LOGINในที่สุดยามนี้ก็มาถึง…
ภายในวังหลวงตอนนี้ล้วนประดับประดาตกแต่งไปด้วยโคมไฟสีทองและผ้าสีแดงที่สื่อถึงความมงคล ฮ่องเต้หนุ่มนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างสง่าผ่าซ้ำมุมปากยังยกยิ้มเยาะ สงครามที่ยืดเยื้อมาเนิ่นนานหลายปีได้จบลงเสียทีพร้อมชัยชนะที่ได้นำกลับมา เกรงว่าต่อจากนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าครหาหรือดูหมิ่นต่อต้านขัดขืนในอำนาจที่เขาได้รับมาโดยไม่ยุติธรรมอีก แววตาคมกริบเปี่ยมด้วยอำนาจน่าหวั่นเกรงกวาดสายตาทั่วท้องพระโรงมองเห็นเหล่าทหารองครักษ์ยืนเรียงรายเป็นแถวสงบนิ่ง เหล่าพวกขุนนางบนล่างนั่งสงบเสงี่ยม ฉีฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น ริมสุราแรงลงจอกก่อนจะยกดื่ม “ยังจะมีผู้ใดบังอาจกล้าข่มขู่ขัดข้าอีกหรือไม่” ฉีฮ่องเต้พึมพำกับขันทีและเหล่าองครักษ์ข้างกาย การผลัดเปลี่ยนที่นั่งบัลลังก์อย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้หนุ่มต้องเผชิญหน้ากับคำดูถูกและสายตาที่ดูแคลนเหยียดหยามมากมายเพียงเพราะหาใช่รัชทายาทโดยชอบธรรมแต่ตลอดเวลาที่นั่ง บัลลัลก์มา ฉีฮ่องเต้กลับไม่เคยหวั่นเกรงกลัวผู้ใดแม้แต่สักคน และชัยชนะที่ได้จากสงครามครานี้กับยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งทั้งยังเสริมอำนาจในมือที่ไม่มีผู้ใดการต่อกรได้อีก ค่ำคืนนี้ภายในวังหลวงเปี่ยมไปด้วยเสียงดนตรีและความสนุกสนาน เหล่านักดนตรีประจำราชสำนักบรรเลงเพลงโดยมีเหล่าสาวงามสวมใส่อาภรณ์ผืนบางยามออกร่ายรำดูยั่วยวน สายตาของฉีฮ่องเต้จดจ้องพวกนางด้วยความอารมณ์ดี “มาแล้วหรือ” ขณะเดียวกันฉีฮ่องเต้พลันเห็นบุรุษที่คุ้นตาเดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม มองดูช่างคล้ายกับเทพสงคราม เหล่าขุนนางที่อวดเบ่งทั้งหลายได้แต่หลบสายตาไม่กล้า จดจ้องแม่ทัพหนุ่มตรงหน้า เกรงว่าคำครหาและสบประมาทเมื่อหลายเดือนก่อนจะถูกล้างแค้นยังไม่สาย สายตาคมกริบของแม่ทัพหนุ่มเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย มุมปากเยาะยิ้มด้วยความสมเพช จู่ ๆ ฉีฮ่องเต้พูดขึ้น“สุราไหนี้รสชาติดีนัก!” “มิสู้สุราในสนามรบของข้า” หลีหลงเว่ยกล่าวถ้อยคำอย่างตรงไปตรงมาโดยไร้ความหวั่นเกรงฮ่องเต้ผู้นี้ ฉีฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น เสมือนเป็นเรื่องตลก “หากได้ร่ำสุรากับสหายคงดีไม่น้อย” หลีหลงเว่ยตอบเสียงแข็ง “ซู่กั๋วกงฉีเชียวสหายของข้าผู้นั้นตายไปแล้ว” “ถ้อยคำของเจ้าร้ายกาจยิ่งนักหลงเว่ย” แท้จริงแล้วคนผู้นี้คือหลีหลงเว่ยสหายของฉีฮ่องเต้ยามที่ยังคงมีตำแหน่งเป็นเพียงซู่กั๋วกงฉีเชียว