เย่เพ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แข้งขาอ่อนไปโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
"หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ เอ่อ หม่อมฉันไม่อยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยของพระองค์เพคะ!!"
“เช่นนั้นก็เป็นคนที่หนึ่งร้อยหนึ่งดีหรือไม่?”
“ไม่เพคะ!!!”
เย่เพ่ยส่ายหน้าไปมาอย่างถี่ระรัว นางเคยได้ยินเรื่องเล่าของจวิ้นอ๋องผู้อยู่ในสนามรบมาไม่น้อย ผู้คนเล่าลือว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา และรบเก่งจนศัตรูยอมพ่ายแพ้ แต่ทว่ากลับมีจิตใจอำมหิต เคยมีเรื่องเล่าว่ายามอยู่ชายแดนมีอนุนางหนึ่งทำไม่ถูกใจเขา เขาจึงบีบคอนางตายในคืนที่นางเข้ามาปรนนิบัติ เหล่าทหารลากศพนางไปฝังที่นอกด่านอย่างน่าเวทนา
นางไม่อยากถูกเขาบีบคอตาย!!!
เมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของเย่เพ่ย จางเหยียนเหว่ยก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเขามีจิตใจอำมหิต ฆ่าอนุ ข่มเหงสตรี ก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่มันกล้าใส่ร้ายเขา เมื่อเห็นเย่เพ่ยหวาดกลัวเขาเช่นนี้ เขาก็พอจะเดาทิศทางได้ จึงเอ่ยกับนางอย่างเบื่อหน่าย
“เช่นนั้นเจ้าก็ไสหัวไปเถิด อย่าเอ่ยเรื่องราวเมื่อครู่ไปทั่วอีกเล่า มิเช่นนั้นข้าคงต้องรับเจ้าเข้าจวนเป็นอนุแล้ว เพื่อปิดปากไม่ให้เจ้าพูดได้อีก”
เย่เพ่ยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะลนลานรีบจากไปทันที ไป๋เหมยเหม่ยหันมามองจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เขามีอนุเป็นร้อยเลยหรือ? ให้ตายเถิด เอวเขายังแข็งแรงดีหรือไม่?
ไม่ใช่สิ!!!
จางเหยียนเหว่ยรับรู้ได้ว่าตนถูกมองจึงหันมา และพบว่าไป๋เหมยเหม่ยกำลังจ้องมองเขาอยู่ เขายิ้มให้นาง ก่อนจะเอ่ย
“ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าอยากเป็นอนุคนที่หนึ่งร้อยสิบของข้า”
หนึ่งร้อยสิบ!!! อันใดกัน เมื่อครู่นี้ยังคนที่หนึ่งร้อยอยู่เลย เพิ่มไวจริงเชียว
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มแห้ง ก่อนจะเอ่ย
“ไม่ดีกว่าเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา หม่อมฉันเพียงอยากขอบพระทัยที่ทรงส่งหมูสามชั้นไปให้เพคะ”
“อ้อ”
จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“เห็นเจ้าชอบ ข้าก็ดีใจ”
ไป๋เหมยเหม่ยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เฮ้อ!!! เขาช่างหล่อเหลาจริงๆ
ไป๋จินเซียงถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดหยอกเย้าของจางเหยียนเหว่ย เพราะรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรจางเหยียนเหว่ยก็มีนิสัยเช่นนี้มานาน เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับสหายตนทันที
“ขอบใจมากนะอาเหยียน”
“อืม”
“เช่นนั้นข้ากลับก่อนเล่า”
“เชิญ ไว้พบกันใหม่”
“อืม”
ไป๋จินเซียงที่เห็นว่าไม่มีสิ่งใดต้องทำแล้วจึงพาน้องๆ กลับจวน จางเหยียนเหว่ยมองตามไป๋เหมยเหม่ย ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
ระหว่างที่นั่งในรถม้า ไป๋เหมยเหม่ยเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เย่เพ่ยเอ่ยกับนาง นางถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหันไปเอ่ยกับไป๋จินเซียง
"พี่ใหญ่"
"หืม"
"เหตุใดจึงมีข่าวเล่าลือเช่นนั้นมาได้เล่า ข้ากับท่านอ๋องไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้นเลย"
ไป๋จินเซียงจ้องมองไป๋เหมยเหม่ยคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"คงเป็นเพราะวันที่เจ้าเป็นลมหมดสติ อาเหยียนอุ้มเจ้าไปส่งที่โรงหมอ ผู้คนที่ได้พบเห็นจึงพูดกันไปเรื่อย"
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย
"เขาอุ้มข้าหรือ"
"ใช่"
"ให้ตายเถิด"
ไป๋กู้ชวนที่นั่งเงียบมานาน จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"วันๆ เอาแต่กินๆ จะไปรู้อันใด ของกินยัดปากอยู่หรือจึงไม่มีความสามารถเถียงเย่เพ่ย ทุกคราข้าเห็นเจ้าตบนางจนกองผักกระจัดกระจาย วันนี้เป็นอันใด อิ่มเกินไปหรือจึงไม่มีเรี่ยวแรงท้าตบนาง"
ไป๋เหมยเหม่ยไม่เอ่ยสิ่งใด นางไม่ถนัดเรื่องตบกับสตรีด้วยกันเท่าใดนัก
แต่หากให้นางต่อยเย่เพ่ย นางรับรองว่าเย่เพ่ยต้องจำไปจนวันตายเป็นแน่
ได้!!! ครั้งหน้าเจอกันนางจะลองต่อยเย่เพ่ยดูสักครั้ง!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะหันมาถามไป๋จินเซียง
“พี่ใหญ่ ท่านอ๋องสหายของท่าน เขามีอนุเป็นร้อยจริงหรือ”
ไป๋จินเซียงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขำพรืดออกมา ก่อนจะเอ่ย
“มีที่ใดกัน เขาเพิ่งกลับมาจากสนามรบ ในจวนไร้พระชายาไร้อนุ ยามอยู่ชายแดนแม้จะเที่ยวหอนางโลมมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้พาสตรีใดมาอยู่ข้างกาย ยามอยู่ชายแดนพี่กับอาเหยียนตัวติดกันตลอดเวลา เขาก็พูดจาข่มขู่เย่เพ่ยไปเช่นนั้น คนอย่างอาเหยียนหากบอกว่ามีสุราเป็นภรรยาพี่ยังจะเชื่อมากกว่า นานมากแล้วที่อาเหยียนไม่ยอมกลับเมืองหลวง ทั้งที่ไม่มีสงครามแล้ว แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงกลับมา คงเพราะใกล้ครบรอบวันตายของบิดามารดาเขากระมัง จึงได้ยอมกลับมา”
ไป๋เหมยเหม่ยพยักหน้าคราหนึ่ง นางอยากถามต่ออีกหน่อย แต่ก็เกรงว่าไป๋จินเซียงจะสงสัยในท่าทีของนาง ไป๋กู้ชวนที่เห็นเช่นนั้นจึงถลึงตามองพี่สาวตนทันที
“เจ้าอย่าได้คิดเชียวนะ ข้ามีพี่สาวร้ายกาจก็เกินทนแล้ว อย่าให้ข้ามีพี่เขยที่รอบกายมีแต่ไอสังหารด้วยอีกคนเลย ข้ากลัวยิ่งนัก”
“ปากมากจริงเชียว ข้าเพียงถามเท่านั้น!!!”
“ชิ!!! คนเช่นเจ้าน่ะ เพียงมองตาข้าก็รู้ความคิดเจ้าแล้ว คงอยากจะกินท่านอ๋องเข้าไปทั้งตัวเลยละสิ”
รู้ดีจริงน้องชายบัดซบ!!! อีกเรื่องที่เจ้าไม่รู้ก็คือ หากข้าแบกเขากลับจวนได้ ข้าแบกไปนานแล้ว โธ่!!!
งานแต่งงานผ่านพ้นไปได้ร่วมเดือนแล้ว ยามนี้จางเหยียนเหว่ยเข้ามาอยู่ที่จวนของไป๋เหมยเหม่ยอย่างเต็มตัวในฐานะบุตรเขยแล้ว เขาไม่ได้กลับไปพักที่โรงน้ำชาอีกเมื่อแต่งงานกันกิจการต่างๆ ของเขาก็ยกให้ไป๋เหมยเหม่ยทั้งหมด ไม่เหลือสิ่งใดที่เป็นของตนเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งเขาออกเดินทางไปที่นอกเมืองหลวง พบสตรีน้อยนางหนึ่งมาบอกรักเขา บอกว่ายินดีจะเคียงคู่เป็นภรรยาของเขาไปชั่วชีวิต เขากลับตอบเพียงว่า“ขออภัยด้วย เงินข้าอยู่กับภรรยาหมดแล้ว ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าหรอก ลำพังตัวข้าเองยังต้องขอเงินนางเลย เจ้าไปหาสามีคนอื่นเถิด ข้าจนมากทุกวันนี้ยังอาศัยบ้านภรรยาอยู่เลย”สตรีน้อยนางนั้นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางมองเขาด้วยสายตาที่อาลัยอาวรณ์ไม่เสื่อมคลายจางเหยียนเหว่ยคร้านจะสนใจสิ่งใดอีก วันนี้เขาไปพบท่านแม่มาและนำยาบำรุงไปให้นาง หน้าตาท่านแม่ดูสดใสขึ้นมาก อีกทั้งยังบอกให้เขารีบมีหลานเร็วๆ จางเหยียนเหว่ยเพียงยิ้ม ก่อนจะรีบกลับจวนมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที ระหว่างนั้นเขาพบกับไป๋กู้ชวนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว ได้ยินว่าระยะหลังมานี้เขามักสนใจการทำอาหารเป็นอย่างมากในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากทักไป๋กู้ชวนอยู
จางเหยียนเหว่ยเดินมาพร้อมกับไป๋เหมยเหม่ย ในขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้าก็พลันเห็นฮ่องเต้จางเหลียนไห่ที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า ชายชราชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาที่วูบไหวจางเหยียนเหว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด อีกทั้งยังไม่คิดจะบอกเรื่องราวของท่านแม่ให้คนผู้นี้ได้รับรู้ คนเช่นเขานี่คือการลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว ให้เขาคิดว่าท่านแม่ตายไปแล้ว จมอยู่กับความทุกข์ใจของตนไปเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยฮ่องเต้จางเหลียนไห่เพิ่งกลับมาจากที่ฝังศพของหลัวหลินฮวา คิดจะแวะมาไหว้พระที่วัดไป๋หวา แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุตรชายของตนเข้า ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นเช่นนั้นก็ทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม"อาเหยียน"ฮ่องเต้จางเหลียนไห่เอ่ยเรียกบุตรชายตนอย่างอ่อนโยน จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"ไม่คิดว่าคนเช่นท่านจะเข้าวัดด้วย คิดจะมาสนทนาธรรมหรือสารภาพบาปกันเล่า"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระตุกแขนเสื้อจางเหยียนเหว่ยคราหนึ่งพลางส่งสายตาห้ามปรามเขา ฮ่องเต้จางเหลียนไห่คร้านจะใส่ใจคำพูดประชดประชันของลูกชายตน จึงเอ่ยตอบ"เจ้าจะแต่งงานแล้วนี่ ไม่คิดบอกข้าสักคำหรือ""ไม่จำเป็น ข้าจัดงานเองไ
เรือนหลังหนึ่งท้ายวัดไป๋หวายามนี้แม่นมหลัวกำลังพาจางเหยียนเหว่ยและไป๋เหมยเหม่ยมาที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังวัดไป๋หวา เรือนหลังนี้ค่อนข้างเล็ก เขามองไปโดยรอบก่อนจะครุ่นคิดเหตุใดเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่ามีเรือนเช่นนี้อยู่ในวัดไป๋หวาด้วย"พระชายาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ นางอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มือสั่นเทาไม่น้อย เขาแทบจะไร้เรี่ยวแรง ยื่นมือไปเปิดประตูบานนั้นออก ความกลัวเริ่มปกคลุมในจิตใจ เขาเกรงว่าหากเขาเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับท่านแม่ นางจะรังเกียจเขาหรือไม่ นางจะด่าทอทุบตีเขาหรือไม่ระหว่างทางที่มาแม่นมหลัวเล่าว่าในวันที่ท่านแม่ป่วยตายนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านแม่ให้แม่นมหลัวไปหายาชนิดหนึ่งมา ยานั้นหากกินเข้าไปแล้วจะหลับสนิท ไร้ลมหายใจราวกับตาย ต้องรีบใช้ยาแก้ภายในสองชั่วยาม มิเช่นนั้นจะตายจริงๆเขาเพิ่งเข้าใจในวันนี้ว่าเพราะเหตุใดแม่นมหลัวจึงเร่งให้นำศพของท่านแม่ไปฝัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดตามความเป็นไปของท่านแม่อีก ไม่ได้รับรู้ว่าคนของท่านแม่แยกย้ายไปอยู่ที่ใดกันบ้างหลังจากนำศพไปฝัง แม่นมหลัวก็นำคนที่ไว้ใจได้มาขุดหลุมศพและช่วยท่า
จางเหยียนเหว่ยที่กลับมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาไป๋เหมยเหม่ยทันที เมื่อได้พบนางอีกคราเขาก็ปวดใจไม่น้อย คล้ายว่านางจะผอมลงไปมาก"เหมยเหม่ย""เหยียนเหยียน"เขารีบสั่งให้คนเปิดประตูคุกหลวงออก ก่อนจะรีบโผเข้าไปกอดนางทันที ไป๋เหมยเหม่ยที่เห็นว่าจางเหยียนเหว่ยกลับมาแล้วก็ดีใจจนร้องไห้โฮออกมาราวกับเด็กน้อย "ท่านกลับมาแล้ว ฮึก ข้ากลัวมากเลย มีแต่คนมารังแกข้า ฮือ"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดเหลือเกิน เขาไม่ได้บอกแผนการนี้กับนาง ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เพราะว่าอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง หากนางยังอยู่สุขสบาย คนตระกูลฟ่านย่อมไม่มีทางตายใจจนโผล่หางตนออกมา อีกทั้งยังอาจส่งคนมาลอบสังหารและทำร้ายนางกับครอบครัวอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะนาง ก่อนจะเอ่ย"ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกเจ้านะ"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงผละออกจากเขาทันที จางเหยียนเหว่ยยิ้มให้นางก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟัง ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งดีใจในคราเดียวกัน"ท่านไม่บอกข้า!!! ข้าจะตีท่าน""ตีเลย ตีเลย ขอเพียงเจ้าหายโกรธข้าก็พอ"ไป๋เหมยเหม่ยยิ้ม
วันคืนผ่านไปเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า ไป๋เหมยเหม่ยไม่อาจรับรู้ข่าวคราวจากภายนอกได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว จวบจนคืนหนึ่งที่ฟ่านเหลียนมาพบกับนาง เขาสั่งให้คนเปิดประตูห้องขังออก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหานาง ฟ่านเหลียนจ้องมองนางด้วยแววตาที่เย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ย"เป็นเช่นไรบ้างเล่าน้องเหมยเหม่ย รู้สำนึกแล้วหรือยัง หากว่าเจ้าเลือกข้าตั้งแต่วันนั้น เจ้าก็ไม่ต้องพบจุดจบเช่นวันนี้ เมื่อใดที่หลักฐานว่าบิดาและพี่ชายเจ้ายอมมอบข้อมูลทางการทหารให้แคว้นเซียวชัดเจน เจ้าจะถูกประหารทั้งตระกูล เฮ้อ!!! น่าเสียดายความงามของเจ้ายิ่งนัก"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมาคราหนึ่ง ทำราวกับไม่สนใจคำพูดของฟ่านเหลียน ฟ่านเหลียนที่เห็นว่านางยังคงเฉยชาก็เริ่มมีโทสะ เขายื่นมือไปบีบคอของนาง ก่อนจะเอ่ย"อย่าอวดเก่งให้มากนัก!! ข้าจะให้หนทางรอดแก่เจ้า หากเจ้ายอมเป็นของเล่นของข้าและจางหลิงหยาง ข้ารับรองว่าจะหาทางช่วยเจ้า เป็นเช่นไร ข้อเสนอดีหรือไม่ รีบตัดสินใจเสียสิ เจ้าจะได้บุรุษมาครอบครองทีเดียวสองคนเลยนะ ไม่ดีหรือ อ้อ หรือว่าเจ้าจะรอว่าที่สามีใหม่ที่เป็นถึงท่านอ๋องมาช่วย โอ้ว เขาจะมาทันหรือ ยามนี้จะตายอยู่ในสนามรบ
ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด ด้านจางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบหันมามองไป๋เหมยเหม่ยในทันที"เรารีบไปดูกันเถิด"ไป๋เหมยเหม่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกลับไปที่จวนตระกูลไป๋พร้อมจางเหยียนเหว่ยในทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ายามนี้จวนตระกูลไป๋ถูกปิดล้อมเอาไว้หมดแล้ว เหล่าทหารจากวังหลวงยามนี้กำลังบุกเข้าไปในจวน ก่อนจะจับตัวคนในจวนออกมาทั้งหมด"ท่านแม่ กู้ชวน!!!"ไป๋เหมยเหม่ยร้องเรียกไป๋ฮูหยินและไป๋กู้ชวนที่ยามนี้ถูกจับตัวเอาไว้ ส่วนเหล่าบ่าวไพร่ในจวนล้วนถูกกักบริเวณไม่สามารถออกไปที่ใดได้ จางเหยียนเหว่ยจ้องมองทหารเหล่านั้นด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ผู้ใดสั่งให้เจ้าบุกมาจับคนเช่นนี้ คำสั่งฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ""ท่านอ๋องโปรดวางใจ หากการตรวจสอบพบว่าคนตระกูลไป๋บริสุทธิ์ ย่อมถูกปล่อยตัวในเร็ววัน"จางเหยียนเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงปรายตามองไปที่ด้านหน้าตนคราหนึ่ง พบว่าเป็นเสนาบดีฟ่านฉีนั่นเอง เขาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเอ่ยถาม"เสด็จลุงส่งท่านมาหรือ"เสนาบดีฟ่านฉียิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เป็นรับสั่งของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าท่านอ๋องคิดจะขัด