Masukสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่ แสงจันทร์นวลสาดส่องมายังกลางห้อง เผยให้เห็นสองร่างที่ยืนประจันหน้ากันอย่างไม่ลดละ
อวี้หลิงหรงปลดเครื่องหัวที่หนักอึ้งทิ้งไว้บนเตียงไม้หลังใหญ่ จนเส้นผมยาวสยายพลิ้วไหวไปตามแรงลม นางก้มหยิบปิ่นทองขึ้นมาอันหนึ่ง ดวงตาของนางจับจ้องไปที่เขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก
ฉินเฉินอวี้ได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดกับภาพเบื้องหน้า นางคิดจะใช้เพียงปิ่นเพื่อต่อกรกับเขา? มือสังหารที่ไหนไม่เตรียมอาวุธมาเพื่อสังหารเหยื่อ อย่างน้อยนางก็ควรมีมีดสั้นหรือดาบซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งมิใช่หรือ
"เจ้าคิดจะต่อกรกับดาบของข้าด้วยปิ่นปักผม?" เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ
อวี้หลิงหรงไม่ตอบคำถาม เพียงกระชับปิ่นในมือแน่น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่เขาในพริบตา การโจมตีของนางทั้งรวดเร็วและแม่นยำราวกับนักล่าที่หมายจะปลิดชีพเหยื่อ
ฉินเฉินอวี้ยกดาบขึ้นรับการโจมตี แต่ก็ถูกแรงกระแทกผลักถอยไปหนึ่งก้าว ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
นางเร็วกว่าที่เขาคิด..
เสียงโลหะกระทบกันดังกังวานในความเงียบ ดาบในมือเขาสะบัดเป็นวงกว้างเพื่อป้องกันตัว ขณะที่ปิ่นของนางพุ่งทะลวงเข้ามาหาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับมองเห็นจุดอ่อนของเขาทุกจุด
อวี้หลิงหรงคล้ายร่ายรำอยู่ในสนามรบ ท่วงท่าอันงดงามและเฉียบขาดของนางทำให้ฉินเฉินอวี้ต้องตั้งสมาธิเต็มที่ หากเพียงเสี้ยววินาที่เขาหยุดชะงัก นางอาจปลิดชีพเขาได้ในทันที
"คราวก่อนก็สันดาบ.. คราวนี้ก็ปิ่นปักผม" เขาคิดในใจ ทว่ากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด
เสียงดาบฟาดฟันและปิ่นที่หมุนวนพุ่งเข้าใส่กันอย่างต่อเนื่องสร้างแรงลมกระจายไปทั่วห้อง ในที่สุด ด้วยความได้เปรียบด้านอาวุธ ฉินเฉินอวี้ใช้ด้ามดาบกระแทกมือของนางจนปิ่นหลุดจากมือ นางถอยหลังไปสองก้าวด้วยลมหายใจที่ถี่รัว
เขาจับจ้องนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ดาบในมือของเขาเลื่อนขึ้นมาจ่อที่ลำคอของนาง แต่เขาไม่ได้ลงมือสังหาร กลับยืนมองนางที่ทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้า
"เหตุใดจึงไม่ลงมือ" อวี้หลิงหรงเอ่ยถาม เสียงของนางแม้จะแผ่วเบาแต่แฝงด้วยความเย้ยหยัน
ฉินเฉินอวี้ลดดาบลง สายตาของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเย็นชาของนาง เมื่อครู่นี้เขาดูออกว่าการโจมตีแต่ละครั้ง นางจะเลี่ยงจุดตายของเขาเสมอ
"คิดจะดูถูกข้าหรือไง!!" ฉินเฉินอวี้ตวาดเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว
อวี้หลิงหรงนิ่งเงียบ ก่อนจะกล่าวตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวกับไร้อารมณ์ "ข้าไม่ได้คิดสังหารท่าน แต่หากท่านจะสังหารข้าก็รีบ ๆ ทำเสีย"
"เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ!?" ฉินเฉินอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหงุดหงิด
นางหัวเราะเบา ๆ ราวกับคำพูดของเขาเป็นเรื่องตลก ก่อนจะตอบด้วยแววตาที่หม่นลง "ใคร ๆ ก็ว่าเช่นนั้น"
คำพูดของนางทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ ฉินเฉินอวี้จ้องมองนางที่ยังนั่งอยู่บนพื้น ร่างของนางดูอ่อนแอทว่าในขณะเดียวกันกลับแฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง
"ยิ่งเจ้าอยากตาย ข้ายิ่งไม่มีทางยอมให้เจ้าได้สมหวัง" ฉินเฉินอวี้พูดพลางเก็บดาบกลับเข้าฝัก สายตาของเขาแฝงความรู้สึกหนึ่งที่อ่านได้ยาก
"นอนเสีย..รุ่งขึ้นเราต้องเข้าวังกันแต่เช้า" เขาพูดต่อ ก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากห้อง
อวี้หลิงหรงทำได้เพียงมองประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดลง พร้อมกับแผ่นหลังของฉินเฉินอวี้ที่ค่อย ๆ เดินหายเข้าไปในความมืด
“หากถูกคนอื่นสังหาร ข้าจะสามารถตายได้จริง ๆ มั้ยนะ..” นางถอนหายใจออกมา พร้อมกับบ่นพึมพำด้วยความเสียดาย
เมื่อฉินเฉินอวี้เดินออกมาจากห้อง เขาก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงการต่อสู้เมื่อครู่นี้ นางไม่ได้เป็นคนโง่เขลาอย่างแน่นอน ฝีมือดาบที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น ต้องมาจากวินัยและความมุ่งมั่นทั้งชีวิต
อีกอย่าง.. บุตรสาวที่มีความสามารถถึงเพียงนี้ ใครกันโง่เขลาส่งนางมาเป็นเชลยถึงต่างแคว้น นางเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนางธรรมดาจริง ๆ น่ะหรือ.. เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทบทวนสิ่งที่หลี่เฉียนอันเคยรายงานไว้ก่อนหน้า
ตอนนี้เขาเข้าใจในสิ่งที่หลี่เฉียนอันพูดไว้อย่างกระจ่างแจ้ง ฉินเฉินอวี้หยุดเดิน พลางมองกลับไปทางประตูห้องที่ปิดสนิท ก่อนจะหันหลังเดินต่อไป
แสงแรกของวันลอดผ่านหน้าต่างไม้แกะสลัก เสียงนกร้องเบา ๆ สอดประสานกับสายลมเย็นที่พัดมากระทบผ้าม่านบางสีขาวไข่มุก
อวี้หลิงหรงยืนอยู่หน้าประตูตำหนักในชุดแพรไหมสีครามอ่อนปักลายดอกบัว เสื้อคลุมสีเข้มช่วยขับให้ผิวขาวนวลของนางยิ่งโดดเด่น เรือนผมดำขลับถูกจัดเรียบง่าย ติดปิ่นเงินเล็ก ๆ ไม่หวือหวา ดวงหน้างดงามของนางเรียบเฉยแต่แฝงด้วยความสง่า
ข้างกายของนางคือฉินเฉินอวี้ ซึ่งอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มปักลายเมฆ ใบหน้าหล่อเหลาแต่แฝงความเย็นชา ดวงตาคมกริบของเขาไม่เผยอารมณ์ใด ๆ
ทั้งสองเดินเคียงกันไปยังรถม้าสีดำ ที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบหรูซึ่งรออยู่ด้านหน้า บรรยากาศในตำหนักยังคงสงบเงียบ ราวกับทุกคนพยายามไม่เอ่ยถึงข่าวลือที่ว่า
คืนเข้าหอที่ผ่านมา..องค์ชายมิได้อยู่ค้างคืนในห้องหอกับพระชายา
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากตำหนัก ท่ามกลางสายลมเย็นและเสียงล้อบดไปบนพื้นหิน อวี้หลิงหรงนั่งอย่างสงบ สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ฉินเฉินอวี้นั่งพิงพนักด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่ดวงตายังคงจับจ้องไปที่นาง
"ถึงแม้ว่าเราจะแต่งงานกันแล้ว แต่ก็อย่าคิดว่าข้าจะยอมรับเจ้าเป็นพระชายา" เสียงของเขาเอ่ยขึ้นราบเรียบ ทว่าทุกคำกลับแฝงความดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
อวี้หลิงหรงหันหน้ามามองพระสวามีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดวงตาของนางนิ่งสงบ ไร่ซึ่งแววของความเจ็บปวดหรือความน้อยใจ
"เพคะ" คำตอบสั้น ๆ ที่ดูไร้การต่อต้านนั้น ทำให้ฉินเฉินอวี้รู้สึกไม่พอใจ เพราะมันดูเหมือนว่านางไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูด
"หากเจ้าเข้าใจอะไรง่ายเช่นนี้ก็ดีแล้ว"
"เพคะ" อวี้หลิงหรงทำเพียงหลับตาลงอย่างสงบ ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้อึดอัด
“เจ้าไม่มีเรื่องใดที่อยากจะพูดเลยหรือ”
อวี้หลิงหรงลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปยังฉินเฉินอวี้ ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"พระองค์ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้นหรือเพคะ"
ฉินเฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด ที่เขาเอ่ยถามออกไปเช่นนั้นเพื่อเปิดโอกาสให้นางได้โต้แย้งหรือยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ ทว่านางกลับไม่แยแสต่อสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างเขารู้สึกเหมือนว่านางกำลังรำคาญเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ!
หลังเหตุการณ์กบฏสิ้นสุดลง ชะตาชีวิตของหลายคนก็พลิกผัน แต่ชื่อของเว่ยลี่หลินกลับไม่ปรากฏอยู่ในบัญชีโทษของผู้ใด ด้วยเพราะนางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวทั้งสิ้น นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกดึงเข้าสู่กระดานหมากใหญ่แห่งราชสำนัก โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือเลือกหนทางให้ตนเองราชโองการให้หย่าขาดจากอดีตองค์รัชทายาทฉินจื่อหยวนผู้ล่วงลับ ถูกประกาศออกมาในวันที่ฟ้าครึ้มฝน แม้นางจะรู้ว่าเรื่องนี้คงถูกนำไปนินทาอย่างสนุกปากจากบรรดาบุตรสาวขุนนาง แต่ถึงกระนั้น นางก็ยอมรับมันโดยสงบ แม้จะต้องทิ้งนามพระชายาที่เคยเป็นทั้งเกียรติและพันธนาการ แต่ก็แลกมาด้วยอิสรภาพที่นางโหยหามานานเว่ยลี่หลินกลับไปใช้สกุลเดิม “เว่ย” ตามเดิม บรรดาผู้คนในวังต่างนินทาว่านางคงตกต่ำลงแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางรู้สึกเบาใจขึ้นเพียงใด เมื่อไม่ต้องฝืนยิ้ม ไม่ต้องสวมหน้ากากให้ใครมองอีกต่อไปหลังจากนั้นไม่นาน นางก็เลือกที่จะหันหลังให้กับเมืองหลวงและออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้น โดยไม่มีรถม้าหรูหรา มีเพียงบ่าวรับใช้เก่าแก่สองคนและหีบเสื้อผ้าใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของใช้เท่าที่จำเป็นผู้คนถามว่าสตรีผู้เคยเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะไปที่ใด
หลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและความสูญเสียผ่านพ้นไป ฤดูร้อนก็เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมสายลมอบอุ่นและแสงแดดอ่อนที่ราวกับช่วยลบล้างความขมขื่นในหัวใจอวี้หลิงหรงในวัยครรภ์แก่ใกล้คลอดเต็มที ค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าโดยมีมือของฉินเฉินอวี้คอยประคอง ดวงตานางทอดมองวังหลวงที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนบางให้พระสวามีของตนวันนี้เป็นวันมงคลของแผ่นดิน..วันแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นมารดาแห่งแผ่นดินก็คือพระสนมสวี่ซิงเหยียน พระมารดาขององค์ชายหกภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง องค์ชาย องค์หญิง และเหล่าผู้มีบรรดาศักดิ์ต่างร่วมงานด้วยสีหน้าปีติยินดี เสียงพิณบรรเลงแผ่วเบาประกอบท่วงท่าแห่งพิธีอันสง่างามเมื่อพิธีเสร็จสิ้นลง องค์ฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนและฮองเฮาสวี่ซิงเหยียนจึงทรงเรียกองค์ชายหกและพระชายาเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว“อวี้เอ๋อร์... ข้ากับมารดาของเจ้าต่างเห็นพ้องกัน ว่าเจ้าคือผู้เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งองค์รัชทายาท” เสียงของฮ่องเต้ฉินเซิ่งหยวนดังขึ้นอย่างราบเรียบ ทว่าหนักแน่นและเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นฉินเฉินอวี้นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค้อมกายลงด้วยความเคารพ แล
เมื่อฉินจื่อหยวนตระหนักได้ว่าการดวลกับนางต่อไปมีแต่จะเสียเปรียบ เขาจึงหันสายตาไปยัง ฉินเฉินอวี้ที่ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ในจังหวะที่กระบี่ของอวี้หลิงหรงฟาดสวนมาทางเขาอีกครั้ง ฉินจื่อหยวนก็เบี่ยงตัวหลบ แล้วเปลี่ยนทิศทางของดาบในมือ พุ่งออกไปทางฉินเฉินอวี้ แต่ก่อนที่ดาบนั้นจะเข้าถึงตัวของชายผู้ที่บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหว สตรีในชุดดำก็รีบเร่งฝีเท้าพุ่งตัวเข้ามาขวางทางอย่างไม่ลังเล"ไม่!!!" อวี้หลิงหรงกรีดร้องสุดเสียง นางพุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าโดยไม่คิดชีวิต เพื่อที่จะสกัดกั้นคมดาบนั้นให้ได้ นางรู้ดีว่าตนไม่มีทางปัดป้องได้ทันเวลา และในครรภ์ของนางก็ยังมีชีวิตน้อย ๆ อยู่อีกหนึ่งคน ในชั่วพริบตาแห่งการตัดสินใจ นางปล่อยกระบี่ในมือลงกับพื้น ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรับคมดาบด้วยตัวเอง!เสียงฉีกขาดของเนื้อดัง ฉัวะ! โลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นท่วมสองฝ่ามือ“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของอวี้หลิงหรงดังก้องสะท้อนทั่วลาน ฉินเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก สิ่งที่เห็นมีเพียงแผ่นหลังบาง ๆ ของนางที่ยืนขวางเขาเอาไว้ชั่วขณะนั้น..เวลาราวกับหยุดหมุนดวงตาคู่งามสั่นไหวด้วยความปวดร้าว มือทั้งสองที่เปื้
ค่ำคืนมืดครึ้มในวังหลวง ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆทมิฬ เสียงสายลมหวีดหวิวกรีดผ่านยอดหลังคาตำหนักฟังแล้วชวนขนหัวลุก หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องขณะที่แสงโคมไฟในวังริบหรี่ลงทุกขณะณ ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่พำนักขององค์ฮ่องเต้ประตูไม้สลักลายมังกรปิดสนิท แผ่นหิมะเกาะขอบหลังคาเงียบงัน ใต้ผ้าห่มแพรแดงลายมังกรบนเตียงไม้แกะสลัก มีสองร่างนอนแนบชิดกันอย่างสงบนิ่ง ราวกับไม่รับรู้ถึงภัยเงาร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกขณะเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแทรกผ่านเสียงลม เงาร่างชุดดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตามเงาเสา เงียบเชียบราวกับเป็นเพียงเงาจันทร์สาดทาบพื้น พวกมันลอบเข้ามาจากทางระเบียงด้านข้าง ดาบในมือแต่ละเล่มยังเปื้อนเลือดสดจากทหารยามเฝ้าเวรหนึ่งในนั้นยกดาบขึ้นสูงเหนือร่างบนเตียง ก่อนจะแทงลงกลางอกด้วยแรงทั้งหมดโดยไร้ซึ่งความลังเลทว่าร่างที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นกับนิ่งเงียบไม่ไหวติง มือสังหารรีบกระชากผ้าห่มผืนใหญ่ออกอย่างรุนแรงภายใต้ผ้าห่ม ไม่ใช่ร่างของฮ่องเต้หรือพระสนมสวี่ แต่เป็นเพียงหมอนข้างที่ซ้อนกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มเท่านั้น“กับดัก..?” เสียงพร่าของมือสังหารเพิ่งหลุดออกจากริมฝีปาก ก่อนที่เขาจะได้หันไป
หลังจากการประชุมวานนี้ องค์ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักอวี้ฮวา ตามพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าต้องรอการพิสูจน์ความบริสุทธิ์นาง ในขณะเดียวกัน นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮากลับถูกลากตัวไปยังคุกหลวง ถูกทรมานเพื่อหาความจริง นางกรีดร้องปานวิญญาณหลุดจากร่าง เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในห้องขังแคบ ๆ ส่วนทางด้านพระสนมสวี่ แม้นางจะเป็นสตรีที่ฮ่องเต้รักยิ่ง แต่ในยามนี้พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิกลับเย็นชาดุจน้ำแข็งหลายวันมาแล้วที่พระสนมสวี่กินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจของนางเหมือนถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ยามคิดถึงบิดาที่กำลังถูกจองจำในคุกหลวง ด้วยใจระทมทุกข์ นางจึงรวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ตนเข้าเยี่ยมบิดาแต่องค์จักรพรรดิก็หาได้เหลียวแลไม่ “ขอฝ่าบาทเมตตา..” พระนางคุกเข่าท่ามกลางลมหนาว หยดน้ำตาของพระสนมคล้ายหยาดพิรุณตกต้องใจใครบางคน แต่ก็ไม่อาจทะลุม่านเย็นชาของผู้เป็นกษัตริย์ได้หิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความเงียบงันของลานหน้าพระตำหนักเฉียนชิง สตรีผู้สูงศักดิ์ในชุดแพรบางสีครามยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หยดน้ำตาไหลเงียบ ๆ ลงบนแก้มซีดเซียว“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาทูลว่า
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า บรรยากาศตึงเครียดจนแทบสัมผัสได้ เสนาบดีเจียงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ สีหน้าเคร่งขรึมแฝงไปด้วยความมั่นใจ เขากำลังกล่าวถ้อยคำฟังดูหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย“กระหม่อมเห็นว่า...การมีโรงกษาปณ์เถื่อนตั้งอยู่ในหมู่บ้านชิงหลินซึ่งอยู่ในเขตปกครองของสกุลสวี่ ย่อมบ่งชี้ถึงความพยายามในการสะสมกำลังและท้าทายราชอำนาจ เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม หากไม่สอบสวนให้ถึงที่สุด เกรงว่าความมั่นคงของแผ่นดินจะสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าขุนนางหลายคนพากันพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่บางส่วนก็เหลือบมองกันไปมา ราวกับกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างอำนาจของตระกูลสวี่และความแข็งแกร่งของกลุ่มเจียงระหว่างที่คำกล่าวหายังไม่สิ้นสุด เสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ฝ่าฝืนความเงียบที่กดดันเขาเข้าไปกระซิบอย่างเร่งร้อนกับกงกงคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมากระซิบรายงานเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นตัว“ฝ่าบาท..พระชายาขององค์ชายหก เสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับหมู่บ้านชิงหลิน ที่ต้องทูลต่อหน้าพระพักตร์และเหล่าขุนนางทั้งหลาย”องค์ฮ่องเต้ชะงักเพียงเล็กน้อ







![ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)