ฉีฮ่องเต้เลย “เจ้าจะทิ้งข้าไปอีกคนงั้นหรือ” “หากเป็นเช่นนั้นปานนี้ข้าคงได้ใช้ชีวิตเป็นบุรุษจอมเสเพลนั่งดื่มสุราที่จวนไปวัน ๆ ไหนเลยจะลุกขึ้นมาหยิบดาบ” กลับมาครานี้สหายวัยเยาว์ของหลีหลงเว่ยแปรเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งฐานะและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทว่าข้าหลังบุรุษผู้นั้นน่อมมีเขาหนึ่งก้าว “เช่นนั้นข้าคงตกมอบรางวัลให้ท่านแม่ทัพอย่างงาม” “ของสำคัญของเจ้า” หลีหลงเว่ยไม่สนใจโยนม้วนกระดาษหนึ่งลงบนพื้นตรงหน้าของฉีฮ่องเต้ “รู้หรือไม่กว่าจะได้กระดาษแผ่นนี้มานั้นข้าต้องสังหารผู้คนไปมากเท่าไหร่ ฉีฮ่องเต้ยักไหล่มีท่าทางไม่สนใจ ขอเพียงให้ได้ในสิ่งที่ต้องการก็พอแล้ว “เจ้าทำได้ดี” หลีหลงเว่ยไม่ต้องการคำเย่อยอเสแสร้ง การศึกในครานี้เขาเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น ทันใดนั้นเพียงชั่วอึกใจฉีฮ่องเต้ก็มองเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของสหานที่เดินจากไปแล้ว “ไม่ดื่มสุราสักไหก่อนหรือไรหลงเว่ย!” “จวนหลีไม่ขาดแคลนสุรา” “หรือเพราะที่นี้ไม่มีเมียกบฏผู้นั้น!” “นางหาใช่เมียกบฏอย่างที่เจ้ากล่าว!” หลีหลงเว่ยกัด ฟันกรอด ณ โรงหมอ เฟิ่งหมิงมีความรู้สึกว่าสถานการณ์นี้จะไม่จบลงง่าย ๆ คาดว่าในภายภาคหน้าหากหลีหลงเว่ยยังไม่รู้จักถนอมสตรี เขาคงได้พบหน้านางบ่อยครั้งแน่ พอนึกถึงเรื่องนี้เฟิ่งหมิงจึงทอดถอนหายใจหนักอึ้ง หลังกลับจากสนามรบชายหนุ่มมีความรู้สึกว่าสมควรพักผ่อนร่ำสุราและคลุกเคล้าสตรีให้สมกับที่ห่างหายไปนาน แต่ไฉนเลยเขากับต้องมาตัวติดอยู่ในโรงหมอนานหลายวันกัน! บุรุษหนุ่มถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่พอใจ จนคนที่อยู่ด้วยพลันหดหู่ “เอาเถอะเฟิ่งหมิง! ถึงวังหลวงจะมีสุราและสตรีงามมากมายโรงหมอของเจ้าก็มีเช่นกัน” เดิมที่วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองชัยชนะแต่ตัวเอายังคงอยู่ที่นี้เฝ้าสตรีผู้นี้แทน! จินหัวย่อมไม่พอใจแต่กลับไร้หนทาง “ข้าขโมยมาจากจวนหลี” น้ำเสียงกล่าวภาคภูมิใจ “มีเพียงสุรา” น้ำเสียงเย้ยหยัน เฟิ่งหมิงเลิกคิ้วถาม สายตามองด้วยความดูแคลน “สตรีงามของข้าอยู่ที่ใด” จินหัวอำอึ้งไม่ไปเป็น “เปลี่ยนจากกลิ่นสตรีเป็นกลิ่นยาได้หรือไม่เล่า!” บุรุษผู้นี้ช่างเอาใจยากนิสัยคล้ายคลึงมิปานสตรีผู้หนึ่ง เฟิ่งหมิงพลางส่ายหน้า หันไปจัดกาลงกำลังวุ่นวายทำความสะอาดบาดแผลให้สตรีที่นอนเตียง “…..” จินหัวได้แต่มองสหายนิ่ง ๆ “นางจะฟื้นเมื่อไหร่กัน” ว่ากันตามตรงวันนั้นผู้เป็นนานสมควรจะเดินหนีปล่อยให้นางตานไปเสียไฉนถึงต้องโอบอุ้มนางมารักษาช่วยเหลืออักครั้ง หากอยากพิสูจน์ว่านางหาใช่นกส่วนหัวแล้วจะแก้ไขแต้งกับผู้ใดกัน จู่ ๆ องครักษ์จึงเท้าสะเอว เพ่งมองนางครุ่นคิด “เจ้าว่าเพราะเหตุอันใดกันนายท่านถึงข่วยนาง” เฟิ่งหมิงหยักไหล่ “แค่ช่วยหน้ากลับมาจากหน้าประตูผีได้ก็เกินความสามารถของข้าแล้ว” เหตุการณ์วันนั้นเขายังจำได้ดี หลีหลงเว่ยแม่ทัพเอาแต่ใจผู้นั้นโอบอุ้มสตรีผู้นี้เดินพุ่งตรงเข้ามาในโรงหมอของเขาซ้ำยังไม่พูดพร่ำเพรื่อเพียงออกคำสั่งให้เขาช่วยชีวิตนางให้ได้ ทว่าช่างเป็นคนที่เอาแต่ใจยิ่งนัก! คนผู้นั้นยังออกคำสั่งให้เขารักษานางจนฟื้นหายดี! เฟิ่งหมิงหัวเราะเสียงเย็นเย้ยหยันตัวเอง “เจ้าจำวันนี้ ไม่ได้หรือ…” น้ำเสียงนิ่ง ๆ เอ่ยขึ้นก่อนจะหันขวับไปมองสหายที่กำลังรินสุรา “นางตายไปแล้ว..” พอได้สัมผัสนางก็พบว่าเนื้อตัวเย็นเฉียบแล้ว ใบหน้าซีดเซียวขาดเลือด ลมหายใจหยุดลง แต่ไหนเลยจะริอาจสู้ความเอาแต่ใจของหลีหลงเว่ยได้ จินหัวกลืนสุราลงคออย่างยากลำบาก พลางขนลุกซู่ “ลืมไปแล้วหรือไรนายท่านหลีของเจ้าเป็นมัจจุราช หากไม่อนุญาตให้นางตายผู้ใดก็อย่าได้ริอาจขวางทาง” องครักษ์หนุ่มค่อย ๆ พยักหน้า กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เกรงว่าปรโลกเองก็ไม่กล้าต่อกรกับคนผู้นั้น “…..” จินหัว เฟิ่งหมิงละสายตาจากสหายก่อนจะหันมาวุ่ยวายสำรวจร่างกายของนางเล็กน้อยครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้ผอมผายน่าเวทนาจนเห็นกระดูก โชคดีนักที่ยาของเขาได้ผลบาดแผลที่ฟกซ้ำจึงค่อย ๆ ดีขึ้น “ข้ารักษามายากลำบากเพียงนี้..นางต้องฟื้นแน่” จินหัวพยักหน้าเห็นด้วย ซ้ำยังเย่อยอประจบประแจ้ง “เจ้าเป็นหมอที่เก่งในเมืองหลวงแล้วกระมัง หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้นางคงสิ้นใจถูกฝังกลบดินไปแล้ว” ทว่าเฟิ่งหมิงกลับมองว่าเสแสร้งเหลือเกิน จากนั้นจู่ ๆ จึงเอ่ยขึ้น“ข้าจะลาออกจากราชการ” “แล้วเจ้าทำมาหากินอะไร!” จินหัวตกใจแทบเสียสติ เฟิ่งหมิงตอบ “บิดาข้ารวยนัก เกรงว่าหากข้าเกาะเขากินไปวัน ๆ คงไม่แย่” “……” ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “หากได้ร่ำสุราเมามายเป็นคุณชายจอมเสเพลข้าคงพอใจมากกว่าเป็นหมอที่เก่งกาจ” เพียงแค่จินตนาการถึงวันที่ผ่อนคลายเหล่านัก ชายหนุ่มอยากให้ถึงเร็ววัน เฟิ่งหมิงเก็บอุปกรณ์รักษาจากนั้นจึงเดินมายังโต๊ะน้ำชาคว้าจอกสุราในมือสุรายกดื่ม “เช่นนั้นคงดีไม่น้อย” “ไม่มีทาง! ข้าไม่ยอม” จินหัวแย้งเอาแต่ใจ “แล้วเจ้าเป็นเมียข้าหรือไร” เฟิ่งหมิงเบื่อหน่ายกลิ่นยากลิ่นสมุนไพรจนแทบจะอ้วก หากได้กลิ่นสุราสูดดมกลิ่นหอมของสตรีงามคงผ่อนคลายไม่น้อย สายตาคมมองสตรีบนเตียง “นางคือคนสุดท้ายที่ข้า จะรักษา” “หากทหารเล่านั้นบาดเจ็บจะให้ข้าทำอย่างไร” “กองทหารย่อมไม่ขาดเคลนหมอ!” “แล้วจะมีผู้ใดเก่งกาจเทียบเจ้าได้!”จวนหลีเคยเงียบสงบในยามนี้กับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของคุณหนูหลี หลีหลงเว่ยกลายเป็นบิดาที่อบอุ่นต่างจากคนในอดีตที่แข็งกร้าว ตั้งแต่ยามรุ่งสางจนอาทิตย์ตกดิน หลีหลงเว่ยโอบอุ้มบุตรสาวตัวน้อยเดินเล่นรอบจวนเหล่าบ่าวไพร่ทั้งหลายที่พบเอ็นต่างอมยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านายท่านหลีหวงแหนคุณหนูหลี จนกระทั่งเมื่อถึงยามหลับนอหลีหลงเว่ยนจึงเป็นผู้เกลี่ยกล่อมเด็กน้อยนอนหลับในซบอก โดยไม่ต้องการร้องขอความข่วยเหลือจากแม่นมหรือแม้กระทั่งภรรยาตน แค่เพียงนางคลอดบุตรสาวน่ารักผู้หนึ่งออกมาให้เขาด้วยความยากลำบากก็เกินพอแล้ว “อวี้เหม่ยนางหลับไปแล้วหรือ” น้ำเสียงของผู้เป็นภรรยาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นผู้เป็นสามีปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอก “วางนางลงบนเตียงแล้วปล่อยให้แม่นมดูแลเถอะ” ลู่อันเองก็จนปัญญาจะพูด บุรุษผู้นี้ลุ่มหลงและห่วงใจบุตรสาวจนเกิดเหตุไปแล้ว จนกระทั่งคลอดออกมาเกือบถึงแปดเดือนแล้วยังไม่ยอมให้ผู้ใดโอบอุ้มหรือกล่อมนอนทั้งสิ้น หลีหลงเว่ยพูด “นางคือบุตรสาวของข้า” “นางก็เป็นลูกข้าเช่นกัน” ลู่อันเท้าสะเอว จ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง แม่นมที่
หลายเดือนต่อมา…ภายในวังหลวงล้วนตลบอบไปด้วยบรรยากาศที่สื่อความมงคล ทั่วทั้งวังหลวงถูกตกแต่งประดับประดาตกไปด้วยผ้าแพร สีแดงสดและโคมไฟที่แขวนเรียงรายอย่างประณีตงดงาม ความสว่างจากโคมไฟหลายร้อยดวงที่แขวนอยู่ทั่วบริเวณยิ่งแสดงถความยิ่งใหญ่ของงานแต่งงานฉีฮ่องเต้ยืนอยู่แท่งพิธีการหน้าบัลลังก์อย่างสง่างาม อาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนเป็นสีแดงปักดิ้นทองลวดลายมังกรด้วยความวิจิตรประณีตสลับซับซ้อน ขับให้ใบหน้าดูสง่างามน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้นในยามที่สะท้อนแสงจากโคมไฟหลายร้อยดวงส่วนหงส์ที่เคียงข้างมังกรย่อมหญิงงามไม่แพ้กันสตรีต่างแคว้นที่ถูกนำมาเป็นเครื่องบรรณาการยุติความสงครามทางการเมืองย่อมถูกคำสบประมาท ดูหมิ่นและถูกครหา ไม่น้อยเลยทีเดียวทว่าทันทีที่นางปรากฏในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักลายดอกไม้และหงส์สีทองที่เปี่ยมไปด้วยความละเอียดอ่อนอย่างงดงาม ผ้าคลุมหน้าโปร่งบางที่ปิดบังใบหน้าของนางไว้เพียงบางส่วนยิ่งทำให้นางดูงดงามและลึกลับในคราเดียวกันช่างเหมาะสม!เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยกจริง ๆเพียงชั่งพริบตาก็เกิดเสียงกึกก้องดังสนั่นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสนิทว่าสตรีต่างแคว้ยผู้นี้งดงามยิ่งนัก เป็นที่น่าเชิญชู ของแค
หลีหลงเว่ยคิดว่าถ้อยคำเมื่อครู่เป็นการยั่วยวนแต่ไฉนเลยพอกลับเข้ามาในห้องแล้ว นางถึงเอาแต่นั่งบนเตียงสายตากำลังจ้องมองเขาอย่างไม่วาง“ถอดอาภารณ์ของเจ้าออก” เขาออกคำสั่งในขณะที่ลู่อันยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้นพอเห็นว่านางยังคงนิ่งเฉย หลีหลงเว่ยจึงกระจ่างแจ้งในใจทันทีคิดว่านางยังคงเป็นห่วง สายตาคมกริบก้มมองบาดแผลก็จะเงยหน้าคิด“ข้าแผลนี้ช่างประไรหาได้สำคัญกับข้า”นางหรี่ตามอง “เฟิ่งหมิงบอกว่าท่านจงใจให้ตนเองถูกแทงงั้นหรือ” ความรู้สึกเป็นห่วงวันนั้นนางรู้สึกเสียดายจริง ๆ “ทึ่มทื่อ!” ก่อที่จะโยคหลังจากด่าทออีกฝ่ายความง่วงงุ่นยังคงไม่สาง ลู่อันยกมือปิดปากห้าวก่อนจะล้มตัวนอนราบบนเตียงมันทีหลีหลงเว่ยพลันทำตัวไม่ถูกราวกับว่าเขากำลังถูกภรรยาจับได้หลีหลงเว่ยยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้าจะรู้ได้อย่างได้ว่าผู้ใดหวังหรือต่อข้าหรือต้องการสังหารข้าทิ้ง” เขาพูดพลางถอนอาภรณ์ออกจนเผยท่อนบนเปลือยเปล่านเห็นได้ว่านางเชิญชวนเขาแท้ ๆ แต่กลับเป็นฝ่ายถอยหนีด้วยความใจร้อน หลีหลงเว่ยกระโดดขึ้นเตียงก่อนจะคร่อมร่างของนางไว้ใต้เรือนร่างด้วยความรวดเร็วลู่
ยังโชคดีที่นางตื่นมาทัน ไม่เช่นนั้นนางคงจะถูกใส่ใจร้ายบิดเยือนความจริงแน่ลู่หันจ้องมองเหนียวหนิงด้วยสายตาอาฆาต “เหตุใดถึงตามหาเรื่องข้าไม่ยอมปล่อยไปสักที” อีกใจหนึ่งนางก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายซ้ำยังไม่ได้อยากมีเรื่องกับผู้อื่นตลอดทั้งวัน ก่อนที่สายตา จะปรายไปมองบุรุษข้างกาย “เพราะท่าน! หลีหลงเว่ย!”จู่ ๆ ผู้กระทำผิดก็พลันกลายเป็นเขาเสียแล้วหลีหลงเว่ยขมวดคิ้วมุ่นแต่ใบหน้ากับมีรอยยิ้มจาง ๆ“นอกจากข้าแล้วเจ้ายังทุบตีผู้อื่นจนหัวแตกอีกหรือ” เขาย้อนถามพวกเหล่าบ่าวรับใช้ได้ยินเช่นนั้นจึงยกมือทาบอกอีกครั้ง เกรงว่าเหนียวหนิงนางคงจะประหม่าสตรีผู้นี้เกินไปแล้วเหนียวหนิงเลิกคิ้ว “เจ้าร้ายกาจจนถึงขั้นทำร้ายหลีหลงเว่ยเชียวหรือ!”ลู่อันก้าวเดินมาตรงหน้า “แม้แต่หลีหลงเว่ยยังต้องยอมข้าแล้วข้ายังมีอันใดต้องหวาดกลัวเจ้าหรือเหนียวหนิง” สายตาของนางกำลังไล่มองสตรีตรงหน้าด้วยความเหยียดหยาม “ไม่ว่าจะ ส่วนใด..ย่อมไม่อาจเทียบเคืองข้าได้”หลีหลงเว่ยปล่อยให้ลู่อันจัดการเรียกนี้ด้วยตนเอง เขาอยากจะรู้นักว่านางจะทำเช่นไรปล่อยไปหรือสังหารทิ้ง?เหตุการณ์ในตอนนี้ใหญ่โตชุลมุ่นวุ่นวายไม่น้อยคนเกือบทั่วทั้งจวนหลี
ลู่อันปิดประตูลงก่อนจะเดินมานั่งที่เตียงท่าทางไม่ค่อยสบายใจนัก พลันนึกถึงคำพูดของเฟิ่งหมิงและฉีฮ่องเต้เมื่อหลายวันที่ผ่านมา อำนาจจวนหลีอยู่ในมือนางแล้วแม้แต่หลีหลงเว่ยยัง ไม่กล้ายุ่งจริงเท็จอย่างไรนางไม่อาจแน่ใจได้“เจ้าอยากมีบิดาหรือไม่” มือน้อย ๆ ยกขึ้นลูบท้องของตนเอง พักหลังมานี้นางพูดพร่ำคนเดียวเช่นนี้อยู่บ่อยครั้งไม่ว่าผู้ใดพบเห็นล้วนซุบซิบว่านางนั้นสตรีฟั่นเฟือนเพราะโดนตีหัวครานั้นหาได้รู้ความจริงว่าในยามนี้นางกำลังตั้ครรภ์ทายาทสกุลหลีนางพลันถอนหายใจเฮือกใหญ่อาหารมื้อเที่ยงที่กินเข้าไปมากมายยังไม่ทันย่อยแต่กลับรู้สึกหิวอีกแล้ว ซ้ำยังมีความรู้สึกเหนื่อยล้าง่วงงุนแทบปรือตาไม่ขึ้น“เช่นนั้นพวกเรานอนกันเถอะ!”นางยกมือปิดปากพลางห้าว “เอาไว้ค่อยคิดถึงวันข้างหน้า ยามนี้มารดาต้องจะนอนแล้ว”หากฝืนไปก็รั้งแต่จะเหนื่อยล้าซ้ำยังคิดอันใดไม่ออก มิสู้นางนอนเอาพักผ่อนให้เต็มที่ยามตื่นมาค่อยว่ากันไม่ดีกว่าหรือ อีกทั้งหากวันไหนนางไม่ได้งีบนั้นพลันรู้สึกได้ว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรงไม่ว่าขยับทำอย่างไรก็เกียจคร้านไปหมดทุกส่วน“ว่าให้ง่ายเช่นนี้ตลอดไป”นางยังพึมพำไม่หยุดอดคิดไม่ได้ส่าหากบุตรออกมาไม
หลีหลงเว่ยไม่ปริปากพูดอันใด สายตากำลังจ้องมองบุรุษตรงหน้านิ่ง ๆ และไม่ได้ลุกลี้ลุกลนแสดงอาการใด ๆ ให้จับผิดได้ทว่าองครักษ์ข้างกายกับมีสีหน้าตื่นตะหนกมีสีหน้าซีดเซียว“ช่วยได้หรือไม่” เป็นลู่อันที่เอ่ยขึ้นจะจงใจหรือพลาดพลั้งก็ช่างเถอะ ยามนี้ต้องช่วยเหลือรักษาชีวิตไว้ให้ปลอดภัยซะก่อนเฟิ่งหมิงพยักหน้าภายหลังสำรวจดูบาดแผลแล้วกลับไม่ได้ลึกอย่างที่คาดคิดไว้แต่กับโดนจุดสำคัญที่ขั้นเลือดไหลไม่หยุดเช่นนี้ เฟิ่งหมิงจัดการบดยาสมุนไพรประคบบาดแผลให้หยุดเลือดไว้ก่อนจะนำผ้าสีขาวมาคาดพันไว้หลายรอบจนกว่าจะรู้สึกแน่น“โชคดีที่บาดแผลไม่เข้มลึกหากแต่โดนจุดสำคัญ” เฟิ่งหมิงพูดโดยไม่ได้หันขึ้นไปมอง “เกรงว่าพวกที่แทงท่านแม่ทัพคงโง่งมเป็นพวกลูกเต่าในกระดอง”ถ้อยคำด่าทอเจ็บแสบเท่าเอาจินหัวกัดฟันกรอด กำมือแน่น “เหอะ! ท่านหมอช่างคาดการณ์ได้แม่นยำ”จินหัวเอ่ยขึ้นความผิดพลาดนี้ไม่ค่อยดีนัก หากร้ายแรงอาจจะถึงแก่ชีวิตของผู้เป็นนาย ในตอนนี้จินหัวได้แต่สำนึกผิดในใจ“หากไม่ตาบอดคงมองออกว่านี้เป็นการจงใจให้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เฟิ่งหมิงเงยหน้าขึ้นสบตาจินหัวด้วยสายที่ยากจะคาดเดาได้ ไม่ย่อมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไ







