ไป๋มู่หลานค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกว่าศีรษะของตนเองปวดหนึบราวกับจะระเบิดออกมา เมื่อนางตั้งสติให้ดีและมองไปโดยรอบ ก็พบว่ายามนี้ตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียง ไป๋มู่หลานขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ทำไมการตกแต่งมันดูแปลกประหลาดพิลึกแบบนี้วะ อย่างกับหลงมาอยู่ในซีรีส์จีนโบราณ
เอ๊ะ!! หรือว่าพระเอกซีรีส์ในดวงใจผ่านมาเห็นว่านางตกเขา เขาจึงอุ้มนางมาพักในกองถ่าย
ไป๋มู่หลานที่คิดได้เช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี แต่ทว่าเมื่อนางได้ยินเสียงของใครบางคนเข้า ก็ชะงักไปชั่วขณะ
"ฟื้นได้แล้วหรือ ข้าคิดอยู่แล้ว สตรีชั่วช้าเช่นเจ้า ไม่ตายง่ายๆ หรอก ถึงตายก็คงจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนไม่มีที่ไป!!!"
ไป๋มู่หลานรีบหันไปมองทันที ก่อนจะต้องตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง
นั่นมัน!!! ผู้ชายคนนั้นที่อยู่ในฝันของนางนี่นา
ฝันอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?
ไป๋มู่หลานที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบหลับตาลง พร้อมกับนับหนึ่งสองสาม แล้วจึงลืมตาขึ้นอีกครา แต่ก็ยังพบกับหยางเจ๋อหยวนที่ยืนกอดอกจ้องมองนางด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร
เพียะ!!!
ตื่นสิโว้ย!!
ไป๋มู่หลานตบหน้าตนเองจนปวดแสบระบมไปหมด หยางเจ๋อหยวนที่ได้เห็นเช่นนั้นก็หรี่ตามองนางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ไป๋เหมยเหม่ย เจ้ากำลังเล่นละครงิ้วให้ข้าดูอย่างนั้นหรือ"
ไป๋เหมยเหม่ย!
ไป๋มู่หลันที่ได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยถามหยางเจ๋อหยวนทันที
"เมื่อครู่นี้เรียกฉันว่าอะไรนะคะ"
หยางเจ๋อหยวนขมวดคิ้วมุ่น เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังเสแสร้งทำสิ่งใดอยู่ จึงเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"เจ้าจำชื่อตนเองไม่ได้หรือ ไป๋เหมยเหม่ย"
"ไป๋เหมยเหม่ย?"
ไป๋มู่หลานอุทานออกมา ก่อนจะลนลานพลางมองไปโดยรอบ แล้วจึงพบเข้ากับกระจกบานหนึ่ง นางคว้ามันขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะจ้องมองเข้าไปในกระจกบานนั้น เมื่อได้เห็นภาพสตรีตรงหน้า ไป๋มู่หลานก็ตัวชาไปในทันที
เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย นี่เราย้อนกลับมาเกิดในร่างของสตรีที่ฝันถึงมาตลอดหลายเดือนอย่างนั้นหรือ!!
สตรีที่มีใบหน้าเหมือนเธอราวกับฝาแฝด!!!
ไป๋มู่หลานพยายามครุ่นคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก ฉับพลันนั้นภาพความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ย้อนกลับมาในห้วงความคิดของนางจนเต็มไปหมด
"ข้าคือไป๋เหมยเหม่ยบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ไป๋"
"ผู้ใดขัดใจ ข้าตบไม่เลี้ยง"
"ท่านอาจารย์หยางช่างหล่อเหลายิ่งนัก ข้าจะต้องแต่งกับเขาให้จงได้"
"สตรีใดคิดยั่วยวนหยางเจ๋อหยวน ข้าจะฆ่ามันเสีย"
ไป๋มู่หลานยกมือขึ้นมากุมขมับตนเอง ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่านางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของสตรีที่มีนามว่าไป๋เหมยเหม่ยจริงๆ อีกทั้งสตรีนางนี้ยังไม่มีข้อดีอันใดเลยนอกจากจิตใจที่มีแต่ริษยา เจ้าคิดเจ้าแค้น และเป็นมือตบหมายเลขหนึ่งของเมืองหลวง
เดิมทีก็คิดว่าตนเองตบตีเก่งแล้ว มาเจอร่างนี้นางขอคารวะเลย!!!
