“คืนหนึ่งท่ามกลางแหล่งน้ำกลางทะเลทรายใต้แสงจันทร์นวลตา... ข้ามองลึกลงไปในดวงตาของไลลา และไม่เห็นใครอื่นอีกต่อไป… แม้นางจะคล้ายเจ้า และทำให้ระลึกถึงเจ้าอยู่บ่อยๆ แต่นางก็ไม่ใช่เจ้า… ในตอนนั้นข้าเห็นเพียงนาง... สตรีผู้แข็งแกร่งและงดงามในแบบของนางเอง สตรีที่ข้าตกหลุมรักเป็นคนที่สองต่อจากเจ้า”
“ข้าโน้มตัวลงไปจุมพิตนาง... และนางก็ไม่ได้ขัดขืน... ซิงจวน... มันไม่ใช่ราคะที่เร่าร้อน แต่เป็นการปลอบประโลมจิตใจที่อ้างว้างของคนสองคนที่ค้นพบความอบอุ่นในอ้อมกอดของกันและกัน ในอ้อมกอดของนาง ข้าพบความอบอุ่นที่ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดจากการสูญเสียเจ้าชั่วขณะ และในอ้อมกอดของข้า นางคงพบความปลอดภัยที่นางโหยหามาตลอดชีวิต เราต่างเป็นที่พักพิงให้แก่กันในดินแดนที่ไม่มีใครเข้าใจเรา แล้วเราก็ตกเป็นของกันและกัน…”
องค์รัชทายาทหยุดเล่าชั่วขณะ สุรเสียงของพระองค์แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน พระองค์ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อสบตากับซิงจวน พระทัยเต้นระรัวด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกิน...
นางนั่งนิ่งราวกับรูปสลัก แววตาทอประกายบางอย่างที่พระองค์อ่านไม่ออก
ในที่สุด นางก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงยังคงราบเรียบแต่แฝงความหนักแน่น "เมื่อได้ฟังเช่นนี้... หม่อมฉันก็รู้สึกยินดีเพคะ”
องค์รัชทายาทได้ฟังคำของนางก็ขมวดพระขนงด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยถาม
"ยินดี?"
"เพคะ... ยินดีที่ในช่วงเวลาที่พระองค์ต้องเจ็บปวดและอ้างว้าง ยังมีใครสักคนที่สามารถมอบความอบอุ่นและเป็นที่พักพิงให้พระองค์ได้... ความสุขของพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสมอเพคะ"
คำตอบของนางทำให้องค์รัชทายาทตกตะลึง ยิ่งกว่าการเปิดเผยตัวตนในตอนแรกเสียอีก... นี่คือสตรีที่พระองค์รัก... สตรีผู้มีหัวใจกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร ความรู้สึกผิดที่เคยท่วมท้น บัดนี้ถูกชะล้างไปด้วยความซาบซึ้งใจ พระองค์จึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวต่อไปจนจบสิ้น
“ความสัมพันธ์ของเราหลังจากคืนนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไลลากลายเป็นคนสนิทของข้า นางไม่ได้เป็นเพียงทาสรับใช้ แต่เป็นสหายคู่คิด นางสอนให้ข้ารู้จักการอ่านดวงดาวเพื่อนำทางในทะเลทรายยามค่ำคืน สอนให้ข้าแยกแยะรอยเท้าสัตว์ต่างๆ บนผืนทราย”
“ในขณะเดียวกัน ข้าก็สอนให้นางอ่านหนังสือและเขียนอักษร ปลายนิ้วของนางที่เคยจับแต่จอบเสียม บัดนี้กลับค่อยๆ บรรจงคัดลอกตัวอักษรได้อย่างงดงาม ข้ามองเห็นประกายแห่งความหวังและความฝันในดวงตาของนาง... ความฝันถึงชีวิตใหม่ที่นางจะเป็นผู้ลิขิตเอง”
“ข้าจำได้ถึงคืนหนึ่งที่เรานั่งผิงไฟอยู่ด้วยกันท่ามกลางความหนาวเหน็บของทะเลทราย นางเล่าเรื่องราวชีวิตอันแสนโหดร้ายของนางให้ข้าฟังเป็นครั้งแรก... ไม่มีการฟูมฟาย มีเพียงการบอกเล่าที่สงบนิ่ง แต่นั่นกลับทำให้ข้าเจ็บปวดหัวใจยิ่งกว่าได้ยินเสียงร่ำไห้เสียอีก คืนนั้นข้าไม่ได้สัมผัสนางด้วยความปรารถนา แต่กอดนางไว้แน่น... เป็นการให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีใครทำร้ายนางได้อีก”
“ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้จุดหมายปลายทาง ยิ่งตอกย้ำในใจข้าว่า อิสรภาพคือสิ่งล้ำค่าที่สุดที่ข้าจะมอบให้นางและคนอื่นๆ ได้ ชีวิตทาสไม่ใช่ชะตากรรมที่พวกเขาต้องยอมรับ และข้าในฐานะองค์รัชทายาท จะต้องไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น”
“เมื่อขบวนของเรามาถึงชานเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรือง ข้าได้เรียกประชุมทาสที่ข้าไถ่ตัวมาทั้งหมด ข้าประกาศต่อหน้าพวกเขาว่านับตั้งแต่วินาทีนี้... พวกเขาทุกคนเป็นไท ไม่มีใครเป็นทาสของใครอีกต่อไป”
“วินาทีแรกที่สิ้นเสียงประกาศของข้าคือความเงียบงัน... ดวงตาหลายสิบคู่จ้องมองข้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนที่ความเงียบนั้นจะถูกทำลายด้วยเสียงสะอื้นไห้... เสียงไห้แห่งความปีติยินดี พวกเขาทรุดตัวลงคุกเข่า แต่ข้าบอกให้พวกเขายืนขึ้น...”
“ข้ามองไปที่ไลลา นางไม่ได้ร้องไห้... แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของนางนั้นงดงามกว่าสิ่งใดที่ข้าเคยเห็นมาทั้งชีวิต เป็นรอยยิ้มแห่งอิสรภาพที่แท้จริง วันสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกัน ข้าได้มอบเงินทุนให้ทุกคนได้ตั้งตัว และสำหรับนาง... ข้าได้มอบหวีไม้จันทน์หอมอันนี้ให้ เป็นของขวัญจากชายคนหนึ่งที่มอบให้สตรีอันเป็นที่รัก แทนหัวใจและคำมั่นสัญญาที่มี... ข้าสัญญากับนาง... ว่าหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทางการทูตแล้ว ข้าจะกลับมารับนางอย่างแน่นอน แต่ข้าก็ผิดสัญญาอีกครั้ง...”
“ทว่าในปีต่อมา เมื่อข้ากลับไป ข้ากลับไม่พบนาง... ชาวบ้านบอกว่านางหายตัวไปจากชุมชนหลังจากข้าจากไปได้ไม่นาน มีคนพบเศษผ้าจากเสื้อของนางใกล้ช่องเขาที่โจรชุกชุม... ทุกคนจึงลงความเห็นว่า... นางคงถูกโจรฆ่าทิ้งไปแล้ว”
เรื่องเล่าอันยาวนานจบลง ทิ้งไว้เพียงความเงียบและเสียงสะท้อนของความสูญเสีย องค์รัชทายาทเงยพระพักตร์ขึ้นสบตากับซิงจวน ในแววตาของพระองค์เต็มไปด้วยคำถามและความรวดร้าว
“ข้าเล่าจบแล้ว ซิงจวน... ทีนี้เจ้าบอกข้าได้หรือยัง ว่าเหตุใดหวีของไลลา... จึงมาอยู่ในมือของเจ้าได้?”
ซิงจวนมองสบตาองค์รัชทายาท แววตาของนางอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นความรวดร้าวใจของพระองค์"เรื่องราวของพระองค์กับไลลา... โดยเฉพาะค่ำคืนนั้น... หม่อมฉันเข้าใจและให้อภัยเพคะ" นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่หนักแน่น "หม่อมฉันดีใจที่นางได้มอบความอบอุ่นให้พระองค์ในยามที่ท่านอ้างว้างอย่างแท้จริง"องค์รัชทายาทเงยพระพักตร์ขึ้นมองนางด้วยความตื้นตันระคนละอายพระทัย "ซิงจวน... เจ้า...""แต่หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะทูลถามองค์รัชทายาทสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ" ซิงจวนกล่าวต่อ สายตาของนางจริงจังขึ้น องค์รัชทายาทพยักหน้าช้าๆ"หากเรื่องราวกลับกัน... หากสตรีที่ท่านต้องเข้าพิธีอภิเษกด้วยนั้น... ไม่ใช่สตรีบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่สังคมคาดหวัง หากนางเคยมีอดีต... เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับบุรุษอื่นมาก่อน... พระองค์จะยังทรงอภัยและยอมรับนางเป็นชายาได้หรือไม่เพคะ?"คำถามนั้นราวกับค้อนที่ทุบลงกลางใจขององค์รัชทายาท พระองค์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตระหนักถึงความเท่าเทียมที่นางกำลังเรียกร้อง... นางให้อภัยพระองค์ได้อย่างง่ายดาย แล้วพระองค์เล่า? หลังจากครุ่นคิดอยู่เพียงเสี้ยววินาที พระองค์ก็สบตานางอย่างแน่วแน่"ข้า..
“คืนหนึ่งท่ามกลางแหล่งน้ำกลางทะเลทรายใต้แสงจันทร์นวลตา... ข้ามองลึกลงไปในดวงตาของไลลา และไม่เห็นใครอื่นอีกต่อไป… แม้นางจะคล้ายเจ้า และทำให้ระลึกถึงเจ้าอยู่บ่อยๆ แต่นางก็ไม่ใช่เจ้า… ในตอนนั้นข้าเห็นเพียงนาง... สตรีผู้แข็งแกร่งและงดงามในแบบของนางเอง สตรีที่ข้าตกหลุมรักเป็นคนที่สองต่อจากเจ้า”“ข้าโน้มตัวลงไปจุมพิตนาง... และนางก็ไม่ได้ขัดขืน... ซิงจวน... มันไม่ใช่ราคะที่เร่าร้อน แต่เป็นการปลอบประโลมจิตใจที่อ้างว้างของคนสองคนที่ค้นพบความอบอุ่นในอ้อมกอดของกันและกัน ในอ้อมกอดของนาง ข้าพบความอบอุ่นที่ช่วยเยียวยาความเจ็บปวดจากการสูญเสียเจ้าชั่วขณะ และในอ้อมกอดของข้า นางคงพบความปลอดภัยที่นางโหยหามาตลอดชีวิต เราต่างเป็นที่พักพิงให้แก่กันในดินแดนที่ไม่มีใครเข้าใจเรา แล้วเราก็ตกเป็นของกันและกัน…”องค์รัชทายาทหยุดเล่าชั่วขณะ สุรเสียงของพระองค์แผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน พระองค์ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อสบตากับซิงจวน พระทัยเต้นระรัวด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกิน... นางนั่งนิ่งราวกับรูปสลัก แววตาทอประกายบางอย่างที่พระองค์อ่านไม่ออกในที่สุด นางก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงยังคงราบเรียบแต่แฝงความหนักแน่น "เมื
ซิงจวนมองลึกลงไปในดวงเนตรขององค์รัชทายาทที่เต็มไปด้วยความสับสนระคนยินดี นางเข้าใจดีถึงคำถามมากมายที่อัดแน่นอยู่ในใจของพระองค์ นางคลายอ้อมกอดอย่างแช่มช้อย กิริยาสง่างามสมฐานะธิดาอ๋อง แต่แววตายังคงเป็นของซิงจวนคนเดิม“เรื่องราวยังไม่จบเพคะ” นางกล่าวเบาๆ “ข้อตกลงของเรายังคงอยู่”นางเดินกลับไปยังโต๊ะ หยิบหวีไม้จันทน์หอมสลักลายเมฆขึ้นมาอย่างนุ่มนวล กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเนื้อไม้ลอยฟุ้งขึ้นมาในอากาศ "หม่อมฉันคิดว่า... ถึงเวลาของของชิ้นที่สองแล้ว"องค์รัชทายาททอดพระเนตรหวีในมือนาง ความทรงจำอีกระลอกซัดถาโถมเข้ามาในพระทัย เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความสับสนและหลีกหนี พระองค์ทรุดกายนั่งลงอีกครั้ง เริ่มต้นเล่าเรื่องราวบทที่สองแห่งการเดินทาง“หลังจากที่ข้าสูญเสียเจ้าไป... หัวใจของข้าก็ว่างเปล่า” พระองค์เริ่มต้น “ข้าพยายามตามหาเจ้าอยู่แรมปีแต่ก็ไร้วี่แวว ในขณะเดียวกัน ราชโองการเรื่องการอภิเษกสมรสก็ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง ข้ายังไม่พร้อมที่จะผูกมัดชีวิตกับสตรีที่ไม่รู้จัก จึงทูลขอพระบิดาออกเดินทางไปยังดินแดนตะวันตก อ้างว่าเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและศึกษาเส้นทางการค้า... แต่เหตุผลที่
พระชายานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ปล่อยให้ความเจ็บปวดในน้ำเสียงขององค์รัชทายาทล่องลอยอยู่ในความเงียบงันของห้องหอ ก่อนที่สุรเสียงอันราบเรียบของนางจะดังขึ้นทำลายทุกสิ่ง“หม่อมฉันได้ปิ่นนี้มา... จากคุณชายผู้หนึ่งเพคะ”องค์รัชทายาทขมวดพระขนงกับคำตอบที่ไม่คาดคิด “คุณชาย?”“เพคะ” นางตอบรับ “เมื่อหลายปีก่อน หม่อมฉันในวัยเยาว์รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่ถูกตีกรอบอยู่ในจวนอ๋อง หม่อมฉันปรารถนาจะได้เห็นโลกภายนอก อยากสัมผัสชีวิตของชาวบ้านที่แท้จริง จึงได้ขออนุญาตบิดาปลอมตัวเป็นหญิงสาวสามัญชน ออกไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชายป่า พร้อมกับองครักษ์และนางข้าหลวงคนสนิทเพียงสองคน สวมบทเล่นเป็นพ่อแม่ลูก”หัวใจขององค์รัชทายาทกระตุกวูบ... เรื่องราวของนางช่างคล้ายคลึงกับของพระองค์เหลือเกิน“มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของหม่อมฉัน” นางเล่าต่อ น้ำเสียงเจือความฝันหวาน “หม่อมฉันได้เรียนรู้วิธีเก็บสมุนไพร แยกแยะเห็ดมีพิษ ได้หัวเราะอย่างเต็มเสียงโดยไม่ต้องกังวลถึงยศศักดิ์ และที่นั่นเอง... หม่อมฉันได้พบกับคุณชายรูปงามผู้หนึ่งที่หนีความวุ่นวายมาพักผ่อนหย่อนใจเช่นกัน เราตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว”องค์รัชทายาทแทบ
ความตกตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเฉียบที่แล่นจับขั้วหัวใจอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาทีนั้น ภาพสตรีผู้เป็นที่รักในความทรงจำทั้งห้าซ้อนทับกันราวกับภาพวาดที่ซีดจาง เด็กสาวชาวบ้าน ทาสสาว นางระบำ สาวใช้ และนักบวชหญิง ก่อนจะถูกฉีกกระชากด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นภายใต้ผ้าคลุมหน้าของพระชายา สมมติฐานที่เลวร้ายที่สุดผุดขึ้นในพระทัย เครือข่ายอำนาจของบิดานาง ส่งคนไปจัดการพวกนางงั้นหรือ!?“อำมหิต!” องค์รัชทายาทตวาดลั่น สุรเสียงที่เคยแหบพร่าด้วยความอาลัย บัดนี้สั่นเทาด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน พระองค์ผุดพระวรกายลุกขึ้น ฉลองพระองค์มงคลสีแดงสดสะบัดไหวรุนแรงราวกับเปลวเพลิง ปลายนิ้วของพระองค์ชี้ไปยังกองสิ่งของบนโต๊ะราวกับจะแผดเผามันให้เป็นเถ้าถ่าน “เจ้าทำอะไรพวกนาง!? ข้าไม่มีอารมณ์ร่วมหอกับเจ้าแล้ว!”พระทัยของพระองค์ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา ไม่รอคำตอบใดๆ องค์รัชทายาทหมุนพระวรกาย หมายจะพุ่งไปยังบานประตูสูงใหญ่ที่สลักเสลาอย่างวิจิตร เพื่อหนีจากกรงทองที่น่าอึดอัดและสตรีผู้มีรอยยิ้มราวกับปีศาจ แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวที่สาม น้ำเสียงเรียบนิ่งของนางก็หยุดพระองค์ไว้ราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น“หากองค์รัชทายาททรงก้าวออกจากห้องหอในค
งานมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่จบลงแล้ว เสียงดนตรีและการเฉลิมฉลองที่ดังกึกก้องตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน บัดนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความเงียบงัน เหลือเพียงความอ่อนล้าที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของทุกคน เว้นเสียแต่องค์รัชทายาทผู้เป็นศูนย์กลางของงานในวันนี้ฉลองพระองค์มงคลลายมังกรห้าเล็บสีแดงสดขับให้พระพักตร์ของพระองค์ซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงเนตรคมที่เคยเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น บัดนี้กลับฉายแววหม่นหมองและว่างเปล่า นี่คือการสมรสกับธิดาอ๋อง ที่เกิดขึ้นจากราชโองการของพระบิดา จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อค้ำจุนราชบัลลังก์และถ่วงดุลอำนาจกับแคว้นที่บิดาของนางกุมอำนาจทางทหารไว้ทั้งหมดขบวนส่งตัวเคลื่อนไปตามระเบียงยาวที่ประดับด้วยโคมไฟสีแดงสลัว องค์รัชทายาทก้าวพระบาทไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า หัวใจของพระองค์หนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยโซ่ตรวนแห่งความทรงจำ พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตร พระชายา ผู้เป็นธิดาของอ๋องนักรบผู้เกรียงไกรที่เดินอยู่เคียงข้างเลยแม้แต่น้อย ในห้วงคำนึงมีแต่ภาพของสตรีอื่น…รอยยิ้มและแววตาใสซื่อของเด็กสาวชาวบ้านในวัยเยาว์…แววตาที่ไม่ยอมแพ้โชคชะตาของทาสหญิง...ท่าร่ายรำอ่อนช้อยที่แฝงไปด้วยความยั่วยวนของนางระบำในด