เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แข้งขาอ่อนไปโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
"หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ เอ่อ หม่อมฉันไม่อยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยของพระองค์เพคะ!!"
“เช่นนั้นก็เป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งดีหรือไม่?”
“ไม่เพคะ!!!”
เย่เพ่ยส่ายหน้าไปมาอย่างถี่ระรัว นางเคยได้ยินเรื่องเล่าของจวิ้นอ๋องผู้อยู่ในสนามรบมาไม่น้อย ผู้คนเล่าลือว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา และรบเก่งจนศัตรูยอมพ่ายแพ้ แต่ทว่ากลับมีจิตใจอำมหิต เคยมีเรื่องเล่าว่ายามอยู่ชายแดนมีอนุนางหนึ่งทำไม่ถูกใจเขา เขาจึงบีบคอนางตายในคืนที่นางเข้ามาปรนนิบัติ เหล่าทหารลากศพนางไปฝังที่นอกด่านอย่างน่าเวทนา
นางไม่อยากถูกเขาบีบคอตาย!!!
เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของเย่เพ่ย จางเหยียนเหว่ยก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเขามีจิตใจอำมหิต ฆ่าอนุ ข่มเหงสตรี ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่มันกล้าใส่ร้ายเขา เมื่อเห็นเย่เพ่ยหวาดกลัวเขาเช่นนี้ เขาก็พอจะเดาทิศทางได้ จึงเอ่ยกับนางอย่างเบื่อหน่าย
“เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปเถิด อย่าเอ่ยเรื่องราวเมื่อครู่ไปทั่วอีกเล่า มิเช่นนั้นข้าคงต้องรับเจ้าเข้าจวนเป็นอนุแล้ว เพื่อปิดปากไม่ให้เจ้าพูดได้อีก”
เย่เพ่ยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะลนลานรีบจากไปทันที ไป๋เหมยเหม่ยหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เขามีอนุเป็นร้อยเลยหรือ? ให้ตายเถิด เอวเขายังแข็งแรงดีหรือไม่?
ไม่ใช่สิ!!!
จางเหยียนเหว่ยรับรู้ได้ว่าตนถูกมองจึงหันมา และพบว่าไป๋เหมยเหม่ยกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขายิ้มให้นาง ก่อนจะเอ่ย
“ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าอยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยสิบของข้า”
หนึ่งร้อยสิบ!!! อันใดกัน เมื่อครู่นี้ยังคนที่หนึ่งร้อยอยู่เลย เพิ่มไวจริงเชียว
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มแห้ง ก่อนจะเอ่ย
“ไม่ดีกว่าเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา หม่อมฉันเพียงอยากขอบพระทัยที่ทรงส่งหมูสามชั้นไปให้เพคะ”
“อ้อ”
จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“เห็นเจ้าชอบ ข้าก็ดีใจ”
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เฮ้อ!!! เขาช่างหล่อเหลาจริงๆ
ไป๋จินเซียงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดหยอกเย้าของจางเหยียนเหว่ย เพราะรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรจางเหยียนเหว่ยก็มีนิสัยเช่นนี้มานาน เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับสหายตนทันที
“ขอบใจมากนะอาเหยียน”
“อืม”
“เช่นนั้นข้ากลับก่อนเล่า”
“เชิญ ไว้พบกันใหม่”
“อืม”
ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าไม่มีสิ่งใดต้องทำแล้วจึงพาน้องๆ กลับจวน จางเหยียนเหว่ยมองตามไป๋เหมยเหม่ย ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
ระหว่างที่นั่งในรถม้า ไป๋เหมยเหม่ยเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เย่เพ่ยเอ่ยกับนาง นางถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหันไปเอ่ยกับไป๋จินเซียง
"พี่ใหญ่"
"หืม"
"เหตุใดจึงมีข่าวเล่าลือเช่นนั้นมาได้เล่า ข้ากับท่านอ๋องไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้นเลย"
ไป๋จินเซียงจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"คงเป็นเพราะวันที่เจ้าเป็นลมหมดสติ อาเหยียนอุ้มเจ้าไปส่งที่โรงหมอ ผู้คนที่ได้พบเห็นจึงพูดกันไปเรื่อย"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย
"เขาอุ้มข้าหรือ"
"ใช่"
"ให้ตายเถิด"
ไป๋กู้ชวนที่นั่งเงียบมานาน จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"วันๆ เอาแต่กินๆ จะไปรู้อันใด ของกินยัดปากอยู่หรือจึงไม่มีความสามารถเถียงเย่เพ่ย ทุกคราข้าเห็นเจ้าตบนางจนกองผักกระจัดกระจาย วันนี้เป็นอันใด อิ่มเกินไปหรือจึงไม่มีเรี่ยวแรงท้าตบนาง"
ไป๋เหมยเหม่ยไม่เอ่ยสิ่งใด นางไม่ถนัดเรื่องตบกับสตรีด้วยกันเท่าใดนัก
แต่หากให้นางต่อยเย่เพ่ย นางรับรองว่าเย่เพ่ยต้องจำไปจนวันตายเป็นแน่
ได้!!! ครั้งหน้าเจอกันนางจะลองต่อยเย่เพ่ยดูสักครั้ง!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะหันมาถามไป๋จินเซียง
“พี่ใหญ่ ท่านอ๋องสหายของท่าน เขามีอนุเป็นร้อยจริงหรือ”
ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขำพรืดออกมา ก่อนจะเอ่ย
“มีที่ใดกัน เขาเพิ่งกลับมาจากสนามรบ ในจวนไร้พระชายาไร้อนุ ยามอยู่ชายแดนแม้จะเที่ยวหอนางโลมมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้พาสตรีใดมาอยู่ข้างกาย ยามอยู่ชายแดนพี่กับอาเหยียนตัวติดกันตลอดเวลา เขาก็พูดจาข่มขู่เย่เพ่ยไปเช่นนั้น คนอย่างอาเหยียนหากบอกว่ามีสุราเป็นภรรยาพี่ยังจะเชื่อมากกว่า นานมากแล้วที่อาเหยียนไม่ยอมกลับเมืองหลวง ทั้งที่ไม่มีสงครามแล้ว แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงกลับมา คงเพราะใกล้ครบรอบวันตายของบิดามารดาเขากระมัง จึงได้ยอมกลับมา”
ไป๋เหมยเหม่ยพยักหน้าคราหนึ่ง นางอยากถามต่ออีกหน่อย แต่ก็เกรงว่าไป๋จินเซียงจะสงสัยในท่าทีของนาง ไป๋กู้ชวนที่เห็นเช่นนั้นจึงถลึงตามองพี่สาวตนทันที
“เจ้าอย่าได้คิดเชียวนะ ข้ามีพี่สาวร้ายกาจก็เกินทนแล้ว อย่าให้ข้ามีพี่เขยที่รอบกายมีแต่ไอสังหารด้วยอีกคนเลย ข้ากลัวยิ่งนัก”
“ปากมากจริงเชียว ข้าเพียงถามเท่านั้น!!!”
“ชิ!!! คนเช่นเจ้าน่ะ เพียงมองตาข้าก็รู้ความคิดเจ้าแล้ว คงอยากจะกินท่านอ๋องเข้าไปทั้งตัวเลยละสิ”
รู้ดีจริงน้องชายบัดซบ!!! อีกเรื่องที่เจ้าไม่รู้ก็คือ หากข้าแบกเขากลับจวนได้ ข้าแบกไปนานแล้ว โธ่!!!
หลายวันต่อมา ร้านของไป๋เหมยเหม่ยก็ปรับปรุงเสร็จเรียบร้อย ยามนี้เป็นช่วงที่นางกำลังจัดแต่งร้านให้ดูงดงาม นางใช้ดอกไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ประดับตกแต่งไปทั่วทั้งร้าน ร้านค้าของนางเป็นร้านที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ถ้าหากกิจการไปได้ดี นางเองก็ตั้งใจที่จะขยายกิจการเพิ่มไป๋เหมยเหม่ยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตน ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยชาจากเฉียวเหลียนขึ้นมาดื่ม ยามนี้ร้านของนางตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเปิดขายเท่านั้น "คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะตั้งชื่อร้านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"ไป๋เหมยเหม่ยหันไปมองเฉียวเหลียนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย"หม้อไฟคนงาม""เอ""ทำไม ข้าไม่อยากตั้งชื่อเหมือนคนอื่น เอาชื่อนี้แหละ ไปๆ เจ้ากับข้าไปเลือกซื้อวัตถุดิบกันเถิด วันนี้พี่ใหญ่ไม่มาด้วย เราคงต้องไปกันสองคนแล้ว""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนยิ้มตาหยี นางชื่นชอบคุณหนูที่สมองกระทบกระเทือนเช่นนี้เป็นที่สุด เพราะนางจะไม่ต้องถูกทุบตีเช่นแต่ก่อนอีก ยามนี้คุณหนูของนางอารมณ์ดี ไม่ทุบตีบ่าวไพ่่ บ่าวในเรือนก็เริ่มไม่หวาดกลัวคุณหนูอีกแล้วเฉียวเหลียนเดินตามไป๋เหมยเหม่ยมาซื้อของที่ตลาดอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางไป๋เหมยเหม่ยก็แบ่งขนมให้นางกิน ไม่รู้ว่าเมื
ไป๋เหมยเหม่ยไม่สนในสองสามีภรรยาบัดซบคู่นั้นอีก เมื่อหยางเจ๋อหยวนและฟ่านกุ้ยอิงกลับไปแล้ว นางก็สั่งให้คนมาลากสาวใช้ของฟ่านกุ้ยอิงออกไปโยนที่หน้าร้าน แล้วจึงหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง"เอ่อ ขอบพระทัยท่านอ๋องมากนะเพคะ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เขาจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น จนคนถูกมองเริ่มมีอาการประหม่า"เอ่อ ท่านอ๋องทรงมองหม่อมฉันทำไมกันเพคะ"ไป๋เหมยเหม่ยเสียงสั่นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดจากับเขาด้วยประโยคยาวๆ เช่นนี้ นางพยายามควบคุมตนเองพลางครุ่นคิดในใจใจเย็นไว้!!! ถึงเขาจะหน้าเหมือนพระเอกคนนั้น แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พระเอกที่นางเคยชอบ ก็แค่หน้าเหมือนหรอกน่า!!!แม้จะเป็นการหลอกตนเองที่ดูไร้เหตุผลยิ่งนัก แต่มันก็ทำให้ไป๋เหมยเหม่ยสบายใจและหายประหม่าไปได้ไม่น้อยทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาของจางเหยียนเหว่ยทั้งหมด เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้"เจ้าเป็นสตรีหม้ายที่งดงามและมากความสามารถที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาเลย"“ฮะ?” เมื่อเห็นท่าทีงงงันและเขินอายของนาง จางเหยียนเหว่ยก็นึกสนุกขึ้นมา เขาจึงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า