หยางเจ๋อหยวนจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยที่มีท่าทีประเดี๋ยวยิ้มอย่างสิ้นหวัง ประเดี๋ยวก็มีท่าทีว่าจะร้องไห้ ก็ครุ่นคิดในใจคราหนึ่ง
นางคงศีรษะฟาดขอบโต๊ะจนสติเลอะเลือนไปหมดแล้วสินะ!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงหันไปเอ่ยกับเหล่าสาวใช้ทันที
"พวกเจ้าเฝ้านางเอาไว้ให้ดี หากนางคลุ้มคลั่งก็มัดนางเอาไว้"
ไป๋มู่หลานที่ยามนี้กลายเป็นไป๋เหมยเหม่ยไปแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงหันขวับไปมองหยางเจ๋อหยวนทันที
โห!! นี่คิดจะมัดกันเลยเหรอ
หยางเจ๋อหยวนเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เหล่าสาวใช้นั่งตัวสั่นอยู่ในห้องเพราะไม่กล้าล่วงเกินผู้เป็นนาย
ไป๋มู่หลานถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นับจากวันนั้นนางก็เก็บตัวเงียบเพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ จนทำให้นางเริ่มทำใจยอมรับได้แล้ว แม้จะรู้สึกมึนงงสับสนอยู่บ้าง แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
เอาเถิด เป็นไป๋เหมยเหม่ยก็ได้ ในเมื่อมันไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงหันไปมองสาวใช้น้อยนางหนึ่งที่กำลังนั่งก้มหน้างุดไม่เอ่ยสิ่งใดอยู่
"นี่เจ้า"
"เจ้าคะ!!!"
สาวใช้น้อยนางหนึ่งที่ถูกเรียกพลันตกใจจนสะดุ้งตัวโยน พาให้ไป๋เหมยเหม่ยสะดุ้งตกใจตามไปด้วย นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ไป๋เหมยเหม่ย เจ้าชั่วร้ายจนผู้คนไม่อยากเข้าใกล้แล้วรู้หรือไม่
"เจ้าชื่ออะไร เอ่อ ภาษาโบราณพูดว่าไงนะ อ้อ เจ้าชื่ออันใด"
สาวใช้น้อยเงยหน้ามาจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง รู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อย ที่เห็นเจ้านายตนมีท่าทีประหลาดเช่นนี้
ท่าทางคล้ายพูดกับตนเองนั่นมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
"ไม่ตอบล่ะ ชื่ออันใด"
"เอ่อ ฮูหยินน้อยจำบ่าวไม่ได้หรือเจ้าคะ บ่าวชื่อเฉียวเหลียนเจ้าค่ะ เป็นบ่าวที่ติดตามฮูหยินน้อยมาจากจวนท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยมีสีหน้าครุ่นคิดคราหนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ พลันเรื่องราวเก่าก่อนก็ปรากฏขึ้นในหัวของนาง
"ฮือ ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวไม่กล้าแล้ว!!!"
"นังบ่าวสารเลว กล้าดีอย่างไรไม่เชื่อฟังข้า หรือว่าเจ้าเห็นนังฟ่านกุ้ยอิงเป็นเจ้านายใหม่ไปแล้ว ฮะ!!! ถีบสักคราคงจะหลาบจำมากขึ้น"
"ฮือ ฮูหยินน้อยโปรดเมตตาบ่าวด้วย"
"ไสหัวไป!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มแห้งออกมาคราหนึ่งราวกับคนสิ้นหวัง เมื่อได้เห็นภาพในอดีตของสตรีนางนี้ว่าชั่วร้ายเพียงใด
นอกจากนิสัยแย่แล้วยังเจ้าอารมณ์อีกด้วย!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเอ่ยกับเฉียวเหลียนทันที
"พาฉัน เอ่อ ข้าหิวน่ะ เจ้าไปหาของกินมาให้ข้าหน่อย"
เฉียวเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างรีบร้อน ก่อนจะหายไปครู่หนึ่ง แล้วกลับมาพร้อมกับอาหารในมือ
"เอ่อ ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ยามนี้มีเพียงแค่หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแกง เอ่อ เพราะว่าบ่าวรับใช้ในครัวยังจัดสำรับไม่แล้วเสร็จ ขอฮูหยินน้อยได้โปรดอย่าโมโหเลยนะเจ้าคะ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง
ให้ตายเถอะ เพียงแค่สำรับเสร็จไม่ทันเวลา นางก็ทุบตีคนแล้วอย่างนั้นหรือ
นางจ้องมองอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า ก่อนจะนึกถึงคำพูดของเฉียวเหลียนขึ้นมา
"เฉียวเหลียน ข้าไม่ชอบกินหมูสามชั้นหรือ"
เฉียวเหลียนที่ได้ยินไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยถามเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
"เอ่อ ฮูหยินน้อยเคยบอกว่ามันมีเนื้อมันมากไปทำให้กินไม่อร่อย ยิ่งนำมาตุ๋นน้ำแกงแล้วรสชาติเฮงซวยยิ่งนัก ฮูหยินน้อยชอบกินเนื้อมากกว่า ไม่ชอบหมูสามชั้นติดมันเช่นนี้เจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยคนใหม่ถึงกับถอนหายใจปลงตกออกมาคราหนึ่ง
สตรีหน้าโง่!! เจ้าไม่รู้จักของดีซะแล้ว หมูสามชั้นนี้ถ้าได้นำไปย่างแล้วละก็รับรองว่าสุดยอด!!!
"อืม ช่างเถิด ข้าจะกินข้าวแล้ว ส่วนเจ้าก็ไปหาข้าวกิน ไม่ต้องมานั่งเฝ้าข้า"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยกับเฉียวเหลียนด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร แต่ทว่าเฉียวเหลียนกลับไม่กล้าขยับไปไหนจนไป๋เหมยเหม่ยต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เหตุใดไม่ไปกินข้าวเล่า"
"เอ่อ ฮูหยินน้อยเคยบอกว่า หากฮูหยินน้อยยังกินไม่อิ่ม ห้ามบ่าวไพร่คนใดไปกินข้าวเด็ดขาดเพคะ ต้องรอให้ฮูหยินน้อยอิ่มก่อนจึงจะไปได้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะโบยให้ตายเจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย
กฎระเบียบอะไรกันวะเนี่ย ตัวเองกินไม่อิ่มก็ห้ามคนอื่นกิน เจ้าอารมณ์ไม่พอ ยังโรคจิตเสียด้วย!!!
ไป๋เหมยเหม่ยวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะเอ่ยกับเฉียวเหลียน
"นับแต่นี้ไปยกเลิกกฎเช่นนี้ไปเสีย เจ้าไปกินข้าวได้ไม่ต้องกลัวข้าโบยหรอก"
"จริงหรือเจ้าคะ"
"จริงสิ"
"เอ่อ"
"มีอันใดอีก"
"ที่นายน้อยหยางบอกว่าฮูหยินน้อยล้มจนศีรษะกระแทกโต๊ะ แล้วทำให้สติฟั่นเฟือนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รู้จะเอ่ยตอบเช่นไร
"ฮือ ฮูหยินน้อย ถึงท่านจะทุบตีบ่าว แต่บ่าวก็ภักดีไม่เปลี่ยนแปลง บ่าวอยู่กับท่านมาตั้งแต่วัยเยาว์ บ่าวรักท่านที่สุด ทูนหัวของบ่าว"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกเฉียวเหลียนคลานมากอดเข่าก็รู้สึกกินอาหารไม่ลงไปชั่วขณะ นางจ้องมองบ่าวรับใช้ตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือไปลูบศีรษะของเฉียวเหลียนคราหนึ่ง
"ทำไม ข้าสติฟั่นเฟือนเช่นนี้แล้วดีกับเจ้า เจ้าไม่ชอบหรือ หรือว่าชอบข้าคนเก่า"
"ฮึก ต่อให้ฮูหยินน้อยจะเป็นเช่นไร บ่าวก็ชอบทั้งนั้นเจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาคราหนึ่ง นึกอิจฉาไป๋เหมยเหม่ยคนเก่าที่มีบ่าวภักดีเช่นนี้อยู่ข้างกาย
"เช่นนั้นเจ้าก็ไปกินข้าวเสีย ให้สาวใช้คนอื่นๆไปกินด้วยกันเสียเลย”
"เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบกลับมานะเจ้าคะ"
"อืม"
เมื่อเฉียวเหลียนออกไปแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยก็รีบใช้ตะเกียบคีบหมูสามชั้นในชามขึ้นมากัดกินคำหนึ่ง ก่อนจะรับมือกับเรื่องราวที่ต้องเผชิญย่อมต้องมีแรงเสียก่อน
แต่ทว่าเมื่อหมูสามชั้นถูกนางกินเข้าไปแล้ว ไป๋เหมยเหม่ยก็ชะงักครู่หนึ่ง รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
บัดซบจริง!!! เทถังเกลือลงไปหรือไรกัน เค็มมากเลย!!!
แต่ช่างเถอะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กลืนมันลงไปเสียไป๋เหมยเหม่ย กลืนลงไปเดี๋ยวนี้!!!
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด