หลายวันหลังจากนั้น ไป๋เหมยเหม่ยก็เริ่มคุ้นชินกับร่างนี้มากขึ้นแล้ว อีกทั้งนางยังนึกถึงความทรงจำของร่างเดิมได้มากขึ้นอีกด้วย
เริ่มแรกก็คือนางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่รักษาดินแดน ยามนี้อายุได้สิบเจ็ดปีเต็มแล้ว มีพี่ชายหนึ่งคนและน้องชายหนึ่งคน บิดาของนางนับว่ามีอำนาจทางการทหารในมือ อีกทั้งยังเป็นกำลังสำคัญที่ผลักดันฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจนขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น และยังเป็นที่ไว้วางใจของฝ่าบาทอีกด้วย
เวลานี้คือรัชศกเหลียนไห่ปีที่สี่สิบ แคว้นนี้คือแคว้นไท่หยาง เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าและมีอำนาจมากที่สุด
ส่วนหยางเจ๋อหยวนผู้ที่นางแต่งงานด้วยนั้น เป็นบุตรชายของจวนราชครู อายุยี่สิบห้าปีเต็ม ท่านปู่ของเขาเป็นพระอาจารย์ขององค์ชายหลายพระองค์ เมื่อท่านปู่ตายจากไป บิดาของหยางเจ๋อหยวนก็ใช้ความสามารถของตนจนได้รับตำแหน่งราชครูเฉกเช่นบิดาตน ส่วนหยางเจ๋อหยวนนั้นเมื่อสามปีก่อนในการสอบเค่อจวี่เขาสอบได้อันดับที่หนึ่ง ความสามารถเก่งกาจทั้งตำรา การคัดอักษรและพิณ เป็นบุรุษรูปงามมากความสามารถที่สตรีในเมืองหลวงใฝ่ฝัน จนได้เข้ามาเป็นอาจารย์สอนที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยน
ยามนั้นไป๋เหมยเหม่ยมีอายุเพียงสิบสี่ปี นางได้เข้าวังไปร่วมคัดเลือกสหายเล่าเรียนขององค์หญิงใหญ่ แต่นางกลับได้พบกับหยางเจ๋อหยวนโดยบังเอิญ เขาเพิ่งออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ เมื่อได้พบเขาครั้งแรกนางก็ตกหลุมรักเขา เอาแต่ตามติดเขาแจ จนหมัวหมัวในวังหลวงทนไม่ไหว จึงตัดสิทธิ์การเข้าร่วมเป็นสหายเล่าเรียนของนางเสีย เพราะนางทำผิดกฎและยังไม่รู้จักกาลเทศะ แต่ไป๋เหมยเหม่ยหาสนใจไม่ นางใช้เวลาทั้งหมดตามดูความเป็นไปของหยางเจ๋อหยวน จนวันหนึ่งที่นางสบโอกาส งานเลี้ยงวันเกิดไท่ฮูหยินของจวนราชครูในปีนั้น นางก็ลากหยางเจ๋อหยวนลงสระน้ำไปด้วยกัน ก่อนจะกอดรัดเขาแน่นจนผู้คนเห็นเหตุการณ์ ท้ายที่สุดเขาก็จำต้องแต่งนางเข้าจวนมาเป็นภรรยาเอก เพราะทนฟังคำนินทาของผู้คนไม่ไหว
หลังจากนางแต่งเข้ามาก็คิดว่าทุกอย่างคงราบรื่น หยางเจ๋อหยวนนั้นไร้มารดา มารดาเขาล้มตายจากไปตั้งนานแล้ว มีเพียงเหล่าอนุของบิดาที่ไม่กล้ามีปากมีเสียงใดๆ และไท่ฮูหยินท่านย่าของเขา นางจึงได้ขึ้นมาเป็นฮูหยินน้อยในจวนราชครู
แต่ทว่าคืนเข้าหอเขากลับหนีหน้านาง ไม่เข้าหอกับนาง ไม่เคยสนใจ สามวันให้หลังเขาก็แต่งฟ่านกุ้ยอิงเข้ามาเป็นภรรยารอง ไป๋เหมยเหม่ยเดิมทีก็ไม่ยอมผู้ใดอยู่แล้ว นางจึงบุกเข้าไปตบตีฟ่านกุ้ยอิงในเรือนทันที หยางเจ๋อหยวนเกลียดน้ำหน้านางนัก แม้แต่ไท่ฮูหยินก็ยังไม่ชอบนิสัยของนาง
ทุกๆ วันนางต้องทนมองเห็นสายตาเกลียดชังของหยางเจ๋อหยวน ทนฟังเขาด่าทอสารพัด แต่นางรักเขามากเหลือเกิน
ไป๋เหมยเหม่ยส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง บุรุษเช่นนี้มีอันใดดีกัน ปากก็จัด อีกทั้งยังมีหลายเมียแต่สตรีนางนี้กลับหลงรักจนโงหัวไม่ขึ้น เพียงเพราะเขาหล่อเหลา ช่างไร้สมองเสียจริง!!!
