Masukอวี้หลิงหรงกลับมาที่เรือนของตนทั้งที่อาภรณ์ชุ่มไปด้วยโลหิต และมีเพียงจื่อรั่วเท่านั้นที่คอยนั่งทำแผลอยู่เคียงข้าง สายตาเย็นชาก้มมองบาดแผลที่มือของตนอย่างไม่ไยดีนัก
ดูเอาเถิดขนาดโลหิตสีแดงฉานไหลออกมาเสียจนอาภรณ์เปียกชุ่ม ทว่านางกลับไม่รู้สึกอะไรเลย..
หากหัวใจของนางไร้ความรู้สึกเช่นนี้บ้างก็คงดี..
เรือนร่างบอบบางนั่งนิ่งอยู่ที่ตั่งไม้เนื้อดีภายในห้องนอนของตน แสงจากเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ทั่วมุมห้องส่องประกายวูบไหวไปตามแรงลมที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
ภายในห้องอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของนางกับจื่อรั่ว สาวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
หลังจากที่จมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตนเองมานาน อวี้หลิงหรงก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"จื่อรั่ว เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าคนที่ข้าต้องไปแต่งงานด้วยคือผู้ใด"
คำถามนั้นทำให้จื่อรั่วชะงัก ในตอนแรกนางคิดว่าคุณหนูคงจะกลับมานั่งร้องไห้อย่างเศร้าโศกเสียใจ แต่ดูเหมือนว่านางจะกังวลจนเกินไป เพราะคุณหนูที่เห็นในตอนนี้นั้น นิ่งเฉยกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก
"เรียนคุณหนู บ่าวมิทราบเลยเจ้าค่ะ" จื่อรั่วตอบเสียงเบา พลางก้มศีรษะลงอย่างเคารพ "แต่ว่าวันที่แคว้นหานต้องส่งเสบียงพร้อมเจ้าสาวไปยังแคว้นฉิน คนจากวังหลวงรวมถึงเจ้าบ่าวจะเป็นผู้ที่มารับเกี้ยวเจ้าสาวที่จวน.. บางทีคุณหนูอาจได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวในวันนั้นเจ้าค่ะ"
อวี้หลิงหรงยังคงนิ่งเงียบ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ทบทวนคำพูดของจื่อรั่วในใจ
‘อาจได้เห็นหน้าเจ้าบ่าว’
ซึ่งหมายความว่า.. เขาอาจจะมารับนางด้วยตนเอง หรือไม่มาก็ได้
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ดี เพราะนี่เป็นเพียงการแต่งงานทางการเมือง อีกทั้งเจ้าสาวยังเป็นเพียงเชลยจากแคว้นที่พ่ายแพ้ต่อสงคราม ชายผู้นั้นไม่มีเหตุผลอันใดจะต้องลดเกียรติของตนเองมารับตัวนาง
เอาเถิดไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่ นางก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
ดวงตาของอวี้หลิงหรงฉายแววเย็นชา นางไม่แม้แต่จะรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นและถาโถมเข้ามา เพราะถึงอย่างไรชีวิตนางก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว จะชาติไหนก็คงไม่ต่างกันนัก แต่ก่อนที่ความเงียบจะครอบคลุมไปมากกว่านี้ จื่อรั่วก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ท่านคงเจ็บมากเลยใช่มั้ยเจ้าคะคุณหนู.."
อวี้หลิงหรงหันไปมองนาง เห็นได้ชัดว่าจื่อรั่วยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ถึงแม้บ่าวไพร่ทุกคนในจวนจะรู้ดีว่าเหล่าคุณชายเกลียดชังคุณหนูสามมากเพียงใด แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะถึงขั้นทำร้ายนางอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เห็นดังนั้น อวี้หลิงหรงจึงเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว"
กลางดึกของคืนเดียวกัน
อวี้หลิงหรงพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงอย่างกระสับกระส่าย นางรู้สึกได้ถึงสายตาของใครบางคนที่จับจ้องนางอยู่ตลอดเวลา ทำให้แม้แต่ความง่วงก็ไม่อาจพานางเข้าสู่นิทราได้
นางตัดสินใจลุกขึ้นนั่งพลางใช้มือเสยเส้นผมที่ปรกหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด ดวงตาคมกริบเหลือบมองไปยังข้างเตียง และก็พบกับร่างของจื่อรั่วที่นั่งอยู่ตรงนั้น
"ข้าบอกให้เจ้ากลับไปนอนที่ห้องของเจ้าหลายรอบแล้ว ไยจึงดื้อรั้นนัก?" อวี้หลิงหรงกล่าวเสียงต่ำ
ในแสงสลัวของเชิงเทียน นางมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสาวใช้คนสนิทมีใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ดวงตาที่มักเปล่งประกายสดใสบัดนี้หม่นหมองด้วยความอ่อนล้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น แสดงออกถึงความดื้อรั้นที่ไม่ยอมผ่อนปรน
จื่อรั่วเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอวี้หลิงหรง พลางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"มิได้หรอกเจ้าค่ะ บ่าวต้องคอยเฝ้าดูคุณหนูเอาไว้ หากท่านทำอะไรที่อันตรายต่อตนเองขึ้นมา บ่าวจะได้ช่วยท่านทัน"
อวี้หลิงหรงนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอย่างอ่อนใจ "แล้วข้าจะทำเช่นนั้นไปทำไมกัน?"
"ก็..ก็เผื่อว่าท่านอยากแก้แค้นคุณหนูสี่" จื่อรั่วตอบเสียงสั่น "ท่านอาจจะฆ่าตัวตายเพื่อให้คุณหนูสี่ต้องไปเป็นเชลยที่แคว้นฉินแทนท่านไงเจ้าคะ"
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น อวี้หลิงหรงถึงกับนิ่งไป ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ที่แท้จื่อรั่วก็ยังเก็บคำพูดของนางเมื่อตอนกลางวันมาคิดมาก
"ข้าดูเป็นคนที่จะทำอะไรเช่นนั้นหรือไงกัน?" นางเอ่ยถามทั้งรอยยิ้ม
จื่อรั่วพยักหน้าอย่างไม่ลังเล "เจ้าค่ะ"
อวี้หลิงหรงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วก็หัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้ดวงตาของนางทอประกายบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ นางไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกขบขันที่จื่อรั่วคิดไปไกล หรือควรรู้สึกซาบซึ้งที่บ่าวรับใช้ของนางเป็นห่วงมากถึงเพียงนี้
"ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก เจ้าเองก็นอนได้แล้ว"
.
.
.
.
เพล้ง!!!
ในห้องโถงที่มืดสลัว แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กสะท้อนกับเศษขวดเหล้าที่แตกกระจายบนพื้น ร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์สีเข้มนั่งเอนกายพิงโต๊ะไม้สักแกะสลักงดงาม ผมยาวสีดำขลับหลุดลุ่ยลงมาปรกใบหน้า ผิวพรรณของเขาขาวซีดราวกับหยก แต่งแต้มด้วยเลือดฝาดอ่อน ๆ บนแก้มที่ยังไม่จางหายจากฤทธิ์สุรา
ดวงตาคมกริบที่เคยฉายแววแห่งความเฉลียวฉลาดบัดนี้เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเกรี้ยวกราด ใต้ตาดูหม่นหมองราวกับไม่ได้นอนมาหลายคืน จมูกโด่งรับกับใบหน้าคมสัน ทว่าริมฝีปากบางที่เคยหยักโค้งอย่างสง่างามกลับสั่นไหวเพราะอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายใน
เขากระชากขวดเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะโยนมันไปกระแทกกับกำแพงเสียงดังสนั่น จนเศษกระเบื้องกระเด็นไปทั่ว
"หลินหลิน.." เขาพึมพำชื่อนั้นออกมา เสียงทุ้มแหบพร่าผสมกับความขมขื่นในลำคอ ชื่อนี้เป็นดั่งคำสาปที่ตอกย้ำว่า นางไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไป
สตรีที่เขารักหมดหัวใจกลับถูกกำหนดให้แต่งงานกับชายอื่น และตัวเขาเองก็ถูกบังคับให้เข้าสู่พันธะที่ไม่ต้องการ ชายหนุ่มหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ มือข้างหนึ่งกำขวดเหล้าแน่นเสียจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา ราวกับอยากบีบให้มันแหลกคามือ
"โธ่เว้ย!!!" เขาแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ ก่อนขว้างขวดเหล้าใส่กำแพงอย่างเต็มแรง
ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างจะถูกยกขึ้นมาปิดใบหน้าที่แดงก่ำ กระทั่งความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง ที่แห่งนี้จึงเหลือเพียงเสียงลมกระทบหน้าต่างเบา ๆ และกลิ่นเหล้าที่ตลบอบอวลอยู่ในอากาศ
เช้าวันเดินทาง
อวี้หลิงหรงมองหน้าสมาชิกในครอบครัวทีละคน แต่ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากปากนาง ดวงตาของนางเฉยชาราวกับไร้ความรู้สึก นางหมุนตัวเพื่อเดินไปยังรถม้าที่รออยู่ แต่ก่อนที่นางจะก้าวขึ้น เสียงทุ้มต่ำของเสนาบดีอวี้เฉิงก็ดังขึ้นเสียก่อน
"ดูแลตัวเองด้วย" เขาพูดเพียงสั้น ๆ ทว่ามันเป็นประโยคที่อบอุ่นที่สุดจากปากของบุรุษที่เจ้าของร่างนี้เรียกว่าพ่อ น่าเสียดายที่อวี้หลิงหรงตัวจริงนั้น.. ไม่ได้อยู่ฟังอีกแล้ว
"ท่านไม่ต้องห่วง ข้าดูแลตัวเองได้ดีมาตลอดอยู่แล้ว" นางตอบกลับโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
"พี่สาม..ข้าคงคิดถึงท่านมิน้อยเลย หากมีโอกาสก็อย่าลืมเขียนจดหมายกลับมาหาข้าบ้างนะเจ้าคะ" อวี้ซูเม่ยพูดพลางส่งยิ้มที่ดูไร้เดียงสา แต่ในแววตานั้นกลับสะท้อนถึงความสะใจที่ซ่อนเร้น
อวี้หลิงหรงไม่ได้ตอบกลับ นางเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ราวกับไม่อยากเสียเวลาต่อความยาวสาวความยืด ทันใดนั้นเองอวี้เหวินก็ก้าวเข้ามา เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
"หรงหรง.. ที่นี่ยังคงเป็นบ้านของเจ้าเสมอ" คำพูดของอวี้เหวินแทงใจนางยิ่งนัก บ้านหรือ? สถานที่แห่งนี้สมควรถูกเรียกว่าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
"ใช่ เจ้าสามารถกลับมาได้ตลอด" อวี้หยุนพูดเสริมขึ้น
อวี้หลิงหรงหันกลับมามองทั้งสามคน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเฉยชา ก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบาง ๆ
"เจ้าค่ะ" นางตอบกลับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังเดินขึ้นรถไม้ไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองอีก
ขณะที่รถม้าของนางค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกห่างไปจากที่ที่เจ้าของร่างนี้เคยเรียกว่าบ้าน คำตอบพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ของนางยังคงติดอยู่ในใจของบิดาและพี่ชายทั้งสองพวกเขาเองต่างก็รู้ดีว่า
นางไม่มีวันหวนกลับมาที่นี่อีก..
ขบวนขนเสบียงพร้อมทั้งเจ้าสาวเดินทางถึงชายแดนระหว่างแคว้นหานและแคว้นฉินอย่างปลอดภัยและใช้เวลาเดินทางเพียงแค่สี่วันเท่านั้น ซึ่งผิดจากที่เขาคิดเอาไว้อยู่มาก เพราะขบวนปีก่อน ๆ ก็ใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะเดินทางมาถึงเขตชายแดน
เพราะเจ้าสาวที่มาพร้อมกับขบวนเสบียงขอพักแทบจะทุกครั้งที่มีโอกาส บ่นเหนื่อย บ่นเมื่อย ไปตามประสาคุณหนูจากตระกูลขุนทาง ทว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้นั้นกลับต่างออกไป
"องครักษ์หลี่ นี่เราก็มาถึงแคว้นฉินกันแล้ว อีกทั้งยังถึงก่อนกำหนดฤกษ์แต่งงานอีกด้วย ท่านจะไม่ยอมให้ข้าออกไปเดินเปิดหูเปิดตาสักหน่อยหรือ"
เสียงรบเร้าของอวี้หลิงหรงดังขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เดินทางจนกระทั่งวันที่สามก็ยังคงพูดอยู่ นั่นคือขอออกไปขี่ม้าเองบ้าง ไม่ก็ขอล่วงหน้าไปที่แคว้นฉินก่อนขบวนเสบียงที่เดินเช้าอย่างกับเต่า ว่าที่พระชายาผู้นี้ทำเอาองครักษ์ผู้แสนจะสุขุมถึงกับกุมขมับกันเลยที่เดียว
นางใช่คนเดียวกันกับคุณหนูสามในข่าวลือจริง ๆ หรือ ไหนว่าเป็นคนขี้ขลาด พูดน้อย ไม่กล้าสู้หน้าผู้ใด หรือสายที่เขาให้ไปสืบจะทำงานผิดพลาด?
"คุณหนูท่านอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจได้หรือไม่ หากท่านหนีไปข้าจะทำเช่นไร"
"ข้าหนีไป.." อวี้หลิงหรงทำท่าครุ่นคิด
นางไม่เคยคิดถึงเรื่องหนีมาก่อนเลย หรือนางควรสังหารองครักษ์หลี่เสียตรงนี้แล้วหนีไปดี
ไม่สิ.. นางยังมีจื่อรั่วที่ติดตามมาอีกคนนี่ หากนางทำเช่นนั้นจริงจื่อรั่วก็จะพลอยลำบากไปด้วย
"หากข้าหนีไป เจ้านายของท่านก็น่าจะดีใจจนอยากจัดงานฉลองเก้าวันเก้าคืนสตรีสุราครบ!"
นางเอ่ยขึ้นอย่างติดตลกเพื่อกลบความคิดสุดโต่งก่อนหน้านี้ ถึงมันจะเป็นความคิดที่เข้าท่าก็เถอะถ้านางมาตัวคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ดันมีเด็กซื่อบื้ออย่างจื่อรั่วตามมาด้วยนี่น่ะสิ
หากเป็นตอนแรกที่นางมาสวมร่างนี้ นางก็คงมิได้สนใจชีวิตของผู้ใดนอกจากตนเองหรอก แต่เด็กคนนี้กลับเป็นคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง อีกทั้งยังร้องไห้เจ็บปวดในเรื่องของนางราวกับเป็นเรื่องของตนเอง
เด็กที่ยอมเป็นเชลยและตามมารับใช้นางถึงต่างแดนเช่นนี้ นางจะทิ้งลงได้อย่างไร
"องค์ชายจะคิดเช่นไรกระหม่อมมิอาจรู้พระทัยของพระองค์หรอกพะย่ะค่ะ แต่ท่านรวมถึงครอบครัวของท่านนั้น คงจะถูกตัดหัวทั้งตระกูลเป็นแน่"
องครักษ์หลี่เฉียนอันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าขึงขังไร้ซึ่งอารมณ์ขัน
เขากำลังขู่ข้า
ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มขึ้นอย่างสบายใจ บนใบหน้าขาวผ่องฉายแววเยือกเย็น ดวงตาคู่งามของนางเย็นเยียบราวกับเหมันต์ฤดู หากนางใช้สายตานั้นจ้องมองไปยังผู้ใด คนผู้นั้นคงคล้ายกับถูกแช่แข็ง
"เช่นนั้นคงจะดีมิน้อย"
หลี่เฉียนอันยืนแน่นิ่งไปหลังจากที่เห็นว่าที่พระชายากล่าวเช่นนั้น
อันที่จริงแล้วเขาขยับร่างกายไม่ได้เลยต่างหาก เจ้าของใบหน้าคมคายลอบกลืนน้ำลายอย่างทำตัวไม่ถูก เพราะนอกจากองค์ชายแล้ว เขาก็เพิ่งจะเคยเจอคนที่ทำให้เขารู้สึกกดดันจนร่างกายของเขาชาเสียจนก้าวขาไม่ออก
นางมิได้พูดเล่น..
สตรีผู้นี้มีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา เขารู้สึกได้..
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







