงหรงออก แต่เรี่ยวแรงของนางอ่อนล้าจนทำได้เพียงยื้อเวลาไว้
ฝ่ามือที่พยายามต้านทานเต็มไปด้วยบาดแผลลึกจนเส้นเอ็นที่นิ้วฉีกขาด เสียงหวีดร้องที่แสนเจ็บปวดนั้นทำให้บ่าวไพร่บางคนถึงกับทรุดตัวลง บางคนอาเจียนออกมาเพราะทนกลิ่นคาวเลือดที่ลอยฟุ้งไปทั่วไม่ไหว
"หยุดเดี๋ยวนี้!" เสียงทรงอำนาจดังขึ้นก้องห้อง ดึงทุกคนออกจากความตระหนก ฉินเฉินอวี้ก้าวเข้ามาด้วยสายตาเยียบเย็นดุจคมดาบ หลี่เฉียนอันที่ติดตามมาด้วยรีบพุ่งตัวเข้าดึงร่างของอวี้หลิงหรงออกจากอันจิ่นเยว่ ขณะที่ปลายมีดหลุดจากมือพระชายาด้วยเสียงดังเคร้ง
อันจิ่นเยว่ก็รีบคลานเข้าไปหาอย่างคนสิ้นหวัง ดวงตาแดงก่ำเปล่งประกายด้วยความหวังราวกับเห็นฟางเส้นสุดท้ายในมหาสมุทรอันมืดมิด "องค์ชาย.. ช่วยจิ่นเยว่ด้วยเพคะ" น้ำเสียงของนางสะอื้นจนแทบพูดไม่เป็นคำ
ฉินเฉินอวี้ขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองสภาพรอบตัว ก่อนจะหยุดที่อวี้หลิงหรง นางยืนนิ่งสงบ สีหน้าเรียบเฉยเหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
"ใครก็ได้ ไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้!" น้ำเสียงทรงอำนาจดังก้องอีกครั้ง "เฉียนอัน เจ้าไปสอบปากคำบ่าวไพร่ทุกคนในที่เกิดเหตุ ส่วนเจ้า.." เขาหันไปมองอวี้หลิงหรงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
"ตามข้ามา!"
คำสั่งหนักแน่นนั้นทำให้ทุกคนเร่งทำตามในทันที ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นค่อย ๆ เบาบางลง แต่บรรยากาศในห้องยังคงอึดอัดเหมือนมีก้อนหินมหึมาทับอยู่กลางอกของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
ฉินเฉินอวี้เดินกลับมาที่ห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อารมณ์ขุ่นมัวฉายชัดในทุกย่างก้าว เขารู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งทับอยู่กลางอก อวี้หลิงหรงแต่งงานเข้ามาได้เพียงไม่กี่วัน ก็คิดจะสังหารคนในจวนของเขาเสียแล้ว!
ด้านหลังของเขาอวี้หลิงหรงก้าวเดินตามไปยังเรือนลำนำวารีอย่างเงียบงัน ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง หากเมื่อครู่ฉินเฉินอวี้ไม่เข้ามาขัดเสียก่อนอันจิ่นเยว่คงได้ตายคามือของนางอย่างแน่นอน
แม้ตอนนี้นางจะรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นมันผิด แต่ว่ากันตามตรงนางก็แอบสะใจอยู่ไม่น้อย อย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วนางย่อมไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ สิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ตอนนี้ คือยอมรับผิดโดยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องตำรา เสียงของ ฉินเฉินอวี้ ก็ดังขึ้นทันทีด้วยความกราดเกรี้ยว
"รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำอะไรลงไป!!"
"รู้เพคะ" นางตอบกลับเพียงสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย คำตอบของนางยิ่งทำให้ฉินเฉินอวี้โกรธหนักกว่าเดิม
"เจ้าคิดจะฆ่านางให้ตายเลยหรืออย่างไร!!"
อวี้หลิงหรงไม่ตอบคำใด นางยืนนิ่งราวกับยอมรับคำตำหนิทั้งหมด ท่าทางที่นิ่งเฉยของนางทำให้ความโมโหของฉินเฉินอวี้พลุ่งพล่านยิ่งขึ้น "ข้าถามไยเจ้าไม่ตอบ!!" เสียงของเขาดังก้อง
อวี้หลิงหรงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบ "หม่อมฉันยอมรับผิดทุกอย่างเพคะ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น"
คำตอบนั้นทำให้ฉินเฉินอวี้ชะงักไปชั่วครู่ เขายกมือขึ้นนวดขมับด้วยความอ่อนล้า เขากลับมาที่ตำหนักด้วยความหวังจะได้พักผ่อน แต่กลับต้องเจอเหตุการณ์ที่น่าปวดหัวเช่นนี้
"ข้าปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีหรืออย่างไร ไยเจ้าถึงต้องลงมือกับคนของข้าถึงเพียงนี้?" เสียงของเขาอ่อนลง แต่ในน้ำเสียงยังแฝงความผิดหวังอย่างลึกซึ้ง
อวี้หลิงหรงยังคงนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใด ความเงียบของนางยิ่งตอกย้ำความผิดหวังในใจของฉินเฉินอวี้ สุดท้ายเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเด็ดขาด
"ใครก็ได้! เอาตัวพระชายาไปโบยยี่สิบไม้!" คำสั่งนั้นถือเป็นคำขาด ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ทหารสองนายเข้ามาพาตัวอวี้หลิงหรงออกไปยังลานกว้างท่ามกลางสายตาของบ่าวไพร่ภายในตำหนัก
เสียงหวดของไม้กระทบลงบนแผ่นหลังดังขึ้นก้องลานกว้าง ทหารที่ทำการโบยนางนั้นมิได้ผ่อนแรงเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้นอวี้หลิงหรงก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความเจ็บปวดได้เลย เพราะสาเหตุนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกปวดหัวใจ
ตอนนี้นางมิใช่คนแล้วหรือไรกัน..
แม้ว่าการโบยจะผ่านมาจนถึงไม้ที่ยี่สิบแล้ว ทว่าพระชายากลับไม่เปล่งเสียงร้องออกมาแม้แต่คำเดียว นางยืนหยัดนิ่งอย่างสง่างามจนถึงวินาทีสุดท้าย จนบ่าวไพร่ที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ต่างพากันซุบซิบด้วยความตกใจและหวาดหวั่น
"หยุดได้แล้ว" เสียงของฉินเฉินอวี้ดังขึ้น เขายืนอยู่ที่ระเบียงด้านบนของเรือนใหญ่ มองลงมาด้วยแววตาเย็นชา แต่ในส่วนลึกของดวงตาคู่นั้น กลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะอ่านออก
ทหารที่ลงโทษหยุดมือทันที ก่อนพยุงตัวอวี้หลิงหรงขึ้น เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด
"นำตัวพระชายาไปพักฟื้นในเรือนของนาง" ฉินเฉินอวี้เอ่ยสั่งเสียงเรียบ แล้วเดินกลับเข้าไปในตำหนักโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อฉินเฉินอวี้ลับสายตา บ่าวไพร่ที่มุงดูอยู่เริ่มแยกย้าย บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา แต่สายตาบางคู่ยังคงจับจ้องไปที่อวี้หลิงหรงด้วยความระแวงและไม่ไว้วางใจ
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระชายาเกือบจะฆ่าอันจิ่นเยว่ตายคาห้องครัว"
"จริงหรือนี่"
"ใช่ ๆ ข้าก็เห็น"
"สวรรค์.. นางช่างอำมหิตนัก!"
ทหารพยุงตัวนางกลับไปยังเรือนเร้นเมฆาที่พักของพระชายาหก จื่อรั่วที่เห็นว่านายของตนตัวชุ่มไปด้วยโลหิตจึงรีบเข้ามาดูแลนางด้วยความร้อนรน น้ำตาเอ่อคลอเบ้าด้วยความสงสารเมื่อเห็นสภาพแผลฉกรรจ์บนแผ่นหลัง
"พระชายาเพคะ เหตุใดแผ่นหลังท่านจึงเป็นเช่นนี้เล่าเพคะ" จื่อรั่วถามเสียงสั่น ก่อนที่พระชายาจะออกไปนางไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วบอกว่าจะไปขอยามาให้ตน แต่ทำไมพระชายาของนางจึงกลับมาในสภาพเช่นนี้
อวี้หลิงหรงเอ่ยตอบเบา ๆ แต่หนักแน่น "แค้นของเจ้า.. ข้าชำระให้แล้ว"
แม้คำพูดของพระชายาจะดูเด็ดเดี่ยว แต่ความอ่อนล้าในน้ำเสียงและแววตาแผ่วโรยของนางก็ไม่ได้เล็ดลอดสายตาของจื่อรั่วไปได้ บ่าวคนสนิทจึงทำได้เพียงทำแผลไปกลั้นน้ำตาไป นางสงสารพระชายาสุดหัวใจ หากมิใช่เพราะนางพระชายาก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้!
"พระชายา..ได้โปรดอย่าบาดเจ็บอีกเลยนะเพคะ"
"ข้าเข้าใจแล้ว" อวี้หลิงหรงตอบกลับเสียงเรียบ เหตุการณ์ที่ห้องครัวนางขาดสติไปจริง ๆ ถึงแม้ว่านางเองจะพยายามอดกลั้นแล้วแต่กลับไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
เอาเป็นว่าหากครั้งหน้ามีเหตุการณ์เช่นนี้อีก นางจะใช้เพียงมือเปล่าก็แล้วกัน
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