เช้าวันต่อมาไป๋เหมยเหม่ยก็รีบมาที่ร้านอาหารของตนเองตั้งแต่เช้า ร้านของนางเป็นเพียงร้านเล็กๆ ไม่ต้องจัดแจงสิ่งใดมากนักก็เปิดขายได้แล้วไป๋เหมยเหม่ยให้ไป๋จินเซียงหาคนที่เขียนอักษรได้งดงามมาเขียนรายการเมนูอาหารให้กับนาง โชคดีที่ไป๋จินเซียงมีสหายเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง เขาคัดอักษรได้งดงามยิ่งนัก ไป๋เหมยเหม่ยมองดูรายการอาหารของนาง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยหม้อไฟคนงามหม้อไฟ หมู เนื้อ กุ้ง สามารถนั่งกินได้คนละครึ่งชั่วยาม จ่ายเพียงสามสิบอีแปะต่อคน ภายในครึ่งชั่วยามนี้สามารถเติมอาหารและผักเพิ่มได้ไม่เกินสองครั้ง สั่งมาแล้วกินไม่หมดปรับสองเท่าของราคาอาหาร พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่เข้ามาก่อนห้าโต๊ะแรก รับฟรีผลไม้เชื่อมตามฤดูกาลและมันฝรั่งเส้นผัดพริกโต๊ะละหนึ่งที่นางไม่ได้คิดจะขายในราคาที่แพงเกินไปนัก อยากให้ทุกคนจับต้องได้“เฉียวเหลียน ระฆังใบเล็กที่ข้าสั่งเอาไว้ได้หรือยัง”ไป๋เหมยเหม่ยหันไปถามเฉียวเหลียนคราหนึ่ง ไม่นานมานี้นางให้เฉียวเหลียนไปหาซื้อระฆังกระดิ่งใบเล็กมาสักสองใบ สาวใช้น้อยพยักหน้าก่อนจะเอ่ย“ได้แล้วเจ้าค่ะ บ่าวสั่งให้คนแขวนมันเอาไว้ตรงที่คิดเงินของคุณหนู ว่าแต่คุณหนูจะนำมันมาทำสิ่งใดหรื
เขาค่อยๆ ใช้ปลายมีดกรีดมันลงไปกลางฝ่ามือข้างซ้ายของตนอย่างช้าๆ กลิ่นโลหิตปะทะเข้ากับปลายจมูกของเขา ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดตรงหน้ามันทำให้เขาราวกับได้ปลดปล่อยความทุกข์ทนในใจได้เป็นอย่างดี เขาปล่อยให้เลือดสีแดงสดไหลซึมลงมาตามปลายนิ้วอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำเช่นนี้ มันหลายต่อหลายครั้ง ทั้งมือและแขน รวมถึงลำตัวล้วนมีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลือเอาไว้มากมาย ฉับพลันก็มีเสียงเปิดประตู ผู้ที่เดินเข้ามาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี“นายน้อย ท่านทำร้ายตนเองอีกแล้วหรือ!!!”จางเหยียนเหว่ยไม่ตอบ บนใบหน้าของเขายามนี้เลื่อนลอย ต่างจากท่าทีก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ไม่มีท่าทีขี้เล่นหยอกเย้าเช่นเดิมอีก มีเพียงใบหน้าที่เฉยชาเงียบขรึม เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าโลหิตจะไหลออกมามากเพียงใด มืออีกข้างกำมีดเอาไว้แน่น ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าผู้ใดที่เข้ามาในห้องแห่งนี้นี่คือช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุดผู้ที่เข้ามาคือพ่อบ้านกัว พ่อบ้านที่ดูแลเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ยามที่เขาเดินทางไปชายแดนเพื่อเข้าสนามรบ พ่อบ้านกัวก็ติดตามไปด้วย จวนจวิ้นอ๋องจึงถูกทิ้งร้างมานานหลายปีพ่อบ้านกัวรีบวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนจะจัดการท
ด้านไป๋เหมยเหม่ยนั้นเมื่อกลับมาถึงร้านก็ไม่ได้พัก จวบจนยามบ่ายลูกค้าก็เริ่มบางตาลง ในขณะที่นางกำลังจะสั่งให้เฉียวเหลียนเก็บร้าน ก็มีบุรุษสองคนและสตรีอีกหนึ่งนางกำลังก้าวเดินเข้ามาในร้าน ผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายคุณชายชนชั้นสูง ส่วนสตรีอีกนางก็แต่งกายราวกับคุณหนูสูงศักดิ์ บุรุษอีกผู้หนึ่งก็สวมชุดคล้ายคนรับใช้ที่ติดตามมาดูแลเจ้านาย ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยทันที"ขออภัยด้วย ยามนี้หม้อไฟไม่เหลือแล้วเจ้าค่ะ"จางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงที่ปลอมตัวออกมาหาความสำราญนอกวังหลวงจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง พบว่าสตรีนางนี้ค่อนข้างงดงามไม่น้อยเลย เขาได้ยินเสียงเล่าลือว่านางคือภรรยาที่ถูกสามีหย่า สามีของนางก็คือหยางเจ๋อหยวนนั่นเองภรรยางามถึงเพียงนี้ก็ยังทิ้งขว้างได้ลงคอ เหลือเกินจริงเชียว!!!