ให้ตายเถิด!! ย้อนมาแต่งงานแล้วเช่นนี้ คงจะหาสามีใหม่ยากแล้วเป็นแน่
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เฉียวเหลียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจึงเอ่ยขึ้นมา
"ฮูหยินน้อย อยากได้เตาอุ่นหรือไม่เจ้าคะ ยามนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว"
ไป๋เหมยเหม่ยหันมามองเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมา นางไม่ได้รู้สึกหนาวถึงเพียงนั้น แต่ไหนแต่ไรนางชื่นชอบอากาศหนาวมากที่สุด
"นี่เฉียวเหลียน ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง"
"เจ้าคะ"
"ข้ากับหยางเจ๋อหยวนไม่เคยหลับนอนด้วยกันจริงหรือ”
เฉียวเหลียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดง ก่อนจะมีท่าทีเขินอายจนไป๋เหมยเหม่ยเริ่มขนลุกขนชัน
"ตั้งแต่แต่งงานกันมา นายน้อยหยางไม่เคยมาหาฮูหยินน้อยเลยเจ้าค่ะ ไม่เคยเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยปรายตามองเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"แล้วเจ้าเขินอายทำไมกัน"
"เอ่อ สตรีไม่ควรเอ่ยเรื่องเช่นนี้เจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ก่อนจะเอ่ย
"เขาไม่เคยมาเลยจริงๆ หรือ"
"เจ้าค่ะ ไม่เคยเลย ส่วนมากจะอยู่กับฮูหยินรองเจ้าค่ะ"
"ฮูหยินรอง ฟ่านกุ้ยอิงน่ะหรือ"
"เอ ฮูหยินน้อยจำไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ"
"อ้อ ข้าจำไม่ค่อยได้น่ะ เจ้าก็รู้ว่าศีรษะของข้าเพิ่งฟาดขอบโต๊ะมา"
ไป๋เหมยเหม่ยเอ่ยพลางทำท่าทีปวดหัว เฉียวเหลียนที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"ฮูหยินรองมีนามว่าฟ่านกุ้ยอิงนั่นแหละเจ้าค่ะ นางเป็นสตรีที่นายน้อยหยางรักมาก เอ่อ ฮูหยินน้อย บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ อย่าตีบ่าวเลย"
ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวในความฝันนั้น
เหมือนว่าร่างเดิมจะเคยเอ่ยถึงชื่อนี้อยู่หลายครั้ง
ช่างเถิด ในเมื่อนางยังไม่ได้ตกเป็นของเขาก็นับว่าเป็นเรื่องดี ไว้ค่อยหาโอกาสหย่าขาดจากเขา เท่านี้นางก็ไม่เสียเปรียบแล้ว!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงเอ่ยกับเฉียวเหลียนทันที
"จะกลัวทำไมกัน ข้าไม่ตบตีเจ้าหรอก"
"เจ้าค่ะ"
"เฉียวเหลียน ข้าอยากออกไปดูหิมะเสียหน่อย เจ้าไปกับข้าที"
"ได้เจ้าค่ะ"
เฉียวเหลียนรีบมาประคองไป๋เหมยเหม่ยทันที แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับเอ่ยขึ้นมา
"ไม่ต้องประคองข้า ข้าเดินเองได้”
"เอ่อ คือว่า..."
"โอ๊ย!! ไม่ต้องพูดมาก บอกให้ทำสิ่งใดก็ทำเถิด"
"เจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยก้าวเดินออกมาจากเรือนของตน ก่อนจะมองดูหิมะที่ตกโปรยปรายลงมา ทั่วทั้งพื้นหญ้ายามนี้มีหิมะสีขาวปกคลุมไปเกือบครึ่ง แต่ก็นับว่าไม่ได้หนาตามากเท่าใดนัก นางยื่นมือไปรองรับหิมะ ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วจึงก้าวเดินออกไปด้านนอกพร้อมกับมีเฉียวเหลียนที่คอยกางร่มให้
"แค่กแค่ก"
ไป๋เหมยเหม่ยคล้ายได้ยินเสียงไอแห้งๆ ของสตรีนางหนึ่งเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้มองเห็นใบหน้าของสตรีนางนั้นชััดๆ ก็พลันนึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนได้ในทันที
สตรีนางนี้คือฟ่านกุ้ยอิง
"มาคอยดูกัน ว่าระหว่างเจ้ากับข้า ท่านพี่หยางเจ๋อหยวนจะรักผู้ใดมากกว่ากัน เจ้ามันใช้อำนาจบิดามาผูกมัดเขา แต่ทว่าเขารักข้า นังหน้าโง่!!!"
"ฮือ ท่านพี่ กุ้ยอิงไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินพี่หญิงไป๋เลยนะเจ้าคะ"
"ฮือ พี่หญิงไป๋อย่าตบตีข้าเลยเจ้าค่ะ"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้มองเห็นภาพต่างๆ ในห้วงความคิดของร่างเดิมแล้ว นางก็พอจะเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้
ไป๋เหมยเหม่ยคนเก่านั้นแม้จะฉลาดและสู้คน แต่ทว่ากลับไร้มารยาที่สตรีควรจะมี เอาแต่ใจตนเองไม่สุขุมรอบคอบ ทำให้พ่ายแพ้แก่ฟ่านกุ้ยอิงอย่างราบคาบ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไป๋เหมยเหม่ยถอนหายใจออกมาอีกครา นางตั้งใจว่าจะเดินผ่านฟ่านกุ้ยอิงไป แต่สตรีตรงหน้ากลับปรายตามองนางอย่างดูแคลน
ฟ่านกุ้ยอิงเชิดหน้าขึ้น ไม่มีท่าทีเคารพนบนอบต่อนางที่เป็นภรรยาเอกเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าไป๋เหมยเหม่ยกลับไม่ใส่ใจ
"พี่หญิงไป๋ วันนี้ผีตนใดผลักท่านให้ออกมานอกเรือนได้หรือ ข้าได้ยินมาว่าท่านไม่ชอบอากาศหนาว วันนี้กลับออกมาได้ หรือว่าสมองไม่ปกติเสียแล้ว"
ไป๋เหมยเหม่ยส่งเสียงเหอะในลำคอคราหนึ่ง นางเองเดิมทีไม่ชอบมีเรื่องกับใคร แต่ถ้ามีคนไม่ให้เกียรตินางก่อน นางก็ไม่ยอมเช่นกัน
"สมองข้าปกติดี ไม่ต้องให้เจ้าลำบากเสนอหน้ามาห่วงใย เช่นนั้นเจ้าก็เดินเล่นต่อไปเถิด ข้าไปละ"
ในขณะที่ไป๋เหมยเหม่ยกำลังจะเดินจากไปนั้น ฟ่านกุ้ยอิงก็พลันล้มลงไปกับพื้นที่มีหิมะ ก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง
"พี่หญิงไป๋เจ้าคะ ข้าไม่กล้าแล้ว!!!"
ไป๋เหมยเหม่ยพลันตกใจไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นว่าฟ่านกุ้ยอิงล้มลงไปร้องห่มร้องไห้เช่นนั้น
"ไป๋เหมยเหม่ย!!! เจ้ารังแกผู้อื่นอีกแล้วหรือ"
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ไป๋เหมยเหม่ยก็ยกมือขึ้นนวดขมับตนทันที
หยางเจ๋อหยวนสามีบัดซบผู้นั้นกลับมาแล้วสินะ!!!
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด