Masukแคว้นฉิน
ณ โรงเหล้าขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นอายของสุรา หญิงสาวในอาภรณ์สีดำสลักเลื่อมทองนั่งเอนกายพิงเก้าอี้ไม้ตัวเก่าด้วยท่าทางสบายใจ ชุดของนางพลิ้วไหวดั่งคลื่นน้ำยามค่ำคืน บ่งบอกถึงความประณีตวิจิตรที่คู่ควรกับสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อรวมเข้ากับแววตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้มมุมปากของนาง ทุกอย่างกลับดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่ควรจะเป็น
ใบหน้าของหญิงสาวงดงามจับตา ผิวพรรณเนียนละเอียดราวกับหยกขาวแต่งแต้มด้วยเลือดฝาดบาง ๆ ที่แก้มทั้งสองข้าง ดวงตาเรียวยาวคมกริบเปล่งประกายเสียยิ่งกว่าอัญมณีใดบนโลก ขนตายาวโค้งเพิ่มเสน่ห์ลึกลับให้กับนาง จมูกโด่งรับกับโครงหน้าที่ได้รูป ริมฝีปากบางสีแดงเข้มที่ยังเปื้อนคราบสุราโค้งขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ นางยกขวดสุราขึ้นอีกครั้ง สูดกลิ่นหอมของมันก่อนจะกระดกดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว
"ฮ่า! สุราที่นี่รสชาติเยี่ยมจริง ๆ" อวี้หลิงหรงหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางได้ออกมาจากจวนที่เหมือนกับนรกแห่งนั้น
นางปลดปิ่นปักผมออก ผมดำยาวสลวยหลุดร่วงลงมาเคลียไหล่ เปลี่ยนภาพของสตรีสูงศักดิ์ให้กลายเป็นหญิงสาวผู้รักอิสระในทันที
"คุณหนู.. ท่านเคยดื่มสุราเสียที่ไหนกัน อย่าทำราวกับว่าดื่มสุรามาแล้วทั้งชีวิตสิเจ้าคะ" จื่อรั่วแอบกระซิบผู้เป็นนายเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง เพราะคุณหนูของนางนั้นทั้งงดงามและบอบบาง
ปกติท่านก็เป็นสตรีในห้องหอ อ่านตำราหนังสืออยู่ที่เรือนตนเองอย่างเดียว มิเคยไปเตร็ดเตร่นอกจวน นางเกรงว่าคุณหนูจะทนกับฤทธิ์สุราไม่ไหว
โชคดีที่มีองครักษ์หลี่ติดตามมาด้วย ถึงแม้ว่าจะมิได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันด้วยเหตุผลเรื่องความเหมาะสม แต่เขาก็นั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ คอยอารักขา นางจึงสบายใจไปอีกหนึ่งเปราะ
"อีกสองวันข้าก็ต้องแต่งงานแล้ว.." นางพึมพำกับตัวเองพลางเทสุราเพิ่มลงในจอก รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า แต่ดวงตากลับเปล่งประกายหม่นหมองเพียงชั่วขณะ เพราะการแต่งงานในชีวิตก่อนนั้นก็ไม่ต่างจากนรก
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่สามีผู้อ่อนโยนของข้าเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน..
ก็ตั้งแต่ตอนที่น้องสาวสุดที่รักมาคอยดูแลอาการป่วยของข้ายังไงล่ะ ทั้งที่ข้าคิดว่าชาตินั้นมีครอบครัวที่ดีมีน้องสาวที่น่ารัก มีสามีที่อบอุ่นแท้ ๆ
สุดท้ายเรื่องราวของข้าก็คงกลายเป็นที่ซุบซิบนินทาในเมืองหลวงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องราวของข้าไป..
อวี้หลิงหรงกระแทกจอกลงกับโต๊ะเต็มแรง ก่อนจะยกมือสั่งเหล้าอีกไห ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มองนางราวกับกำลังเห็นบุปผาแปลกตาที่ทั้งงดงามเย้ยฟ้าท้าดิน
ในใจของนางเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ว่าเมื่อถึงวันที่ต้องสวมชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิง ชีวิตของนางจะเป็นอย่างไรต่อ นางอาจกลายเป็นพระชายาที่พระสวามีมิโปรดปรานถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็น
"ข้าว่าแบบนั้นมันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เขามิโปรดปรานข้าสิยิ่งดี ชีวิตข้าจะได้สงบ!"
อวี้หลิงหรงบ่นงึมงัมเนื่องจากอาการมึนเมา ทั้งที่ชีวิตก่อนนางดื่มเหล้าแข่งกับเหล่าทหารใต้บังคับบัญชายันฟ้าสางนางก็ยังไม่เมา แต่ร่างกายคุณหนูอวี้ผู้นี้นั้น.. กินไม่กี่ไหก็เมาแล้ว บอบบางเสียจริง!
ขณะที่อวี้หลิงหรงกำลังจมอยู่กับความคิดของตน บรรยากาศก็พลันเปลี่ยนไป เมื่อกลุ่มทหารหนุ่มสามคนในชุดเกราะหยาบกร้าน เดินโยกเยกเข้ามาพร้อมกลิ่นสุราโชยแรง
ดวงตาของพวกมันจ้องไปที่หญิงสาวในชุดสีดำเลื่อมทองอย่างหยาบคาย หนึ่งในนั้นก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ยกจอกสุราที่ถือไว้ในมือแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"แม่นาง..ใส่ชุดสีดำยังงดงามปานนี้ หากมิใส่.. เพ่ยเพ่ยเพ่ย ขออภัยด้วยข้าเมาแล้วเลอะเลือนปากก็พูดอะไรไปเรื่อย หวังว่าท่านคงจะไม่ถือสา เอาอย่างนี้ให้พวกข้าเลี้ยงเหล้าแทนการขอโทษเป็นอย่างไร" เสียงหัวเราะหยาบโลนจากพรรคพวกอีกสองคนดังขึ้นเสริมคำพูดนั้น
หญิงสาวปรายตามองพวกมันด้วยสายตาเยือกเย็น มือเรียวขาวที่ถือจอกสุราวางลงบนโต๊ะเบา ๆ ราวกับนางไม่แยแสคำพูด แต่เมื่อเอ่ยคำตอบ น้ำเสียงของนางกลับแหลมคมดุจใบมีด
"การไร้ความยับยั้งชั่งใจของพวกเจ้า ช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ ข้าไม่คิดว่าโรงเหล้าแห่งนี้จะเปิดรับทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานในคราวเดียวกัน"
ใบหน้าของชายทั้งสามแดงก่ำขึ้นทันที แต่ไม่ใช่เพราะฤทธิ์สุรา ทหารคนหนึ่งกำหมัดแน่น อีกคนกระชากดาบออกจากฝักพร้อมคำรามอย่างกราดเกรี้ยว
"ปากกล้านักนะนังนี่!"
หญิงสาวเพียงแค่นั่งยิ้มมุมปาก ใบหน้าสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ขณะที่พวกมันกำลังกรูเข้ามา นางลุกขึ้นยืนในชั่วพริบตา ชุดสีดำของนางสะบัดตามแรงลม มือเรียวของนางเคลื่อนไหวเร็วเกินกว่าตาที่เต็มไปด้วยฤทธิ์สุราของพวกมันจะมองทัน
เพียงพริบตาดาบทั้งสามเล่มในมือพวกมันถูกแย่งไปอย่างง่ายดาย นางเคลื่อนกายราวกับสายลม ด้ามดาบในมือถูกใช้แทนไม้เรียวหวดเข้าใส่ร่างของชายทั้งสามคนด้วยความแม่นยำ
ทหารคนแรกถูกฟาดเข้าที่หลังจนร่วงลงไปกองกับพื้น คนที่สองโดนกระแทกตรงชายโครงจนล้มทรุด และคนสุดท้ายโดนตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรงจนหมดสติทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนผู้คนในโรงเหล้าต่างยืนอ้าปากค้าง นางยืดตัวขึ้นเต็มความสูง จับดาบสามเล่มในมือโยนลงพื้นดังเคร้ง ก่อนจะหันไปสั่งสุราเพิ่มด้วยท่าทางเฉยเมย
เมื่อเห็นว่าชายสามคนนอนหมอบหมดสติอยู่กับพื้น เสียงปรบมือเซ็งแซ่ของผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นก็ดังขึ้น
"นางเป็นคุณหนูจากสกุลไหนกัน ทั้งงดงามและแข็งแกร่ง!"
"พวกเจ้าเห็นหรือไม่ นางใช้เพียงสันดาบเท่านั้น!"
"หากแม่นางผู้นั้นไม่ยั้งมือ มีหรือคนพวกนี้จะรอด"
เสียงชมเชยดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พร้อมเหล้าและกับแกล้มที่ถูกยกมาเติมให้เสียจนกินแทบไม่หมด
ทหารสามคนนี้มักจะเมาแล้วกร่างไปทั่ว เมื่อคนพาลถูกจัดการเสียจนหมอบมีหรือที่ชาวบ้านจะไม่ชอบใจ อย่างไรแคว้นฉินก็ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งอยู่แล้ว
ยิ่งสตรีที่ปกติควรเรียบร้อยราวกับผ้าที่ถูกพับไว้ กลับจัดการทหารหนุ่มสามคนด้วยตัวคนเดียวแถมยังใช้เพียงแค่สันดาบยิ่งกลายเป็นที่กล่าวขาน
นับว่าเป็นลาภปากได้หรือไม่เพราะค่ำคืนนี้นางมิต้องจ่ายค่าเหล้าเลยแม้แต่อีแปะเดียว!
เหตุการณ์ชุลมุนเหล่านั้น อยู่ในสายตาของฉินเฉินอวี้ที่กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านบนชั้นสองของโรงเหล้า เขาปัดมือเพียงเล็กน้อยหญิงสาวในอารมณ์ผืนบางก็ค้อมศีรษะแล้วเดินออกไปอย่างว่าง่าย
สายตาคมกริบจ้องมองไปยังใบหน้าที่แดงระเรื่อจากฤทธิ์สุราอย่างพินิจ นางต่อสู้โดยที่ไม่มีไอสังหารเล็ดรอดออกมาเลยสักนิด..
“นางคือใครกัน”
ขณะเดียวกันนั้น อวี้หลิงหรงที่รู้สึกกับราวมีเข็มมาทิ่มแทงตนเองจึงได้แหงนหน้าขึ้นไปมองบนชั้นสอง จึงเผลอสบตากับบุรุษคนหนึ่งที่จ้องมองมาที่นางตาไม่กระพริบ
หากดูจากการแต่งตัวแล้ว เขาคงจะไม่ใช่คนธรรมดา อีกอย่างนางก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ดังนั้นหากหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเป็นปัญหาในอนาคตได้ก็ควรจะเลี่ยง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นอวี้หลิงหรงจึงเลือกที่จะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นโดยที่มิได้ให้ความสนใจกับคนผู้นั้นอีก ทางด้านฉินเฉินอวี้เองก็สะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดไร้สาระที่เกี่ยวกับสตรีผู้นั้นทิ้งไป
นางจะเป็นใครก็มิได้เกี่ยวอะไรกับเขา!
ทว่าระหว่างที่กำลังสลัดภาพของสตรีเมื่อครู่ออกไป เขาก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังอันคุ้นตา
"เฉียนอัน.." เขาพึมพำชื่อขององครักษ์คนสนิทขึ้นมาพลางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
หลี่เฉียนอันเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้และไม่เคยทำให้ผิดหวัง เขาได้สั่งให้เฉียนอันไปรับตัวเจ้าสาวที่แคว้นหาน ไยเจ้านั่นจึงมานั่งเอ้อระเหยอยู่ร้านเหล้า ปกติเขามิใช่คนที่ออกนอกลู่นอกทางนี่?
เอาเถิดอย่างไรวันนี้ขบวนเสบียงก็มาถึงวังหลวงเรียบร้อยแล้ว ขบวนเจ้าสาวก็คงมาถึงแล้วเช่นกัน
หากเจ้านั่นอยากจะมานั่งดื่มบ้างก็คงไม่ผิดแปลกอะไร เพียงแต่ว่าเขาแค่แปลกใจที่เฉียนอันมิได้กลับมารายงานตัวกับเขาอย่างที่เคย
"ดูเหมือนว่าที่พระชายาของข้าจะ เป็นอย่างข่าวลือที่ไปสืบมาสินะ เจ้านั่นคงเห็นว่าไม่สำคัญเลยไม่ได้มารายงานเพิ่มเติม" เมื่อคิดได้เช่นนั้นฉินอ๋องเฉินอวี้จึงลุกขึ้น แล้วเดินทางกลับไปที่ตำหนักของตน
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







