Share

บทที่16 ไม่ผิดต่อผู้ใด

Author: Midzilee01
last update Huling Na-update: 2025-11-06 20:32:16

อวี้หลิงหรงอยู่แต่บริเวณเรือนของตนมาราวหนึ่งเดือนแล้ว แผลที่หลังของนางในตอนนี้ก็หายดีแล้วเช่นกัน โชคดีที่ยาที่ฉินเฉินอวี้ให้คนยกมาให้ทุกวันนั้นเป็นยาชั้นดี ทำให้แผ่นหลังของนางนั้นไร้ซึ่งรอยแผลเป็นและกลับมาเรียบเนียนเช่นเดิม

หลังจากที่นางเกือบพลั้งมือสังหารอันจิ่นเยว่ อาหารและสำรับก็ถูกส่งมาที่เรือนเร้นเมฆาอย่างตรงเวลาทุกวัน และแน่นอนว่ามันเป็นอาหารอย่างดี

อวี้หลิงหรงไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองที่ฉินเฉินอวี้สั่งลงโทษตน เพราะถึงอย่างไรนางก็รู้ดีว่าตนนั้นทำเกินกว่าเหตุไปจริง ๆ นางจึงไม่คิดโผล่หน้าออกไปสร้างความลำบากใจให้กับผู้ใด และเลือกที่จะอยู่แต่บริเวณเรือนของตัวเอง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาหนึ่งเดือน

"พระชายาเพคะ แม่นมจางมาขอเข้าเฝ้าเพคะ" จื่อรั่วเดินกลับเข้ามาแจ้งให้นายของตนทราบด้วยสีหน้าที่แสดงความวิตกกังวล แม่นมจาง หรือที่รู้จักกันในชื่อจางอัน นางเป็นแม่นมผู้ดูแลองค์ชายหกมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย และด้วยความที่นางมีความใกล้ชิดกับพระองค์ นางจึงเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องและเคารพจากคนในตำหนัก

อวี้หลิงหรงพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกล่าว "ให้นางเข้ามาเถิด"

แม่นมจางก้าวเข้ามา นางเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอม รวบผมขึ้นพร้อมปักปิ่นหยกขาวที่ดูเรียบง่ายทว่านางกลับดูสง่างาม แม่นมจางค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะกล่าว "ถวายพระพรเพคะพระชายา"

"แม่นมไม่ต้องมากพิธีหรอก ท่านมาหาข้าในวันนี้มีธุระอะไรหรือ?" อวี้หลิงหรงเอ่ยถามอย่างสุภาพ

"บ่าวมาตามรับสั่งขององค์ชายพระองค์ประสงค์ให้พระชายาทำหน้าที่อันสมควรของพระชายาเพคะ" แม่นมจางตอบพร้อมยืนตรง เมื่อได้ยินคำพูดนั้น อวี้หลิงหรงขมวดคิ้วอย่างงุนงง

"หน้าที่ของพระชายา.. ท่านหมายถึงสิ่งใดกัน?"

แม่นมจางจึงตอบต่อด้วยความระมัดระวัง

"องค์ชายทรงมีพระประสงค์ให้หม่อมฉันมาช่วยสอนการดูแลและจัดการตำหนักให้พระชายาเพคะ"

อวี้หลิงหรงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งของตน สายตาจดจ้องไปยังแม่นมจางอย่างไม่เชื่อหูตนเอง นางไม่เคยคิดว่าจะต้องรับหน้าที่สำคัญอย่างการดูแลตำหนัก เพราะถึงอย่างไรนางเองก็เป็นเพียงพระชายาในนามเท่านั้น จะไปมีสิทธิ์มีอำนาจในการจัดการดูแลตำหนักได้อย่างไร

แม่นมจางย่อมรู้ดีว่าพระชายามีภาระหนักใจ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถานะของตน รวมถึงสายตาของบ่าวไพร่ในตำหนัก

"ว่ากันตามตรงนะแม่นมจาง ข้ามิได้คิดว่าตนจะคู่ควรหรือเหมาะสมกับการรับหน้าที่เหล่านั้น" อวี้หลิงหรงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงคุมอารมณ์

นางเป็นเพียงแค่เชลยอย่างที่ใครต่อใครว่า มิได้มีอำนาจหรือผู้ใดคอยหนุนหลัง ฉินเฉินอวี้ไม่จำเป็นต้องมาสนใจนางก็ได้ แค่ปล่อยให้นางอยู่เงียบ ๆ ในเรือนหลังตำหนักอย่างที่เคยเป็นมาก็พอแล้ว เหตุใดต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวายด้วย

แม่นมจางตอบด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม "ไม่ว่าผู้ใดจะว่าอย่างไร แต่พระชายาก็คือพระชายานะเพคะ"

อวี้หลิงหรงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "หากองค์ชายประสงค์เช่นนั้น ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้"

แม่นมจางพยักหน้าอย่างเคารพ และพูดเสริมด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น

"พระชายาท่านไม่ต้องเป็นกังวล บ่าวจะช่วยสอนท่านเองเพคะ"

หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว ไม่นานแม่นมจางก็ขอตัวกลับไปทำหน้าที่ของตน

อวี้หลิงหรงยังคงนั่งเงียบอยู่ที่เดิม นางไม่อาจปฏิเสธหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากองค์ชายหกได้ หากว่ากันตามตรง การที่เขาให้โอกาสนางได้ทำหน้าที่พระชายานั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี หากนางมีอำนาจชีวิตของนางก็จะดีขึ้นและคนของนางก็ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด

"ดีจังเลยเพคะพระชายา" จื่อรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ในที่สุดพระชายาของนางก็มิต้องถูกบ่าวไพร่พวกนั้นมองด้วยสายตาดูแคลนแล้ว บอกตามตรงว่านางดีใจเหลือเกิน!

"จื่อรั่วแต่งตัวให้ข้า" นางไม่มีทางรู้เจตนาที่แท้จริงของฉินเฉินอวี้จนกว่าจะได้คุยกับเขาตรง ๆ

"เพคะ!!"

อวี้หลิงหรงเดินมุ่งหน้าสู่เรือนลำนำวารี ที่ซึ่งห้องตำราของฉินเฉินอวี้ตั้งอยู่ ระหว่างทางบรรดาบ่าวไพร่ที่พบเจอนางต่างพากันก้มหน้าหลบสายตา ราวกับหวาดกลัวบางสิ่ง นางเพียงปรายตามองพวกเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย แต่หาได้เอ่ยวาจาใดออกไป

อวี้หลิงหรงยังคงก้าวเดินอย่างสง่างามสู่จุดหมายปลายทาง

“องค์ชาย พระชายามาขอพบพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เฉียนอันรายงานเสียงดังฟังชัด เมื่อคำพูดนั้นดังถึงหู ฉินเฉินอวี้พลันเงยหน้าขึ้นมาจากตำรา เขารู้อยู่แล้วว่า อย่างไรวันนี้นางก็ต้องมาหาเขาอย่างแน่นอน

"ให้นางเข้ามา" เมื่อสิ้นคำ หลี่เฉียนอันจึงเปิดประตูให้พระชายาอย่างนอบน้อม

อวี้หลิงหรงนางก้าวเข้าสู่ห้องตำราด้วยท่วงท่าสงบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยความสง่าผ่าเผย ดวงหน้างามหยาดเยิ้มดุจจันทรากับชุดสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆาและดอกเหมยด้วยดิ้นเงินสลับขาว ทาบรับกับผ้าคลุมบางเบาที่พลิ้วไหวตามจังหวะการก้าวเดิน ยิ่งทำให้นางดูเหมือนเทพเซียนที่หลุดออกมาจากภาพวาด

ฉินเฉินอวี้เผลอจับจ้องนางด้วยสายตาตะลึงงัน ลมหายใจชะงักไปชั่วขณะ ไม่เจอกันเพียงเดือนเดียวสีหน้าของนางดูดีขึ้นกว่าตอนแรกไม่น้อย

"หม่อมฉันมีเรื่องจะคุยด้วยเพคะ"

เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น อวี้หลิงหรงยืนอยู่ตรงหน้าเขา แผ่นหลังตรง ดวงตาคู่งามแน่วนิ่ง ราวกับไม่หวาดหวั่นต่อสายตาของบุรุษตรงหน้า

"ออกมาจากเรือนได้แล้วหรือ"

ฉินเฉินอวี้เอ่ยขึ้น น้ำเสียงกึ่งประชด ปรายตามองนางด้วยแววตาเย็นชา แฝงความพินิจอยู่ในที

อวี้หลิงหรงไม่ได้สนใจคำพูดแดกดันหรือแววตาเสียดสีของเขา วันนี้นางมาที่นี่เพื่อคุยธุระเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อมาต่อปากต่อคำกับเขา

"หม่อมฉันอยากทราบว่า เหตุใดพระองค์จึงรับสั่งให้แม่นมจางมาสอนการดูแลตำหนักแก่หม่อมฉันเพคะ"

ฉินเฉินอวี้ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นเจือปน

"ก็มันเป็นหน้าที่ของเจ้าตั้งแต่แรกมิใช่หรือ.. หรือเจ้าคิดจะอยู่ที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลย?"

อวี้หลิงหรงสบสายตาเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ

"พระองค์เป็นผู้ตรัสเองว่าจะไม่มีวันยอมรับหม่อมฉันเป็นพระชายา อีกทั้งพระองค์เองก็ทราบดีว่าสถานะของหม่อมฉันเป็นเช่นไร การให้หม่อมฉันดูแลตำหนักเช่นนี้มันจะเหมาะสมหรือเพคะ?"

"ใช่ ข้าไม่ยอมรับเจ้า" เสียงของเขากดต่ำลงเล็กน้อย "แต่ข้าก็ไม่คิดจะให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่โดยไร้ประโยชน์"

คำพูดนั้นทำให้อวี้หลิงหรงเงียบไป แม้นางจะไม่ชอบใจถ้อยคำของเขาสักเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็พูดถูก

ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็คือตำหนักของเขา ส่วนตัวนางนั้นเป็นเพียงแค่ผู้อาศัย

"ทราบแล้วเพคะ" นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย รับรู้ถึงสถานะของตนเองเป็นอย่างดี

ฉินเฉินอวี้มองนางนิ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"ไหน ๆ วันนี้เจ้าก็มาแล้ว เช่นนั้นช่วยฝนหมึกให้ข้าก่อนก็แล้วกัน"

อวี้หลิงหรงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม

"แล้วสาวใช้คนอื่นเล่าเพคะ?"

"คนอื่นล้วนมีงานของตัวเอง" เขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาคมกริบยังคงจดจ่ออยู่กับกระดาษเบื้องหน้า

อวี้หลิงหรงถอนหายใจเบา ๆ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่นางก็ไม่โต้แย้ง นั่งลงข้างเขาอย่างสงบ หยิบแท่งหมึกขึ้นฝนอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมของหมึกจีนค่อย ๆ กระจายตัวในอากาศ ขณะที่ปลายพู่กันของฉินเฉินอวี้ตวัดไปบนกระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจ

ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงพู่กันขูดกับเนื้อกระดาษ และเสียงน้ำตกเทียมที่ไหลรินอยู่กลางห้อง ประสานกันอย่างแผ่วเบา

"แผลของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"

เขาถามขึ้นกะทันหัน ทั้งที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่อักษรตรงหน้า

อวี้หลิงหรงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างเรียบง่าย

"หายดีแล้วเพคะ"

ฉินเฉินอวี้ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่ภายในใจรู้ดีว่าเขาเองก็มีส่วนผิดที่ละเลยนางเกินไป

"คราวหลังหากมีใครกลั่นแกล้ง ก็บอกข้ามาตรง ๆ"

"หม่อมฉันจัดการเองได้เพคะ"

"เจ้าหมายถึงสังหารพวกที่รังแกเจ้าทิ้งหรือ?" เขาเอ่ยประชด นัยน์ตาทอดมองนางอย่างจับผิด

อวี้หลิงหรงไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงแค่ก้มหน้าฝนหมึกต่อไป

เมื่อเห็นว่านางยังคงเงียบ ฉินเฉินอวี้ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

"เจ้าแค่บอกข้ามาตามตรงก็พอแล้ว"

อวี้หลิงหรงไม่ได้พูดอะไรอีก ปล่อยให้ความเงียบค่อย ๆ กลืนกินห้องโถงจนเหลือเพียงเสียงน้ำตกผสานกับเสียงจากพู่กันที่ขีดเขียนลงบนแผ่นกระดาษ

เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ

อวี้หลิงหรงยกมือขึ้นปิดปากหาวเบา ๆ หลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่เปลือกตาจะหนักอึ้งจะปิดลงโดยไม่รู้ตัว ไม่นานนักร่างบางก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ 

ฉินเฉินอวี้ที่กำลังเขียนอักษรชะงักไป เขาเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง ๆ แต่แทนที่จะปลุกให้นางตื่น เขากลับเพียงเอนตัวลงกับพนักเก้าอี้ มองสำรวจใบหน้าที่หลับใหลของนางอยู่เงียบ ๆ

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้ส่งคนไปตามสืบเรื่องของนางมาไม่น้อย แม้ว่าเขาจะไม่พอใจนักที่ต้องแต่งงานกับนาง แต่หากจะพูดกันตามตรง นางก็ไม่ได้ทำผิดอะไร

ไม่ผิดต่อเขา..

ไม่ผิดต่อผู้ใด..

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่64 นับอนันต์ (จบบริบูรณ์)

    หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่63 บุคคลที่คู่ควรกับความรัก

    หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่62 บทสรุป

    เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่61 การก่อกบฏ

    ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่60 การตัดสินใจ

    หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า

  • สตรีผู้นี้..เหนื่อยเกินไปแล้ว   บทที่59 การประชุมที่ท้องพระโรง

    ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status