LOGIN“ไอ้ลูกไม่รักดี! คุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษตระกูลเจียงเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังลั่นไปทั่วบ้านไม้หลังเล็กที่มีสภาพทรุดโทรมบ่งบอกถึงสถานะทางการเงินของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี
บุรุษสูงวัยที่มีผมขาวแซมทั่วศีรษะกำลังกำมือแน่นด้วยความโกรธ คิ้วขมวดแน่น ใบหน้าแดงก่ำ พลางชี้นิ้วสั่งสอนบุตรชายวัยรุ่นที่กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษอย่างว่าง่าย
“เจียงอวี้เฉิง แกไม่ละอายต่อบรรพบุรุษบ้างเลยหรือไง? แกเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเจียงแล้วนะ ตระกูลของเราเป็น...”
“เคยเป็นตระกูลแม่ทัพที่จงรักภักดีต่อแคว้น จนได้รับตำแหน่งเจิ้นกั๋วกง แต่เพราะโดนใส่ร้ายจากคนสนิทถึงต้องถูกเนรเทศ จนสิ้นเนื้อประดาตัวใช่ไหม? พ่อ”
เจียงอวี้เฉิง บุตรชายคนเดียวและเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลเจียงเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงชืด ๆ
เขาท่องคำสั่งสอนของบิดาได้จนขึ้นใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกบังคับให้มาคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษสีซีดบนโต๊ะไม้เก่า ๆ ที่แทบจะหักพังลงตรงหน้าแบบนี้
“แกรู้ก็ดีแล้ว แล้วทำไมถึงยังต้องไปรังแกชาวบ้านด้วย” เจียงห้าวถามอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อจะให้ผมพูดจริง ๆ เหรอ?” น้ำเสียงเบื่อโลกเอ่ยถามขึ้น จนเจียงห้าวต้องสะอึกในใจ
ตระกูลเจียงของพวกเขาเคยเป็นตระกูลแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร จงรักภักดีต่อบ้านเมืองและอุทิศกายเพื่อปกป้องชาวบ้าน จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์แต่งตั้งเป็นเจิ้นกั๋วกง แต่ด้วยอำนาจทางการเมืองของตระกูลพวกเขาดันไปขวางทางขุนนางที่หมายจะโค่นล้มบัลลังก์ของฮ่องเต้
บรรดาขุนนางกังฉินเหล่านั้นจึงได้ใส่ร้ายตระกูลเจียงว่าเจิ้นกั๋วกงสมคบคิดกับแคว้นศัตรู โดยมีหลักฐานเป็นจดหมายโต้ตอบระหว่างสองแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพคนสนิทของเจิ้นกั๋วกงเองก็เป็นพยานชั้นดี
ความผิดของตระกูลเจียงนั้น ต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตรเพียงสถานเดียว หากแต่บรรดาแม่ทัพและขุนนางบางส่วนได้วิงวอนขอร้องต่อฮ่องเต้ ทำให้โทษทัณฑ์จึงเหลือเพียงการเนรเทศทั้งตระกูล
ตระกูลเจียงถูกตราหน้าว่าขายชาติ ทรยศต่อแคว้น ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องคาดเดาว่าสภาพการเป็นอยู่ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ทั้งโดนกลั่นแกล้งจากทางการ ตัดหนทางทำมาหากินของทั้งตระกูล รวมถึงความรังเกียจเดียดฉันท์จากชาวบ้านในเมืองที่อาศัย
แต่ก็ยังโชคดีที่มีชาวบ้านบางส่วนที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเจียงในยามสงคราม ไม่เชื่อว่าเจิ้นกั๋วกงที่กล้าหาญชาญชัยออกรบบริเวณชายแดน ยอมเป็นด่านหน้าบุกตะลุย เพื่อปกป้องชีวิตของพวกเขาจะกลายเป็นคนทรยศเช่นนั้นไปได้
รวมถึงบรรดาทหารที่ยังคงเชื่อใจเจิ้นกั๋วกงต่างลักลอบแอบติดตามมาอยู่อาศัยใกล้ ๆ กับตระกูลเจียง เพราะความช่วยเหลือจากชาวบ้านบางส่วนและทหารที่ยังคงเชื่อมั่น จึงทำให้ตระกูลเจียงยังคงมีทายาทสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ไม่เพียงแต่ทายาทเท่านั้น แต่ยังมีความยากจนข้นแค้นที่ติดตามมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย แม้แต่ตระกูลใหญ่ที่มีทายาทจำนวนมากอย่างตระกูลเจียงยังเหลือเพียงทายาทคนสุดท้าย
มิต้องกล่าวถึงสายเลือดของชาวบ้านและทหารคนอื่นที่เคยให้ความช่วยเหลือเลย ในปัจจุบัน แทบจะไม่เหลือความช่วยเหลือใด ๆ มาถึงตระกูลเจียงอีกต่อไป
ตระกูลเจียงมิได้ไม่ขยันทำมาหากิน หากแต่ไม่สามารถจับจองเป็นเจ้าของที่ดินได้ด้วยอำนาจของทางการที่มีคำสั่งมาเรื่อย ๆ และข่าวลือแบบปากต่อปากของชาวบ้านกลุ่มใหญ่ที่ยังคงจับจ้องประณามตระกูลเจียง
“พ่อจะให้ผมทนฟังพวกนั้นด่าว่าตระกูลเจียงของเราเป็นพวกขายชาติเหรอ?” เจียงอวี้เฉิงส่งเสียงสะอึกสะอื้นอย่างน้อยใจ “ตระกูลของเราจงรักภักดีมากแค่ไหน ทำไมต้องโดนแบบนี้ด้วย? ฮึก!”
“...” เจียงห้าวเถียงไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ เพราะอย่างไร มันก็เป็นความอัปยศอดสูของตระกูลที่ลูกผู้ชายอย่างพวกเขาแทบจะทนต่อคำครหานั้นไม่ไหวจริง ๆ
“แต่แกก็ไม่สมควรเอาเพลงทวนของตระกูลไปตีไอ้เด็กแซ่เหออย่างนั้น”
ด้วยตระกูลเจียงเป็นตระกูลแม่ทัพที่โดดเด่นในเพลงทวนเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงแล้วก็ตาม อดีตเจิ้นกั๋วกงก็ยังคงสั่งสอนให้ลูกหลานตระกูลเจียงทุกคนสืบทอดเพลงทวนประจำตระกูล ไม่ปล่อยให้มรดกตกทอดนี้สูญหายไปตามกาลเวลา
เพลงทวนของตระกูลเจียงถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ที่ไม่ว่าตระกูลแม่ทัพใดก็ยากจะโค่นล้มลงได้ เพราะเป็นเพลงทวนที่หมายเอาชีวิตศัตรูในสนามรบทั้งสิ้น ทั้งดุเดือดและป่าเถื่อน เหมาะกับทั้งรุกและรับในคราวเดียวกัน
“ผมยั้งแรงไว้แล้วน่า พ่อ... มันไม่ตายหรอก”
เจียงห้าวหรี่ตามองใบหน้าใสซื่อของลูกชาย
อย่าคิดว่าหน้าตาใสซื่อแบบนี้ แล้วจะมีนิสัยซื่อตรงจริง ๆ
เพราะเจียงอวี้เฉิงนั้น ถือว่าเป็นอัจฉริยะของตระกูลเจียงอย่างแท้จริง ทั้งฉลาด คิดพลิกแพลง และเจ้าคิดเจ้าแค้น...
ตามปกติเพลงทวนเหล่านี้จะเริ่มถ่ายทอดประมาณแปดขวบ ตอนหกขวบจะฝึกฝนพื้นฐานทางร่างกายเสียก่อน
แต่เจียงอวี้เฉิงในวัยเจ็ดขวบที่กำลังนั่งม้าตามคำสั่งของบิดา โดยที่เจียงห้าวได้สาธิตเพลงทวนให้เขาดูทั้งหมดในคราวเดียว ใครจะไปรู้... เมื่อเขานั่งม้าเสร็จก็เดินไปหยิบท่อนไม้ขนาดพอดีมือมารำเพลงทวนตามบิดาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
หากบอกว่าไม่ผิดเพี้ยนคงจะเกินจริงไปสักนิด แต่เจียงอวี้เฉิงสามารถบรรลุท่ารำไปได้มากถึงเก้าส่วน ทำให้เจียงห้าวได้แต่ตกตะลึงในความสามารถของบุตรชายเป็นอย่างมาก ครั้นจะวิ่งไปฟ้องบิดาของตนก็เหลือเพียงแต่ป้ายบรรพชนในห้องนั่งเล่นเท่านั้น
สุดท้าย เจียงห้าวได้แต่แอบหลบเจียงอวี้เฉิงที่กำลังนอนสนิทอยู่ในห้อง ไปนั่งกอดขาโต๊ะบูชาป้ายบรรพบุรุษร้องห่มร้องไห้อย่างดีใจที่บุตรชายสามารถสืบทอดเพลงทวนของตระกูลได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก็แอบนึกเสียใจในโชคชะตา หากตระกูลเจียงไม่ตกอับเช่นนี้ อนาคตของเจียงอวี้เฉิงคงจะสดใส พุ่งทะยานเจิดจ้าในวงการต่อสู้เป็นแน่
หลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เจียงอวี้เฉิงก็เดินกลับเรือนเจิ้งจื้อของตนเองตามความทรงจำเดิม โดยมีหม่งหู่และติงหลี่ บ่าวรับใช้คนสนิทเดินตามหลังไม่ห่างเจียงอวี้เฉิงยังคงทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเช่นเดิม เพื่อไม่ให้ผู้ใดผิดสังเกตเรือนเจิ้งจื้อเป็นเรือนส่วนตัวของเขาตั้งอยู่ในมุมที่เงียบสงบที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกง มีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ก่อด้วยอิฐสีเทาและประตูไม้สีเข้มที่เรียบง่ายภายในลานเรือนไม่ได้ประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน แต่เป็นสวนหินที่จัดวางอย่างมีศิลปะ พร้อมด้วยต้นไผ่ที่เอนไหวไปตามสายลม และบ่อน้ำขนาดเล็กที่มีกอหญ้าขึ้นเขียวขจี ช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงกลางจะพบกับพื้นไม้สีเข้มที่ขัดเงาจนขึ้นเงา ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกระดานหมากล้อมที่ยังคงมีตัวหมากวางค้างไว้อยู่ บ่งบอกถึงกิจกรรมยามว่างที่ซื่อจื่อคนก่อนชื่นชอบนอกเหนือจากการจับกระบี่และทวนยาวห้องที่เป็นส่วนตัวที่สุดคือห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมที่ใช้จุดบูชา ผนังห้องเต็มไปด้วยชั้น
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขของเจิ้นกั๋วกงดังก้องกังวานไปทั่วห้องอาหารของจวนแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลาย บนโต๊ะไม้เนื้อดีเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ คลุกเคล้าไปกับกลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อสัตว์อบอวลไปทั่วห้อง“ท่านพี่อารมณ์ดีเสียจริงนะเจ้าคะ” ฉินซื่อ ฮูหยินของเขาเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น คอยตักอาหารให้สามีอย่างใส่ใจเจิ้นกั๋วกงตอบพลางคีบเนื้อเข้าปาก “ก็เฉิงเอ๋อร์ยอมไปคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่แล้วนี่”“จริงรึ? ท่านพ่อ” เจียงจุนหลี่ น้องชายคนรองเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ “เมื่อคืน ท่านพี่ยังยืนกรานกับข้าว่าอย่างไรก็จะไม่เข้าคัดเลือกเป็นแน่ จริงหรือไม่? ท่านพี่”เจียงจุนหลี่หันไปถามเจียงอวี้เฉิง ในขณะที่เจียงอวี้เฉิงกำลังตาลายไปกับอาหารเลิศรสนานาชนิดบนโต๊ะ ทั้งปลานึ่งซีอิ๊ว หมูแดงย่างหอมกรุ่น ขาหมูพะโล้ ผัดผักตามฤดูกาล และที่ขาดไม่ได้คือไก่ตุ๋นยาจีนเนื้อนุ่ม หนังสีเหลืองทองชวนน้ำลายสอ ไอน้ำยังลอยกรุ่นขึ้นมาจากชามใหญ่แม่เจ้าโว้ย!! เกิดมายังไม่เคยมีอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้มาก่อนเลย!!
“อ๊าก!!” เจียงอวี้เฉิงหมอบลงตัวกับพื้นแล้วร้องระบายออกมาสุดเสียงอย่างอัดอั้นแม่งเอ๊ย!! นึกว่าจะได้ร่างใหม่ที่หล่อเหลา ไม่มีรอยสักแล้วซะอีก...เสียงร้องโหยหวนของเขาสร้างความตกใจให้แก่บิดาคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมากเจิ้นกั๋วกงหันสบตากับจ้าวลี่ด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าวันนี้ บุตรชายของเขาเป็นสิ่งใด ล้วนแต่มีท่าทีแปลกประหลาด ตั้งแต่ร้องหาคันฉ่อง ไหนจะปรากฏรอยประหลาดที่ต้นแขนอีก“ฉะ... เฉิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นสิ่งใดไป? พ่อตีเจ้าเจ็บหรือ?”เจียงอวี้เฉิงที่ได้ยินน้ำเสียงห่วงใยนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหน้า เจียงซู่ เจิ้นกั๋วกงและเป็นบิดาของเขาในตอนนี้เจียงซู่ เหมือนเจียงห้าว พ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน...ใบหน้า น้ำเสียง รูปร่าง แม้ว่าจะดุกับเขาไปบ้าง แต่อย่างไรก็รักและเอ็นดูเขาอย่างที่สุด“ข้าไม่เป็นไรขอรับ” เจียงอวี้เฉิงตอบด้วยเสียงอู้อี้หากวิญญาณของเขาข้ามมิติมาที่นี่แล้ว ร่างของเขาในโลกนู้นก็คงจะนอนแน่นิ่งแล้วสินะ...แล้วพ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ? พ่อจะไม่คลั่งไปเลยเหรอ?ยิ่งกังวลอยู่ว่าเขาเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของ
“ไอ้ลูกไม่รักดี! คุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษตระกูลเจียงเดี๋ยวนี้!”น้ำเสียงและถ้อยคำที่คุ้นเคยดังผ่านหูของเขาอีกครั้ง เจียงอวี้เฉิงกะพริบตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่วางเรียงรายหลายสิบป้ายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หงส์แดง ขัดเงาจนขึ้นสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทำจากไม้แกะสลักอย่างประณีต ลงรักปิดทองอร่ามเรืองรองภายใต้แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันที่จุดบูชาอยู่เสมอ รายนามและตำแหน่งของบรรพบุรุษแต่ละรุ่นถูกจารึกไว้อย่างเคารพและนับถือบ้านเขาไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณไฮโซแบบนี้นี่?กระถางธูปทองเหลืองขัดเงาที่ส่งกลิ่นหอมของกำยานอ่อน ๆ เชิงเทียนคู่ใหญ่ที่เปลวเทียนไหวระริกอย่างนุ่มนวล วางซ้อนด้านหน้าด้วยถ้วยน้ำชาสะอาดบริสุทธิ์บ้านเขายากจนขนาดนี้ จะไปมีกระถางธูปทองเหลืองได้ยังไง?เจียงอวี้เฉิงหันหน้าไปมา เพื่อมองรอบ ๆ ตัวแล้วจึงพบว่าตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ในโถงบรรพชนขนาดใหญ่ที่บรรยากาศกำลังเย็นเยียบและเงียบสงัด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายที่ประดับด้วยกร
“ทำไมคนแซ่จวงมันโชคดีจังวะ ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ลูกกลายเป็นเต้ แล้วยังได้เป็นไฮโซอีก” เจียงอวี้เฉิงพูดด้วยความอิจฉาเต็มอก ก่อนจะนึกถึงตระกูลจวงในปัจจุบันที่ได้ยินผ่านสื่อโทรทัศน์บ่อย ๆจวงเหวินซิน ศัลยแพทย์หัวใจอัจฉริยะ ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำระดับโลก หลังกลับสู่ประเทศบ้านเกิดแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นแพทย์มือหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาได้ก่อตั้งเครือข่ายโรงพยาบาลนับสิบแห่งทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อเสียงอันเป็นที่น่านับถือของตระกูลจวงจวงยู่หลุน นักการเมืองผู้ยึดมั่นในหลักการ ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละ จนได้รับการไว้วางใจจากประชาชน เลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายสมัยจวงเจ๋อหยู อธิการบดีผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ จนมหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนนับล้านทั่วประเทศ การันตีการเรียนจบที่มีคุณภาพและการได้งานทำที่มั่นคง ทำให้บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอย่างสูงจวงย่าจิ้ง คุณนายใหญ่แห่งตระกูลจวง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี เธอได้ก่อตั้งมูลนิธิต่าง ๆ ม
ฮ่องเต้ชิงหยางประกาศให้บุตรชายของตระกูลขุนนางเข้าร่วมงานคัดเลือก ซึ่ง เจียงอวี้เฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานคัดเลือกนั้นในท้ายที่สุด จวงหมิงรุ่ย ซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือ ของ จวงเหวินจิ่น ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกั๋วซือของฮ่องเต้ในขณะนั้น ได้ผ่านการคัดเลือกเป็นพระราชบุตรเขยหลังจากที่องค์หญิงใหญ่ได้สนทนากับซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือก็เกิดความพึงพอพระทัยในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากการใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของวังหลวงเป็นอย่างมากองค์หญิงใหญ่จึงได้ขอพระราชทานย้ายไปอยู่กับซื่อจื่อที่จวนจวงกั๋วซือ ซึ่งฮ่องเต้ชิงหยางก็ได้พระราชทานอนุญาต ตามพระทัยพระเชษฐภคินีหลังจากงานอภิเษกสมรส องค์หญิงใหญ่ได้ก้าวเข้าสู่จวนจวงกั๋วซือในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ เพียงไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงใหญ่ได้ประสบอุบัติเหตุที่ใบหน้า จำต้องใช้ผ้าปิดใบหน้าเมื่อออกจากจวนอยู่เสมอแต่ความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่ง เย่เฉิง รองแม่ทัพคนสนิทของเจิ้นกั๋วกงได้เข้าไปทูลรายงานกับฮ่องเต้ชิงหยางว่าจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการก่อกบฏ ติดต่อสมคบคิดกับแคว้นศัตรูเย่เฉิงมอบหลักฐา







