Mag-log in“อิ่งเอ๋อร์ ช่วงนี้พี่ใหญ่มีงานวุ่นวาย จึงมิได้สนทนากับเจ้าบ่อยนัก หากเจ้ามีเรื่องอยากปรึกษาพี่ ก็อย่าได้เกรงใจ พูดคุยมาได้ อย่าเก็บเรื่องที่อัดอั้นตันใจไว้เพียงผู้เดียว” ระหว่างทางกลับเรือน รองแม่ทัพของแคว้นก็ใช้โอกาสนี้พูดคุยกับนาง เพราะบนรถม้ามีเพียงพวกเขาสองพี่น้อง
“พี่ใหญ่อย่าได้เป็นห่วงไปเลยเจ้าค่ะ ข้ามิได้เป็นอันใด”
“พี่เป็นห่วงเจ้ามาก ยิ่งช่วงนี้เจ้าเปลี่ยนไป มิร่าเริงเหมือนเคย พี่ก็ยิ่งห่วง”
“ข้าเพียงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เลยอยากเอาคืนพวกเขาบ้าง หรือท่านคิดว่าไม่ควร”
“…” ต้าหัวได้แต่ลูบศีรษะเล็กเพื่อปลอบใจ
“ทั้งที่ข้าดีกับพวกเขา ไว้ใจพวกเขา แต่กลับถูกหักหลังอย่างเลือดเย็น ท่านไม่คิดว่าข้าควรเอาคืนบ้างหรือ”
“เหตุใดจะไม่ควรเล่า พี่ใหญ่เองก็เตือนเจ้าหลายครา เจ้ามีสิ่งใดก็ให้เสี่ยวปิงไปหมด ขนาดของที่พี่ซื้อให้ เจ้าก็ให้นางโดยไม่นึกเสียดาย”
“พี่ใหญ่ เหตุใดกลายเป็นท่านน้อยใจข้าเสียได้เล่า” ลี่อิ่งหัวเราะเบาๆ กับการกอดอก เชิดหน้าของพี่ชาย
“หึๆ อิ่งเอ๋อร์ มีเรื่องใดอยากให้พี่ชายคนนี้ช่วย อย่าได้ลังเล ในเมื่อเจ้าอยากเอาคืนพวกเขา พี่ก็จะช่วยเจ้าให้ถึงที่สุด”
“ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุด” คุณหนูสวีกอดแขนพี่ชายไว้แน่น แต่ไม่นานนักก็ต้องปล่อย เพราะมีทหารชั้นผู้น้อยมาแจ้งว่า มีนายกองทะเลาะวิวาท ท้าประลองกันจนเลือดตกยางออก ผู้ใดห้ามก็ไม่ฟัง
ลี่อิ่งไม่อยากให้พี่ชายเสียเวลา จึงเดินทางไปที่ค่ายทหารด้วย จัดการเรื่องแล้วเสร็จค่อยกลับเรือนพร้อมกัน อีกอย่างเวลาเช้าเช่นนี้เจี้ยนอี้โจวคงยังไม่เข้ามาในค่าย
“เจ้าอย่าไปเลย ประเดี๋ยวจะเป็นภาพติดตาเสียเปล่าๆ พี่จะให้นายกองไห่พาเจ้าไปขี่ม้าที่ลานอีกฟาก”
“ได้เจ้าค่ะ ข้ามิได้พูดคุยกับพี่ไห่ฉงมานานแล้ว” ไห่ฉงเป็นลูกน้องคนสนิทของสวีต้าหัว เข้าออกสกุลสวีเป็นว่าเล่น ลี่อิ่งจึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี
“เช่นนั้นเชิญคุณหนูทางนี้เถิดขอรับ ข้าจะแอบเอาม้าของรองแม่ทัพมาให้ท่านขี่”
“ม้าที่พี่ใหญ่หวงน่ะหรือ เรารีบไปกันเถิด” ลี่อิ่งกระซิบกระซาบกับนายกองไห่เสียงดัง ตั้งใจให้พี่ชายได้ยิน หวังหยอกล้ออีกฝ่าย
ช่วงนี้นางคงจะจมปลักอยู่กับเรื่องราวในชาติก่อนมากเกินไป จนทำให้คนในครอบครัวกังวลและทุกข์ใจไปด้วย
เห็นที่ต้องปล่อยวางเสียบ้าง อย่างน้อยก็ตอนอยู่กับครอบครัว
“คุณหนูขึ้นได้หรือไม่ขอรับ”
“พี่ไห่ฉงดูแคลนข้าเกินไปแล้ว ช่วงนี้ข้าแอบท่านพ่อท่านแม่ มาขอให้พี่ใหญ่ฝึกขี่ม้า จับดาบ จับธนูอยู่บ่อยๆ” ลี่อิ่งว่าพลางกระโดดขึ้นม้าอย่างมั่นใจ
ร่างบางบังคับม้าให้เดินไปรอบๆ ลานฝึกม้า มองดูบรรยากาศที่คุ้นเคย ในชาติก่อนนางเคยมาที่นี่หลายครั้ง แต่ช่วงแรกที่แต่งงานกับท่านชาย นางไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาในนี้ ตอนนั้นจึงฝากอาหารที่ทำ ไว้กับทหารยามหน้าประตูค่ายเท่านั้น
แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมแน่!
“คุณหนูระวังขอรับ!”
“กรี๊ด!” เพราะใจลอยจึงไม่ทันระวัง บังคับม้าเข้าไปในเขตที่มีสิ่งกีดขวาง เนื่องจากนางพึ่งจะฝึกขี่ม้า การบังคับม้าให้กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางจึงเป็นเรื่องยาก
“มิเป็นไรแล้วขอรับ ข้ารับคุณหนูไว้ทัน”
“ฮื่อ~ พี่ไห่ฉง ข้านึกว่าตัวเองจะเจ็บตัวเสียแล้ว ขอบใจท่านมาก” ยังไม่ทันที่นายกองไห่จะปล่อยลี่อิ่งให้เป็นอิสระ ร่างบางก็ถูกดึง ย้ายมาอยู่ในอ้อมกอดของแม่ทัพใหญ่
“ทำเช่นนี้ไม่เหมาะกระมัง นายกองไห่”
เสียงซ้อมดาบดังมาจากหลังเรือนอย่างชัดเจน ทำเอาลี่อิ่งที่พึ่งทำมื้อค่ำให้บุตรสาวคนเล็กเสร็จ ถึงกับต้องเดินไปดู จึงพบว่าเป็นบุตรชายคนโตกับสามีที่ต่อสู้กัน รอบสนามก็มีทหารสองสามคนที่บาดเจ็บอยู่“อันใดกัน แค่ฝึกซ้อมมิใช่หรือ เหตุใดรุนแรงถึงขั้นบาดเลือดตกยางออก”“อิ่งเอ๋อร์” / “ท่านแม่”“พวกเจ้าไปทำแผลก่อนเถิด ส่วนสองพ่อลูก ตามมาทางนี้”ศาลากลางเรือนถูกใช้เป็นสถานที่พูดคุยกันของสามพ่อแม่ลูก ชายทั้งสองนั่งคุกเข่ายกแขน ทำโทษตนเองไปตามระเบียบ เพราะสิ่งที่ลี่อิ่งสั่งห้ามโดยเด็ดขาดคือการโมโห แล้วไปลงกับการซ้อมต่อสู้ จนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บไปด้วย“ท่านชาย ท่านเป็นพ่อ เหตุใดไม่ห้ามลูก”“ท่านแม่อย่าโกรธท่านพ่อเลยขอรับ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีขอรับ” เจี้ยนตงหยางไม่อยากให้บิดามารดาผิดใจกัน จึงรีบยอมรับ“แม่เคยสั่งห้ามไปแล้ว”“ขออภัยขอรับ”“ลูกควรไปขอโทษทหารที่เจ้าฝึกด้วยเมื่อครู่ พวกเขาบาดเจ็บถึงขั้นเลือดตกยางออก” ลี่อิ่งยังคงใช้เสียงแข็ง“ขอรับ ลูกจะไปขอโทษพวกเขา”“อืม ลุกขึ้นมานั่งดีๆ ส่วนอาตงไปขอโทษทหารทั้งสามนายเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาพูดคุยกัน”“ขอรับ”เมื่อบุตรชายเดินลงไปจ
สองสตรีเดินชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ พูดคุยเรื่องความงามบ้าง เรื่องการบ้านการเรือนบ้างตามประสา“ท่านอาหญิงเองก็เลี้ยงปลามิใช่หรือเจ้าคะ เห็นว่ามีถึงยี่สิบตัว”“ใช่เพคะ หม่อมฉันเลี้ยงพวกมันมาตั้งแต่อาตงเกิดแล้ว มันจึงออกลูกออกหลานเสียเต็มสระ”“เพราะแบบนั้นถึงอยากสร้างสระเพิ่มสินะเจ้าคะ”“…”“แล้วท่านอาหญิงจำชื่อพวกมันได้อย่างไรเจ้าคะ ตงหยางเอ่ยว่าท่านเรียกชื่อถูกตลอด”ลี่อิ่งขมวดคิ้วกับคำพูดขององค์หญิง ปกติแล้วตงหยางมิใช่คนที่จะพูดคุยเรื่องในเรือนให้ใครฟัง เพราะติดนิสัยจากบิดาพฤติกรรมเช่นนี้น่าแปลกนัก…“อาตงเล่าให้องค์หญิงฟังหรือเพคะ” องค์หญิงผู้นี้เกิดจากชายาขององค์ชายใหญ่เจี้ยนซ่งอวิ๋น ที่พึ่งรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์หลังจากที่สามีก่อกบฏลี่อิ่งก็เคยได้ยินมาบ้าง ว่าการอยู่ในวังหลังไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเจียงหนี่ว์เลยสักนิด หญิงสาวเติบโตมา ด้วยแววตาที่สดใสได้ถึงเพียงนี้ถือว่าเก่งมากแล้ว“เจ้าค่ะ ตงหยางเล่าให้ฟัง มีหลายเรื่องเลยนะเจ้าคะ แต่…ต่อจากนี้คงไม่ได้ฟังแล้ว ดูเหมือนเขาจะโกรธข้ามาก”“องค์หญิงมีใจให้อาตงหรือเพคะ” ลี่อิ่งถามกับหญิงสาวตามตรง และก็ได้รับการตอบกลับเป็นใบหน้าที่แดงก่ำ“…”“
“ขอฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยใหม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพใหญ่เจี้ยนอี้โจวกล่าวขอร้องต่อองค์ฮ่องเต้เจี้ยนหลิวเหว่ย“ตั้งแต่เล็กจนโต องค์หญิงเจียงหนี่ว์ นางประพฤติดีมาโดยตลอด ทั้งยังไม่เคยขอสิ่งใดจากข้า แต่ครั้งนี้นางเอ่ยขอร้องข้าด้วยตัวเอง เจ้าจะให้ข้าปฏิเสธนางลงได้อย่างไร”“แต่ฝ่าบาท บุตรชายกระหม่อมยืนยันว่าคิดกับองค์หญิงเพียงพี่น้องเท่านั้น ขอฝ่าบาทพิจารณาอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ก็รู้ว่าความรักมิอาจบังคับกันได้”“เอาเถิด ข้าจะลองคิดดู แต่ตอนนี้ข้ากับเจ้าต้องออกไปร่วมพิธีเปิดเทศกาลล่าปาก่อน”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เจี้ยนอี้โจวคำนับลูกพี่ลูกน้องที่บัดนี้ดำรงตำแหน่งฮ่องเต้ของแคว้น ก่อนจะออกจากกระโจม เพื่อมานั่งกับฮูหยินและบรรดาบุตร“ท่านพ่อ ว่าอย่างไรขอรับ ฝ่าบาททรงยกเลิกงานแต่งของข้ากับองค์หญิงใหญ่หรือไม่” เจี้ยนตงหยาง หนุ่มวัยสิบแปดหนาว เอ่ยถามบิดาด้วยความร้อนใจแม้ผู้คนนอกแคว้นจะคิดว่า เจี้ยนตงหยางเป็นเชื้อพระวงศ์ปลายแถว ทว่าคนในแคว้นกลับรู้ดีว่าเขาเป็นถึงหลานรักของฝ่าบาท เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น จึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนกับเหล่าองค์หญิงองค์ชายในวังด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้จักกับองค
ท้องใหญ่โตใกล้คลอดมิใช่เรื่องง่ายสำหรับลี่อิ่งเลยสักนิด อาการปวดหลัง ปวดเท้า มีมากขึ้นทุกวัน จะเดินเหินไปที่ใดก็ต้องมีคนคอยประคองอยู่ไม่ห่าง“เป็นอย่างไร สวนที่พี่สร้างให้เจ้ากับลูก ชอบหรือไม่” อี้โจวพยุงภรรยาไปเดินเล่นในสวน พลางพยุงร่างอวบให้นั่งลงบนตั่งใต้ร่มไม้“งดงามมากเจ้าค่ะ เหลือแค่ปลาที่ข้ายังไม่ได้ออกไปซื้อเสียที” อันที่จริงสวนนี้ควรจะสร้างเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ช่วงก่อนจวนอ๋องติดปัญหามากมาย ทั้งยังเกิดเรื่องกบฏ ขึ้นอีก ทุกอย่างจึงล่าช้า แต่ก็ยังดีที่เสร็จก่อนที่ลี่อิ่งจะคลอดบุตร“มิต้องกังวลไป พอเจ้าคลอด พักฟื้นให้หายดีแล้ว พี่ย่อมพาเจ้าไปซื้อ”“เจ้าค่ะ” ลี่อิ่งหันมองตามสามี มาถึงตอนนี้นางก็รู้ว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิด ที่ให้โอกาสอีกฝ่าย อย่างน้อยเขาก็ก้มลงนวดเท้าให้นางโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ไม่สนใจว่าใครจะมองว่าเสียเกียรติ“เดินจากตรงนั้นมา เจ้าปวดเท้าหรือไม่”“ปวดเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ พอท่านพี่นวดให้ก็ดีขึ้นมาเลย”“หึ ปากหวานนัก”“ท่านก็เคยชิมแล้วมิใช่หรือ อ๊ะ โอ๊ย!” ทั้งที่กำลังเอ่ยเย้าสามี แต่บุตรในครรภ์ดันไม่เป็นใจเสียอย่างนั้น“อิ่งเอ๋อร์ เป็นอันใด น้ำ มีน้ำออกมา”“อึก!”“มี่มี
ความหวาดกลัวกัดกินหัวใจแกร่งจนเจ็บปวด แทบเอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แม่ทัพหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าระยะทางจากค่ายทหารกับจวนอ๋องจะห่างไกลถึงเพียงนี้ทันทีที่มาถึงหน้าประตูจวน ร่างกำยำก็กระโดดลงจากหลังม้า วิ่งตรงไปที่เรือนของตน โดยมีรองแม่ทัพสวีตามมาติดๆ“อิ่งเอ๋อร์! อิ่งเอ๋อร์!”“อาโจว ใจเย็นก่อน รอให้ท่านหมอตรวจอาการก่อนเถิด” ชินอ๋องรีบรั้งบุตรชายเอาไว้ไม่ให้ไปขัดขวางท่านหมอ“ท่านชายอย่าได้กังวลอิ่งเอ๋อร์ของข้าแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก ย่อมไม่เป็นอะไรร้ายแรง”“จริงอย่างท่านพ่อว่าขอรับท่านแม่ทัพ” สวีต้าหัวรีบยืนยันคำพูดของบิดา เพราะไม่อยากให้น้องเขยกังวลเกินเหตุ“ท่านพ่อตาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” อี้โจวก้มคำนับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อตาและอาจารย์ของบิดา เมื่อครู่เขาคิดถึงแต่ฮูหยินรัก จึงไม่ทันเห็นว่าท่านพ่อตาก็อยู่ด้วยแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้อี้โจววางใจ แม้จะได้รับคำปลอบใจจากทุกคน ชายหนุ่มกลับย้อนนึกถึงความสูญเสียในชาติก่อน ตอนนั้นเขาเองก็ทำได้เพียงจ้องมองนางตายตกไปต่อหน้า โดยไม่ได้ทำสิ่งใด“ท่านหมอว่าอย่างไร เหตุใดยังไม่รู้อีก!”“ท่านชายโปรดระงับอารมณ์ ข้าต้องตรวจให้ละเอียดว่าเป็นชีพจรมงคลหรือไม่” ท่านหม
ในขณะที่เอกบุรุษกำลังคิดหาวิธีอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงตะโกนกู่ร้องและเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากวิ่งตรงมาทางนี้และก็เป็นรองแม่ทัพสวีที่ควบม้า ชูตราทัพนำหน้าขบวนทหารมา“หึ สมกับเป็นฮูหยินของข้า ย๊า!”เมื่อกำลังพร้อม จิตใจพร้อม ก็ไม่มีทางที่เจี้ยนอี้โจวจะแพ้กว่าการต่อสู้จะสิ้นสุดลง กว่าเหล่าศัตรูจะตายตกไป ก็กินเวลาไปนานและสูญเสียเลือดเนื้อไปมากองค์ฮ่องเต้จึงได้ประกาศเยียวยาให้กับครอบครัวทหารที่ล้มตาย และประชาชนที่เดือดร้อนกับเหตุการณ์ในครั้งนี้“ฝ่าบาททรงหายจากอาการประชวรแล้วหรือเจ้าคะ” ลี่อิ่งนอนซบอกเปลือย พลางเอ่ยถามผู้เป็นสามี“อืม พอได้รับยาถอนพิษจากองค์ชายใหญ่ พระอาการก็ดีขึ้น”“องค์ชายใหญ่น่าสงสารเสียจริง”“พี่ก็คิดเช่นนั้น”“เฮ้อ” ลี่อิ่งถอนหายใจ เมื่อนึกถึงสิ่งที่องค์ชายใหญ่ต้องพบเจอ ทั้งอาการป่วยนานนับสิบกว่าปี ทั้งต้องมารู้ว่าบิดาวางยาตน ไหนจะเรื่องที่ไม่ใช่สายเลือดของฮ่องเต้อีก“แต่ตอนนี้คงไม่มีผู้ใดน่าสงสารไปกว่าพี่ ขนาดนอนกอดกัน ภรรยายังนึกถึงชายอื่น”“อันใดกันเจ้าคะ ท่านพี่ก็รังแกข้าทั้งคืนแล้วมิใช่หรือ” ลี่อิ่งหันหลังหมายจะลงจากเตียง แต่กลับถูกฉุดดึงให้ไปอยู่ในอ้อมกอดเหมื







