LOGIN“เฮ้อ...” เจียงห้าวได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “เอาเถอะ แกก็คุกเข่าสำนึกผิดไป เดี๋ยวพ่อไปทำกับข้าวแล้วกัน”
“ครับ พ่อ” เจียงอวี้เฉิงรับคำอย่างว่าง่าย เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพียงการคุกเข่าสำนึกผิดตามมารยาทเท่านั้น ทันทีที่แผ่นหลังของพ่อลับสายตาไป มือใหญ่ก็ยกขึ้นปาดน้ำตาราวกับไม่เคยมีอยู่จริง “เฮ้อ... พ่อนี่หลอกง่ายจริง ๆ ”
ด้วยตระกูลเจียงในตอนนี้ เหลือเพียงเจียงห้าวและเจียงอวี้เฉิงสองพ่อลูก เพราะแม่ของเขาทนความลำบากไม่ไหว จึงได้จากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
ความจริงแล้ว เหตุการณ์ในวันนี้ ไอ้เด็กแซ่เหอนั่น ไม่ได้กล่าวร้ายตระกูลเจียงรุนแรงถึงขนาดนั้นหรอก แค่ล้อเขาว่าเป็นเด็กไม่มีแม่ แล้วก็ขโมยข้าวกล่องของเขาไปก็เท่านั้น
ขโมยอะไรไม่ขโมย ดันมาขโมยข้าวจากคนจนที่กำลังหิว!!
ไม่ซัดให้ตายคาไม้ตรงนั้นก็ดีเท่าไหร่แล้ว
ฮึ่ย! ว่าแล้วก็หิว...
โครก คราก
เสียงท้องของเขาร้องประท้วงสอดรับดังขึ้นมา เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อตอนเที่ยงของวันนี้ กว่าจะจบเรื่องทุกอย่างก็เกือบค่ำ แล้วเขายังต้องมาคุกเข่าทนหิวแบบนี้อีก
“โอ๊ย! เมื่อยไปทั้งตัวเลย” เจียงอวี้เฉิงบิดตัวเพื่อคลายความเมื่อยล้า แล้วจึงเหวี่ยงแขนไปมา จนแขนข้างหนึ่งไปโดนโต๊ะบูชาที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ
ทันใดนั้น! หนังสือเล่มหนึ่งก็ตกลงมาบนพื้น เจียงอวี้เฉิงหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นที่หนาเขรอะบนปกหนังสือออก จึงได้เห็นอักษรที่เขียนอยู่บนนั้น
“บันทึก... ตระกูลเจียง...”
เจียงอวี้เฉิงอ่านชื่อหนังสือที่เขียนอยู่หน้าแรกอย่างค่อนข้างลำบากด้วยรูปแบบของอักษรที่โบราณ อีกทั้งความหนาของหนังสือ นั่นทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นบันทึกของบรรพบุรุษทุกรุ่นของตระกูลเป็นแน่
แผ่นกระดาษสีเหลืองกรอบของบันทึกถูกมือหยาบกระด้างกางออกอ่านอย่างช้า ๆ เจียงอวี้เฉิงใช้สองมือประคองหนังสืออย่างทะนุถนอม แล้วเริ่มอ่านตั้งแต่บรรทัดแรก
รัชศกซื่ออัน ปีที่ยี่สิบสอง
ฮ่องเต้ชิงหยางได้ขึ้นครองราชย์ในที่สุด หลังจากที่ทั่วแคว้นผ่านสงครามแห่งการแย่งชิงบัลลังก์ เพราะฮ่องเต้ชิงหลงเทียน อดีตฮ่องเต้องค์ก่อน ทรงมีพระราชโอรสมากมาย ทั้งประสูติจากฮองเฮา พระสนมเอก สนมรอง แม้กระทั่งนางกำนัล
สงครามแย่งชิงบัลลังก์ของรัชทายาทและพระราชโอรสองค์ต่าง ๆ กินเวลายาวนานนับสิบปี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขุนนางแบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย
ท่ามกลางสงครามอำนาจนั้น ทำให้ราชโอรสหลายองค์ต้องสิ้นพระชนม์ลงไปไม่น้อย มีเพียงองค์ชายชิงหยางที่ประสูติจากนางกำนัลที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ชิงหลงเทียนเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่
เพราะนางกำนัลทราบดีว่าท่ามกลางการแก่งแย่งเช่นนี้ นางไม่สามารถปกป้องพระราชโอรสองค์นี้ได้อย่างแน่นอน นางจึงแอบเข้าไปทูลขอฮ่องเต้ชิงหลงเทียน เพื่อให้องค์ชายชิงหยางได้เข้าไปอยู่ในกองทัพของตระกูลเจียง โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน
ฮ่องเต้ชิงหลงเทียนตรัสอนุญาต โดยไม่คิดอะไรมาก เพราะอย่างไร พระองค์ก็มีพระราชโอรสมากมาย การที่มีพระราชโอรสสักพระองค์หนึ่งแอบแฝงอยู่ในกองทัพของตระกูลเจียงย่อมมีแต่ผลดีต่อราชวงศ์
แต่ด้วยความที่พระพักตร์ขององค์ชายชิงหยางละม้ายฮ่องเต้ชิงหลงเทียนเป็นอย่างยิ่ง เจียงซู่ เจิ้นกั๋วกงก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาคือบุตรแห่งมังกร แต่ด้วยความจงรักภักดีของตระกูลเจียง เขาจึงไม่ได้คิดสิ่งใด เพียงแต่บอกคนในตระกูลให้ทราบและระวังตัวไว้เท่านั้น
เพราะอย่างไรก็ไม่ควรล่วงเกินสายเลือดสวรรค์...
หลังสงครามแย่งชิงบัลลังก์สิ้นสุดลง ฮ่องเต้ชิงหลงเทียนสูญเสียพระราชโอรสไปเป็นจำนวนมาก จึงได้ตรอมพระทัย เสด็จสวรรคตไปในที่สุด
ส่วนรัชทายาทที่ประสูติจากฮองเฮา แม้ว่าจะมีชัยเหนือพระราชโอรสองค์อื่น และกำลังจะได้แต่งตั้งเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไป แต่ด้วยพระองค์ที่ไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ไหว ไม่นานนักก็สิ้นพระชนม์ตามไป
ในระหว่างนั้นเอง ช่วงที่บ้านเมืองกำลังหวั่นวิตก เพราะขาดผู้ครองบัลลังก์ เจิ้นกั๋วกงจึงนำกองทัพของตระกูลเจียงอารักขาองค์ชายชิงหยางกลับสู่เมืองหลวง เพื่อขึ้นปกครองแคว้นต้าหมิงต่ออย่างชอบธรรม
และเพื่อป้องกันการรุกรานของแคว้นศัตรูในช่วงที่ฮ่องเต้ชิงหยางเพิ่งขึ้นครองราชย์ เจิ้นกั๋วกงจึงได้ทูลขอให้กองทัพตระกูลเจียงประจำการอยู่ที่ชายแดนตั้งแต่นั้นมา
รัชศกซื่ออัน ปีที่ยี่สิบสาม
ฮ่องเต้ชิงหยางทรงแต่งตั้งนางสนมเข้าวังหลวง เพื่อสืบสายเลือดโอรสสวรรค์ และดูแลความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยคุณธรรม ทำให้ทั่วแคว้นมีแต่ความสงบสุข
รัชศกซื่ออัน ปีที่ยี่สิบสี่
ฮ่องเต้ชิงหยางคำนึงถึงพระเชษฐภคินีร่วมอุทร นามว่า ชิงหว่านซิน ซึ่งเป็นพระราชธิดาองค์โตที่ประสูติจากมารดาที่เป็นนางกำนัล โดยพระราชทานตำแหน่งองค์หญิงใหญ่ให้พระนาง
องค์หญิงใหญ่ ชิงหว่านซิน เป็นผู้คอยดูแลฮ่องเต้ชิงหยางมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้สองพี่น้องรักใคร่กันเป็นอย่างมากท่ามกลางวังหลวงที่จ้องแต่จะทำร้ายกันเช่นนั้น
ฮ่องเต้ชิงหยางจึงตัดสินพระทัยจัดงานเลือกคู่ครองให้แก่องค์หญิงใหญ่...
หลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เจียงอวี้เฉิงก็เดินกลับเรือนเจิ้งจื้อของตนเองตามความทรงจำเดิม โดยมีหม่งหู่และติงหลี่ บ่าวรับใช้คนสนิทเดินตามหลังไม่ห่างเจียงอวี้เฉิงยังคงทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเช่นเดิม เพื่อไม่ให้ผู้ใดผิดสังเกตเรือนเจิ้งจื้อเป็นเรือนส่วนตัวของเขาตั้งอยู่ในมุมที่เงียบสงบที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกง มีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ก่อด้วยอิฐสีเทาและประตูไม้สีเข้มที่เรียบง่ายภายในลานเรือนไม่ได้ประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน แต่เป็นสวนหินที่จัดวางอย่างมีศิลปะ พร้อมด้วยต้นไผ่ที่เอนไหวไปตามสายลม และบ่อน้ำขนาดเล็กที่มีกอหญ้าขึ้นเขียวขจี ช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงกลางจะพบกับพื้นไม้สีเข้มที่ขัดเงาจนขึ้นเงา ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ โต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกระดานหมากล้อมที่ยังคงมีตัวหมากวางค้างไว้อยู่ บ่งบอกถึงกิจกรรมยามว่างที่ซื่อจื่อคนก่อนชื่นชอบนอกเหนือจากการจับกระบี่และทวนยาวห้องที่เป็นส่วนตัวที่สุดคือห้องทำงานและห้องพักผ่อนที่มีกลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมที่ใช้จุดบูชา ผนังห้องเต็มไปด้วยชั้น
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะร่วนอย่างมีความสุขของเจิ้นกั๋วกงดังก้องกังวานไปทั่วห้องอาหารของจวนแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลาย บนโต๊ะไม้เนื้อดีเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ คลุกเคล้าไปกับกลิ่นของเครื่องเทศและเนื้อสัตว์อบอวลไปทั่วห้อง“ท่านพี่อารมณ์ดีเสียจริงนะเจ้าคะ” ฉินซื่อ ฮูหยินของเขาเอ่ยพร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น คอยตักอาหารให้สามีอย่างใส่ใจเจิ้นกั๋วกงตอบพลางคีบเนื้อเข้าปาก “ก็เฉิงเอ๋อร์ยอมไปคัดเลือกพระราชสวามีขององค์หญิงใหญ่แล้วนี่”“จริงรึ? ท่านพ่อ” เจียงจุนหลี่ น้องชายคนรองเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ “เมื่อคืน ท่านพี่ยังยืนกรานกับข้าว่าอย่างไรก็จะไม่เข้าคัดเลือกเป็นแน่ จริงหรือไม่? ท่านพี่”เจียงจุนหลี่หันไปถามเจียงอวี้เฉิง ในขณะที่เจียงอวี้เฉิงกำลังตาลายไปกับอาหารเลิศรสนานาชนิดบนโต๊ะ ทั้งปลานึ่งซีอิ๊ว หมูแดงย่างหอมกรุ่น ขาหมูพะโล้ ผัดผักตามฤดูกาล และที่ขาดไม่ได้คือไก่ตุ๋นยาจีนเนื้อนุ่ม หนังสีเหลืองทองชวนน้ำลายสอ ไอน้ำยังลอยกรุ่นขึ้นมาจากชามใหญ่แม่เจ้าโว้ย!! เกิดมายังไม่เคยมีอาหารเต็มโต๊ะขนาดนี้มาก่อนเลย!!
“อ๊าก!!” เจียงอวี้เฉิงหมอบลงตัวกับพื้นแล้วร้องระบายออกมาสุดเสียงอย่างอัดอั้นแม่งเอ๊ย!! นึกว่าจะได้ร่างใหม่ที่หล่อเหลา ไม่มีรอยสักแล้วซะอีก...เสียงร้องโหยหวนของเขาสร้างความตกใจให้แก่บิดาคนใหม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมากเจิ้นกั๋วกงหันสบตากับจ้าวลี่ด้วยความตกตะลึง ไม่รู้ว่าวันนี้ บุตรชายของเขาเป็นสิ่งใด ล้วนแต่มีท่าทีแปลกประหลาด ตั้งแต่ร้องหาคันฉ่อง ไหนจะปรากฏรอยประหลาดที่ต้นแขนอีก“ฉะ... เฉิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นสิ่งใดไป? พ่อตีเจ้าเจ็บหรือ?”เจียงอวี้เฉิงที่ได้ยินน้ำเสียงห่วงใยนั้น ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหน้า เจียงซู่ เจิ้นกั๋วกงและเป็นบิดาของเขาในตอนนี้เจียงซู่ เหมือนเจียงห้าว พ่อของเขาไม่มีผิดเพี้ยน...ใบหน้า น้ำเสียง รูปร่าง แม้ว่าจะดุกับเขาไปบ้าง แต่อย่างไรก็รักและเอ็นดูเขาอย่างที่สุด“ข้าไม่เป็นไรขอรับ” เจียงอวี้เฉิงตอบด้วยเสียงอู้อี้หากวิญญาณของเขาข้ามมิติมาที่นี่แล้ว ร่างของเขาในโลกนู้นก็คงจะนอนแน่นิ่งแล้วสินะ...แล้วพ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ? พ่อจะไม่คลั่งไปเลยเหรอ?ยิ่งกังวลอยู่ว่าเขาเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของ
“ไอ้ลูกไม่รักดี! คุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าป้ายบรรพบุรุษตระกูลเจียงเดี๋ยวนี้!”น้ำเสียงและถ้อยคำที่คุ้นเคยดังผ่านหูของเขาอีกครั้ง เจียงอวี้เฉิงกะพริบตาตื่นขึ้นด้วยความตกใจภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือป้ายวิญญาณบรรพบุรุษที่วางเรียงรายหลายสิบป้ายอย่างเป็นระเบียบอยู่บนแท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หงส์แดง ขัดเงาจนขึ้นสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายป้ายวิญญาณบรรพบุรุษทำจากไม้แกะสลักอย่างประณีต ลงรักปิดทองอร่ามเรืองรองภายใต้แสงเทียนและตะเกียงน้ำมันที่จุดบูชาอยู่เสมอ รายนามและตำแหน่งของบรรพบุรุษแต่ละรุ่นถูกจารึกไว้อย่างเคารพและนับถือบ้านเขาไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณไฮโซแบบนี้นี่?กระถางธูปทองเหลืองขัดเงาที่ส่งกลิ่นหอมของกำยานอ่อน ๆ เชิงเทียนคู่ใหญ่ที่เปลวเทียนไหวระริกอย่างนุ่มนวล วางซ้อนด้านหน้าด้วยถ้วยน้ำชาสะอาดบริสุทธิ์บ้านเขายากจนขนาดนี้ จะไปมีกระถางธูปทองเหลืองได้ยังไง?เจียงอวี้เฉิงหันหน้าไปมา เพื่อมองรอบ ๆ ตัวแล้วจึงพบว่าตอนนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ในโถงบรรพชนขนาดใหญ่ที่บรรยากาศกำลังเย็นเยียบและเงียบสงัด แสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายที่ประดับด้วยกร
“ทำไมคนแซ่จวงมันโชคดีจังวะ ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ลูกกลายเป็นเต้ แล้วยังได้เป็นไฮโซอีก” เจียงอวี้เฉิงพูดด้วยความอิจฉาเต็มอก ก่อนจะนึกถึงตระกูลจวงในปัจจุบันที่ได้ยินผ่านสื่อโทรทัศน์บ่อย ๆจวงเหวินซิน ศัลยแพทย์หัวใจอัจฉริยะ ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการแพทย์ชั้นนำระดับโลก หลังกลับสู่ประเทศบ้านเกิดแล้ว เขาก็ได้กลายเป็นแพทย์มือหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาได้ก่อตั้งเครือข่ายโรงพยาบาลนับสิบแห่งทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อเสียงอันเป็นที่น่านับถือของตระกูลจวงจวงยู่หลุน นักการเมืองผู้ยึดมั่นในหลักการ ทำงานด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละ จนได้รับการไว้วางใจจากประชาชน เลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายสมัยจวงเจ๋อหยู อธิการบดีผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในระดับชาติ จนมหาวิทยาลัยแห่งนี้กลายเป็นที่ใฝ่ฝันของนักเรียนนับล้านทั่วประเทศ การันตีการเรียนจบที่มีคุณภาพและการได้งานทำที่มั่นคง ทำให้บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเป็นอย่างสูงจวงย่าจิ้ง คุณนายใหญ่แห่งตระกูลจวง ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี เธอได้ก่อตั้งมูลนิธิต่าง ๆ ม
ฮ่องเต้ชิงหยางประกาศให้บุตรชายของตระกูลขุนนางเข้าร่วมงานคัดเลือก ซึ่ง เจียงอวี้เฉิง ซื่อจื่อแห่งจวนกั๋วกงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานคัดเลือกนั้นในท้ายที่สุด จวงหมิงรุ่ย ซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือ ของ จวงเหวินจิ่น ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกั๋วซือของฮ่องเต้ในขณะนั้น ได้ผ่านการคัดเลือกเป็นพระราชบุตรเขยหลังจากที่องค์หญิงใหญ่ได้สนทนากับซื่อจื่อแห่งจวนจวงกั๋วซือก็เกิดความพึงพอพระทัยในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ซึ่งแตกต่างจากการใช้ชีวิตตามกฎเกณฑ์ของวังหลวงเป็นอย่างมากองค์หญิงใหญ่จึงได้ขอพระราชทานย้ายไปอยู่กับซื่อจื่อที่จวนจวงกั๋วซือ ซึ่งฮ่องเต้ชิงหยางก็ได้พระราชทานอนุญาต ตามพระทัยพระเชษฐภคินีหลังจากงานอภิเษกสมรส องค์หญิงใหญ่ได้ก้าวเข้าสู่จวนจวงกั๋วซือในฐานะฮูหยินซื่อจื่อ เพียงไม่นาน ก็มีข่าวว่าองค์หญิงใหญ่ได้ประสบอุบัติเหตุที่ใบหน้า จำต้องใช้ผ้าปิดใบหน้าเมื่อออกจากจวนอยู่เสมอแต่ความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน วันหนึ่ง เย่เฉิง รองแม่ทัพคนสนิทของเจิ้นกั๋วกงได้เข้าไปทูลรายงานกับฮ่องเต้ชิงหยางว่าจวนเจิ้นกั๋วกงต้องการก่อกบฏ ติดต่อสมคบคิดกับแคว้นศัตรูเย่เฉิงมอบหลักฐา