ด้านจางหนิงหนิงก็จ้องมองไป๋เหมยเหม่ยด้วยแววตาที่เป็นประกายคราหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากร้านหม้อไฟคนงาม งามสมชื่อจริงๆไป๋เหมยเหม่ยที่ถูกจ้องมองก็สงสัยไม่น้อย นางจึงขมวดคิ้วมุ่นบุรุษที่ติดตามจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิงมาด้วยคือองครักษ์ของพวกเขา องครักษ์ผู้นั้นที่เห็นว่าไป๋เหมยเหม่ยจ้องเจ้านายตนจนเกินงาม จึง
ไป๋จินเซียงมองตามนักฆ่าผู้นั้นไป เขาเป็นคนใช้ธนูยิงมันเองกับมือ เดิมทีเขาและจางเหยียนเหว่ยคิดจะมาเที่ยวเล่นในตลาด คอยสังเกตความเป็นไปของราษฎร และตั้งใจจะไปหาไป๋เหมยเหม่ยที่ร้านหม้อไฟเสียหน่อย แต่กลับพบว่ามีผู้คนวิ่งแตกตื่นกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด เมื่อสอบถามความก็พบว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ร้านของไป๋เหมยเหม่ย เดิมทีเขาคิดว่าเป็นการทะเลาะเพื่อแย่งซื้ออาหารกันเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงกลับเหนือความคาดหมายยิ่งนัก กลับกลายเป็นว่ามีนักฆ่าคิดสังหารจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง จางเหยียนเหว่ยขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง“ครานี้พวกเจ้าคงหลาบจำแล้วกระมัง ออกมาโดยไม่มีทหารติดตาม มีเพียงองครักษ์ผู้เดียวติดตามมาเท่านั้น พวกเจ้าเห็นหรือยังว่ามีคนจ้องจะทำร้ายพวกเจ้า!!!”“ท่านพี่ ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ข้าขออภัยด้วย”จางจิ้งเฉวียนเอ่ยด้วยท่าทีที่รู้สึกผิดไม่น้อยไป๋เหมยเหม่ยยืนจับกระทะเอาไว้พลางจ้องมองจางเหยียนเหว่ยสลับกับมองจางจิ้งเฉวียนและจางหนิงหนิง นางไม่คิดเลยว่ายามที่จางเหยียนเหว่ยโมโหแล้วจะน่ากลัวถึงเพียงนี้ทุกคราที่ได้พบกันบนใบหน้าของเขาจะประดับด้วยรอยยิ้มและชอบ
จางเหยียนเหว่ยที่ถูกเรียกเช่นนั้นก็หันขวับมาจ้องมองฮ่องเต้จางเหลียนไห่ในทันที แววตาของเขาเย็นชาห่างเหินเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่มองเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลานชายก็รู้สึกทอดถอนใจยิ่งนักตั้งแต่ที่จางเหยียนเหว่ยรู้เรื่องนั้นก็ไม่มีท่าทีสนิทสนมกับเขาเช่นกาลก่อนอีก เขาเองก็หมดหนทางเช่นกัน เรื่องในอดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว เขาจ้องมองหลานชายของตน ก่อนจะเลื่อนสายตาลงไปที่มือซ้ายของจางเหยียนเหว่ย ก่อนจะเอ่ย“มือเจ้าไปโดนสิ่งใดมา หรือว่าเจ้าทำร้ายตนเองอีกแล้ว!!!”ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ตรงเข้ามาหาจางเหยียนเหว่ย แต่ทว่าจางเหยียนเหว่ยกลับถอยหลังหนีราวกับคนแปลกหน้า ฮ่องเต้จางเหลียนไห่ชะงักฝีเท้า พลางมองจางเหยียนเหว่ยด้วยแววตาที่โศกเศร้าวันที่เขารู้ข่าวว่าจางเหยียนเหว่ยตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพออกรบตั้งแต่อายุสิบห้าปีโดยไม่กล่าวลาหรือบอกเขาสักคำ เขาตกใจมาก เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยทำสงคราม กลับเลือกเข้าสู่สมรภูมิรบ ใจของเขาย่อมไม่อาจสงบสุขได้เลยสักวัน ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้เห็นหน้าจางเหยียนเหว่ยอีกตลอดกาล ปีแล้วปีเล่าเขาส่งคนออกไปติดตามความเป็นไปของจางเหยียนเหว่ยอย่างลับๆ เมื่อรู้ข่าวว่าหลานชายผู้น
ด้านไป๋กู้ชวนนั้นหลังจากที่อ่านตำราจนเริ่มเบื่อหน่ายแล้ว จึงเดินออกมาสูดอากาศเสียหน่อย ยิ่งเข้าใกล้ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศก็เริ่มดีขึ้น ไม่หนาวมากเท่าใดนัก เขาก้าวเดินออกมาจากห้องนอนของตนเอง ก่อนจะพบกับไป๋เหมยเหม่ยที่เดินผ่านมาพอดี เขาปรายตามองพี่สาวตนคราหนึ่ง ระยะหลังมานี้เขาคุ้นชินกับการวิ่งไปทั่วจวนของไป๋เหมยเหม่ยเสียแล้วไป๋เหมยเหม่ยหันมาจ้องมองน้องชายตนคราหนึ่งก่อนจะเอ่ย“กู้ชวน วันนี้เจ้าอยากกินสิ่งใด ข้าจะทำให้เจ้ากิน”ไป๋กู้ชวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น นับตั้งแต่พี่สาวตัวดีกลับมาอยู่ที่จวน นอกจากนางจะไม่อาละวาดด่าทอตบตีบ่าวไพร่แล้ว ยังทำอาหารอร่อยมากอีกด้วย เขาหรี่ตามองนางคราหนึ่ง รู้สึกว่าพี่สาวของเขาตั้งแต่หย่าขาดจากสามีก็มีท่าทางแปลกไปไม่น้อยแต่เขากลับรู้สึกดีกับนางกว่าแต่ก่อนมากนักเมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับไป๋เหมยเหม่ยทันที“ทำสิ่งใดก็ทำมาเถิด กินได้ก็พอ”ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มตาหยีก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงเดินตรงไปโรงครัวทันที เมื่อมาถึงโรงครัวเหล่าบ่าวไพร่ก็ช่วยนางเตรียมวัตถุดิบ นางคอยบอกเหล่าสาวใช้ให้ช่วยเตรียมสิ่งของต่าง ๆ อย่างใจเย็น ไม่ได้มีท่าทีเกรี
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด
หากนับย้อนไปเมื่อเกือบสิบปีก่อน ยามนั้นเขายังเป็นองค์รัชทายาทแคว้นเซียว แคว้นเซียวนั้นแต่เดิมรุ่งเรืองและรักสงบ อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรกับแคว้นไท่เหลียง ยามที่จางเหยียนเหว่ยมาทำสงครามรบกับแคว้นเยี่ยนนั้น เขาก็ได้พบกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญ นับแต่นั้นคนทั้งสองก็สนิทสนมกันเรื่อยมา ชายแดนแคว้นเซียวและแคว้นไท่เหลียงอยู่ใกล้กัน ทำให้เขามาพบเจอกับจางเหยียนเหว่ยได้ทุกเมื่อ อีกทั้งบางครายังช่วยส่งทหารมาร่วมรบต่อต้านกบฏด้วยกันแต่ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน สามปีก่อนชายแดนสงบ แต่ทว่าแคว้นเซียวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เซียวหลิ่น น้องชายต่างมารดาลอบปลงพระชนม์เสด็จพ่อ และสังหารเสด็จแม่ของเขา ใช้กำลังคนไล่ล่าทำร้ายเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพ่ายแพ้เพราะไม่ได้เตรียมการรับมือ ท้ายที่สุดเซียวหลิ่นก็ขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นเซียวพระองค์ใหม่ ความละโมบทำให้เซียวหลิ่นคิดก่อสงคราม สังหารผู้คนไปทั่ว แคว้นใดไม่ยอมศิโรราบก็บุกตีแคว้นนั้นจนราบคาบ ไฟสงครามคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ในขณะที่เขาเองทำได้เพียงมองดูภาพนั้นอย่างโศกเศร้าโดยที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้เขาหนีไปซ่อนตัวหลายต่อหลายแห่ง คนที่ภักดีล้วนตายเพราะปกป้องเขา ครั้นจะกลับไปหาจ
วันเวลาล่วงเลยมาร่วมเดือน จวบจนเข้าสู่ช่วงปลายฤดูหนาวอีกครา ไป๋เหมยเหม่ยมองดูหิมะที่ตกลงมาประปราย ก่อนจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ป่านนี้ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่ชายของนางจะเป็นเช่นไรบ้างด้านจางเหยียนเหว่ยนั้นนางกับเขาได้พบกันบ้าง แต่ระยะหลังมานี้เขามีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย จึงไม่ได้มาพบหน้านางหลายวัน นางเองก็ไม่ได้รบเร้าสิ่งใดจากเขาเพราะเข้าใจว่าเขามีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนนางเองก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการดูแลกิจการหม้อไฟทั้งสองสาขา ยามนี้ร้านของนางขยายกิจการแล้ว บางคราก็มีเย่เพ่ยมาคอยช่วยเหลือ นางกับเย่เพ่ยสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ทุกๆ วันเย่เพ่ยมักจะมาเที่ยวหานางทั้งที่จวนและที่ร้านหม้อไฟ "คุณหนูเจ้าคะ ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ อย่าออกไปตากหิมะเลย"เฉียวเหลียนเดินเข้ามาหานางก่อนจะส่งเตาอุ่นมือมาให้ พร้อมกับหาผ้าคลุมมาคลุมกายให้ความอบอุ่นแก่นาง ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มให้เฉียวเหลียนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ขอบใจเจ้ามาก""วันนี้คนเข้าร้านไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ""อืม ดูแลลูกค้าให้ดีเล่า""เจ้าค่ะ"เฉียวเหลียนพยักหน้าก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง ไป๋เหมยเหม่ยมองออกไปที่นอกร้าน พบว่ายามนี้หิมะเริ่มตกหนักเ
จวนตระกูลไป๋ยามนี้ไป๋เหมยเหม่ยกำลังนั่งอยู่ข้างจางเหยียนเหว่ย นางกำมือแน่นไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ไป๋จินเซียงเล่นถีบประตูห้องโผล่เข้าไปในขณะที่เขาและนางกำลังพลอดรักกัน นางจึงไม่อาจแก้ตัวได้แม่ทัพใหญ่ไป๋จ้องมองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง แม้ในใจจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยวาจาใด ทำได้เพียงหันไปกระซิบกับไป๋จินเซียงที่นั่งอยู่ข้างกัน"เจ้าแน่ใจนะว่าท่านอ๋องรังแกนาง ไม่ใช่นางไปฉุดท่านอ๋องหรอกนะ"เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มีหรือเขาจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาวตน ไป๋เหมยเหม่ยหากอยากได้สิ่งใดย่อมต้องทำทุกวิถีทางจนได้มาครอบครอง เขาเกรงว่าครั้งนี้นางจะใช้อุบายหลอกจางเหยียนเหว่ยเสียมากกว่าไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบจะพ่นชาร้อนออกมาจากปาก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย"ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ตอนที่ข้าเข้าไปก็เห็นอาเหยียนอยู่บน ส่วนเหมยเหม่ย เอ่อ นางนอนอยู่ข้างล่าง สองมือโอบรอบคอของอาเหยียนเอาไว้และส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยขอรับ"แม่ทัพใหญ่ไป๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามองเห็นชัดหรือไม่ โอบลำคอแน่หรือ ไม่ใช่รัดคอหรอกนะ!!!"ไป๋จินเซียงที่ถูกบิดาตนเอ่ยถามเช่นนั้นก็เร