LOGINบนชั้น VIP ที่มีแสงไฟนุ่มสลัวเล็กน้อย เสียงเบสก็ไม่ได้ดังกระแทกจนหูชาเหมือนข้างล่าง วิเวียนกับมินตราขึ้นมาเจอฟลอร์เต้นรำก็กรี๊ดกร๊าดกันอย่างตื่นเต้น จนเผลอทิ้งใบหยกให้นั่งเฝ้าโต๊ะเพียงคนเดียว เพื่อที่จะไปออกสเต็ปกันอย่างเมามัน
ใบหยกถึงกับส่ายหัวให้กับความรักสนุกของเพื่อน ๆ ถึงเธอจะไม่ได้ออกไปแจมกับทั้งสองสาว แต่ก็เลือกที่จะนั่งดูและยิ้มออกมาเบา ๆ อย่างมีความสุข
พักใหญ่ ๆ ที่สองสาวสนุกสนานกับการเต้นจนลืมกลับโต๊ะ ใบหยกจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถดูเพื่อฆ่าเวลา
~ อย่าอดทนกับความสัมพันธ์ที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัด เพราะคำว่ารักที่เท่าเทียมกัน จะไม่ทำให้เราต้องอดทนจนเกิดความอึดอัดใจ ~
รอยยิ้มบาง ๆ ฉาบเคลือบบนมุมปากสวย เมื่อข้อความในโพสต์ของเพจที่เธอติดตามมานานอย่างเพจ...เมื่อลมหนาวมาเยือน ซึ่งใบหยกรู้ดีว่าเจ้าของเพจและโพสต์นี้คือใคร แม้เขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นหนึ่งในแฟนคลับก็เถอะ แต่สำหรับเธอ...เธอรู้แค่ว่าทุกครั้งที่เธอเหนื่อยและกำลังลำบากใจ เธอได้รับการเยียวยาและได้พลังงานบวกจากเพจนี้มาโดยตลอด มันทำให้ใบหยกผ่านช่วงแย่ ๆ ในทุกบททดสอบของชีวิต แต่โชคดีที่เธอได้รับกำลังใจจากเจ้าของเพจนี้
สนใจหน้าจอได้เพียงไม่นาน ใบหยกก็ต้องชะงัก เมื่อเสียงทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งดังขึ้นมารบกวนสมาธิของเธอจากโต๊ะข้าง ๆ
“ไม่คิดเลยว่า จะได้มาเจอเด็กเรียนอย่างเธอ...อยู่ในที่แบบนี้”
เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาคนนั้นทันที และในจังหวะที่หันไปเจอสายตาคมกริบของเขาเข้า ใบหน้าสวยก็ซีดเผือดราวกับเจอผี ในความมืดที่สลัวด้วยไฟตกแต่งสีน้ำเงิน ทำให้ใบหยกได้เห็นเค้าโค้งใบหน้าของเขาคนนั้นได้อย่างชัดเจน
“วสุพล...” ใบหยกสบถชื่อเขาในลำคอ
“หึ...เรียกชื่อทางการเลยเหรอ...เวกัสก็พอมั้ง...” เขากล่าว
“นายมาที่นี่ได้ยังไง?”
“นั้นไม่น่าจะใช่เรื่องที่แปลก คำถามนั้นควรเป็นของฉัน...เพราะฉันไม่น่าจะเคยเจอเธอที่นี่...”
“เจอฉันที่นี่แล้วยังไง?” เธอถามกลับเสียงแข็ง แต่เขายักไหล่ยียวน และเกือบจะกลั้วหัวเราะออกมา
“ก็แค่สงสัย เพราะไม่คิดว่าเธอจะกล้ามาในสถานที่แบบนี้ เธอควรอยู่ที่ห้องหนังสือหรือไม่ก็...สถานปฏิบัติธรรม”
ใบหยกเม้มปากแน่น เมื่อรู้สึกถึงอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นจนร้อนผ่าวไปทั้งแก้ม เธอรู้ว่าเขาจงใจจะมาหาเรื่องเธอ และกำลังยั่วประสาทเธออยู่
“ฉันจะอยู่ที่ไหนก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรเป็นที่ที่มีนายอยู่ เพราะฉันไม่อยากแชร์อากาศหายใจกับคนอย่างนาย...” ใบหยกเชิดใบหน้าราวกับไม่อยากสนใจเขา
“ถ้าลำบากขนาดนั้น ก็หยุดหายใจซะสิ...ปากดีอวดเก่งอย่างเธอ อย่าหายใจเลย เสียดายอากาศบริสุทธิ์เปล่าๆ”
"นี่นาย..."
ใบหยกเริ่มรู้สึกโมโห ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าคนตรงหน้ามีอคติกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอไม่ได้อยากจะเสวนากับเขาจึงหยิบกระเป๋าสะพายกับโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด เพื่อที่จะพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“เฮ้! พูดแค่นี้ถึงกับจะเดินหนีเลยเหรอ...เก่งให้ถึงที่สุดก่อนสิ จะได้รู้ไงว่าเก่งเหมือนปากไหม”
“ประสาท! อยากคิดอะไรก็คิดไปเหอะ...ฉันไม่เสียเวลามานั่งให้ค่ากับคนอย่างนายหรอก นายไม่ได้มีค่าหรือมีความหมายกับฉันขนาดนั้น อย่าหลงตัวเองให้เสียเวลา”
เวกัสเหมือนถูกตอกกลับจนเกือบหน้าหงาย ได้แต่ขบกรามแน่น มองเธอหมุนตัวเดินหนีไปทางห้องน้ำ ท่ามกลางเสียงเพลงที่ยังคงดังกระหึ่ม
"บ้าจริง...ทำไมต้องมาเจอกับคนแบบนี้ด้วย" ใบหยกทั้งล้างมือทั้งบ่นกระแทกกระทั้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
แต่ในระหว่างนั้นเอง ที่ใบหยกมัวแต่หัวร้อนกับคำพูดของเวกัส จนไม่รู้เลยว่าในห้องน้ำหญิงที่มีแต่เธอเพียงคนเดียวในตอนนี้ ได้มีร่างกำยำของใครอีกคนเดินตามเข้ามา
“มาอยู่นี่เองเหรอครับ…คนสวย”
ใบหยกเงยหน้าขึ้นมามองผ่านกระจกเงาที่สะท้อนภาพของบุคคลที่เข้ามาใหม่ เธอจำได้ในทันที...ผู้ชายคนนี้ที่เขามาวอแวเพื่อหวังจะจีบเธอนั่นเอง
“นายเข้ามาได้ไง...นี่มันห้องน้ำผู้หญิงนะ...”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า...นี่มันชั้นVIP ไม่มีใครสนใจพวกเราหรอก มีแต่เราที่สนใจเธอจริง ๆ คบกับเราเถอะนะ...นะ”
ชายคนนั้นพยายามเข้าหาเธออย่างถึงเนื้อถึงตัว จนใบหยกเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
“ปล่อยนะ!” ใบหยกพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดจากการโอบรัดด้วยลำแขนของเขา แต่แรงของผู้ชายบวกกับลำแขนที่โอบกระชับมันทำให้เธอขยับไม่ได้ ดิ้นเท่าไหร่ก็เหมือนจะเสียแรงเปล่า
“ปล่อย!!!”
“ฮ่า ๆๆๆ”
เสียงหัวเราะน่ารังเกียจดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่พยายามจะก้มลงมาซุกไซ้ซอกคอของเธอ ใบหยกเกิดความรังเกียจในสัมผัสนั้น จนต้องพยายามเบือนหน้าหนีสุดชีวิต
“ปล่อยนะ! อื้อ...”
ปึง! ผลัวะ!
“โอ๊ย!!!!”
แต่ทันใดนั้น ลำแขนแข็งแรงของใครอีกคนก็คว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของชายคนนั้น ก่อนจะออกแรงดึงจนไอ้สารเลวนั่นกระเด็นไปอัดเข้ากับกำแพงของอีกฝั่ง ตามด้วยขายาว ๆ ที่ตามมากระทืบซ้ำจนไอ้คนที่มันไม่ทันได้ตั้งตัวรีบยกมือขึ้นป้องหน้าอย่างยอมแพ้
หลายวันต่อมา...ขณะที่ใบหยกกับคณะกำลังร่วมประชุมหาลือกันในเรื่องโปรเจกต์อยู่นั้น ฝนห่าใหญ่ก็กระหน่ำลงมาอย่างไม่มีความปรานี ท้องฟ้าที่เคยแดดจ้ากลับมืดครึ้มจนดูน่ากลัว ราวกับสวรรค์จงใจจะใช้พายุฝนมาทดสอบความสามารถของทุกคนในไซต์งานแห่งนี้ครื้นนนน!!!เสียงฟ้าร้องคำรามประสานเข้ากับแรงลมที่โหมซัด จนผ้าใบกันแดดปลิวสะบัดไปตามทิศทางลม โครงเหล็กสูงตระหง่านที่กลุ่มวิศวกรรมโยธาร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นกว่าครึ่งทาง สั่นไหวอย่างแรงจนโคลงเคลงเห็นได้ชัด“เฮ้ย! นที...ดูนั่น!” กลุ่มวิศวกรรมโยธาต่างกรูเข้ามารวมกันที่หน้าต่างห้องประชุม เพื่อที่จะดูว่าโครงสร้างที่พวกเขาช่วยกันทำไว้ จะรอดพ้นจากพายุร้ายที่กำลังโหมกระหน่ำในตอนนี้หรือไม่ใบหยกที่ยืนอยู่ใต้ชายคาอาคารเดียวกันกับทุกคนในกลุ่ม สองมือกำเข้าหากันแน่น ดวงตากลมสั่นระริกเต็มไปด้วยแววแห่งความหวาดกลัว“ได้โปรด…อย่าพังนะ…”คำภาวนานั้นดังก้องอยู่ในใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับบทสวด แต่แล้วในเวลาต่อมาก็เกิดเสียงดังสนั่นออกมาจากฐานเหล็กด้านล่าง ตรงจุดที่น่านนทียืนยันนักหนาว่าแข็งแรงตามแบบฉบับ แต่มาตอนนี้กลับแตกร้าวเสียงดัง และเพียงไม่กี่นาทีต่อจากนั้น โครงสร้า
เช้าวันต่อมา...รถหรูของเวกัสแล่นเข้ามาจอดรถหน้าบ้านของใบหยกตั้งแต่เช้า พอพ่อของเธอออกมาเห็นก็ยิ้มรับอย่างเอ็นดู ก่อนจะตะโกนเรียกลูกสาวให้รีบออกมา ใบหยกที่ยังมึน ๆ งง ๆ เลยต้องยอมขึ้นรถมากับเขา เพราะไม่อยากให้พ่อตั้งคำถาม แต่ในใจก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่า...ทำไมเขาต้องอยากมารับมาส่งเธอแบบนี้ด้วยทว่าพอรถเคลื่อนออกไปได้ไม่นาน ใบหยกก็หันไปต่อว่าเขาทันทีเพราะแทนที่เขาจะพาไปดูงาน แต่กลับพาเธอมาที่ร้านอาหาร“ฉันจะไปดูงาน ไม่ได้จะมากินข้าวนะ” เวกัสเหลือบสายตาคมมามองเธอเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ถ้าเธอไม่กินข้าว ร่างกายจะไม่ไหว งานก็ไม่เดิน แล้วสุดท้ายเธอจะกลายเป็นภาระของกลุ่ม”คำพูดหนักแน่นนั้นทำให้ใบหยกเงียบไป เธอรู้ดีว่าที่ผ่านมาเธอดื้อกับร่างกายตัวเองเกินไป จึงจำใจต้องเดินตามเขาเข้าไปในร้านอาหาร บรรยากาศภายในหรูหรามาก จนเธอได้แต่คิดในใจว่าจะเอาปัญญาที่ไหนมาจ่ายพอมานั่งลงบนโต๊ะอาหาร เขาก็สั่งอาหารมาหลายอย่างมาก และอาหารทั้งหมดล้วนเป็นเมนูพิเศษที่เธอแทบไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน ใบหยกจึงหันไปต่อว่าเขา“นายสั่งเยอะไปหรือเปล่า เยอะขนาดนี้กินไม่หมดหรอก”“กินเท่าที่ไหว เหลือก็ห่อกลับ”
ในห้องโดยสารที่มีเพียงเสียงเครื่องยนต์กับจังหวะหายใจของทั้งสอง บรรยากาศกลับเงียบกว่าที่ควรจะเป็น ใบหยกนั่งตัวเกร็ง มือกำชายกระโปรงไว้แน่น พยายามไม่เหลือบสายตาไปมองคนข้าง ๆ แต่กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่โชยมาจากร่างสูงกลับก่อกวนหัวใจของเธอให้เต้นระส่ำทว่าเงียบได้ไม่นานนัก รถก็เกิดเบรกกะทันหัน เพราะมีมอเตอร์ไซค์ตัดหน้า ร่างเล็กของใบหยกเกือบจะโผไปชนคอนโซลข้างหน้า โชคดีที่แขนแกร่งของเวกัสคว้าตัวเธอเอาไว้ได้ทัน“ระวังหน่อยสิ!” ใบหยกอุทานทั้งตกใจทั้งเขิน รีบสะบัดแขนเขาออก แต่เวกัสกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วใช้โอกาสนั้นโอบรอบเอวเธอแทน ก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาใกล้ จนแนบชิดอกแกร่ง“เฮ้! ปล่อยนะ” เธอโวยเสียงดัง ทั้งที่แก้มยังแดงจัดแต่แทนที่จะปล่อย เขากลับเอนตัวนิด ๆ มองตรงไปข้างหน้าอย่างใจเย็น “นั่งเฉย ๆ จะได้ไม่เจ็บตัว”ใบหยกถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง เพราะไม่อยากปะทะกับเขาตอนนี้ ร่างกายเธอไม่มีแรงจะทำศึกกับใคร เลยต้องยอมปล่อยเลยตามเลย ทว่าคนข้าง ๆ กลับแอบอมยิ้มบาง ๆ มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัวกระทั่งรถหรูแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าปากซอยซึ่งเป็นทางเข้าบ้านของเธอ เวกัสก็เดินลงมาเปิดประตูให้ราวกับสุภาพบุรุ
เสียงเครื่องมือก่อสร้างดังระงม ตลอดแนวพื้นที่สำหรับสร้างโปรเจกต์หอนาฬิกา เสียงเหล็กกระทบกับค้อนผสานกับเสียงหัวเราะหยอกล้อกันของเหล่านักศึกษาที่ร่วมแรงร่วมใจ ท่ามกลางแสงแดดแรงที่สาดแสงจนพื้นคอนกรีตร้อนระอุ แต่ใบหยกกับกลุ่มวิศวกรรมโยธาของน่านนทีกลับกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทุกคนแทบจะกินนอนอยู่ตรงไซต์งาน หอบโน้ตบุ๊กมาวางตรงม้านั่งยาวเพื่อปรับแบบ ตรวจเช็กสัดส่วน และแก้ไขรายละเอียดตามความเป็นจริง และทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยพักบ้าง ทำบ้าง สลับกันไป แต่ใบหยกกลับเป็นคนที่ไม่เคยหยุดพัก เธอคอยจด คอยตรวจเช็กและแก้ไข เพื่อปรับให้โครงสร้างสมบูรณ์ลงตัว เสมือนพลังงานในร่างของเธอไม่มีวันหมด“ใบหยก หยุดพักก่อนเถอะ แดดมันแรงนะ”มินตราเอ่ยเตือนพร้อมยื่นขวดน้ำและข้าวกล่องมาให้เธอ แต่เจ้าของร่างเล็กกลับทำเพียงส่ายหน้า ยิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับไปจ้องแปลนที่อยู่ในมือต่อเพื่อน ๆ ต่างรู้ว่าเธอทุ่มเทที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ธรรมดา แต่มันคือความฝันที่เธออยากให้เป็นสัญลักษณ์ของสถาบัน เป็นร่องรอยที่เธอจะฝากเอาไว้ทว่า…ร่างกายที่ไม่ได้พักก็มีขีดจำกัดบ่ายวันนั้
ห้องออกแบบเงียบสงบ หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น ทุกคนทยอยกลับกันหมดแล้ว เหลือเพียงใบหยกที่นั่งอยู่กลางโต๊ะ ก้มหน้าขีดเขียนแก้ไขแปลนงานอย่างตั้งอกตั้งใจ แสงไฟจากโคมเพดานส่องลงมาบนใบหน้าของเธอ ทำให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายเปล่งสว่างยิ่งกว่าแสงไฟใด ๆเธอยิ้มออกมาเล็กน้อย เมื่อมองแปลนที่ปรับแต่งจนเสร็จสมบูรณ์ รอยยิ้มสดใสที่ดูมีความสุขผุดขึ้นเล็กน้อย เพียงเพราะได้เห็นผลงานของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างจนเสร็จสมบูรณ์แต่ใบหยกกลับไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ได้มีร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอจากทางด้านหลังอย่างเงียบ ๆ ฝีเท้าที่ย่างยกเข้ามาลงน้ำหนักเบา ๆ จนแทบไม่เกิดเสียงจนกระทั่ง...ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดต้นคอขาวเนียน ใบหยกสะดุ้งเฮือก รีบหันขวับไปมองทันที และสิ่งที่เธอได้เห็นก็คือใบหน้าคมคายของเวกัส ที่อยู่ใกล้จนเหลือเพียงคืบเดียวหัวใจของเธอเต้นรัว มือไม้ไร้เรี่ยวแรงจนแทบล้ม แต่เวกัสกลับรวบร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดได้ทัน พลางกระซิบเสียงทุ้มแผ่วเบาชิดข้างใบหูของเธอ“อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ดีนะรู้ไหม หืม?”“นะ...นายจะทำอะไร?”ใบหยกถึงกับสั่นไปทั้งตัว เธอรีบใช้แรงทั้งหมดที่เหลือดันแผงอกของเขาให้ออกห่าง
เวลานี้ที่ห้องประชุมใหญ่ของสถาบันดูคึกคักมากกว่าปกติ เพราะวันนี้...เป็นวันแรกที่กลุ่มสภานักศึกษาของใบหยก ได้ร่วมโต๊ะทำงานกับกลุ่มวิศวกรรมโยธาที่จะรับผิดชอบด้านการก่อสร้างชิ้นงานกระทั่งได้เวลาประชุม กลุ่มวิศวกรรมโยธาก็เดินเข้ามาทีละคน ร่างสูงล้วนอยู่ในเสื้อช็อปที่ดูทะมัดทะแมง“สวัสดีครับ!!!” เสียงทักทายเต็มไปด้วยพลัง ราวกับคนที่คุ้นเคยกับสนามงานจริง“สวัสดี…ผมเป็นหัวหน้าทีมที่จะดูแลการก่อสร้างชิ้นงานของโปรเจกต์นี้ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ”นที หรือ น่านนที หัวหน้าทีมวิศวะโยธา หนุ่มร่างสูงผิวขาว ดวงตาคมทว่าเต็มไปด้วยความอบอุ่น กล่าวทักทายทีมของใบหยก ใบหน้าหล่อยกยิ้มบาง ๆ ก่อนยื่นมือออกมาข้างหน้า ใบหยกชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นไปจับมือเขาตอบอย่างสุภาพ“ค่ะ…ใบหยกค่ะ ประธานสภานักศึกษา และหัวหน้าทีมออกแบบ”“อะแฮ่ม...” เสียงกระแอมเบา ๆ ของวิเวียนดังขึ้น พร้อมสายตาเจ้าเล่ห์ที่ทอดส่งมาแซวใบหยก จนเธอต้องรีบดึงมือกลับมา ส่วนมินตราก็อมยิ้มราวกับกำลังสนุกกับบรรยากาศตรงหน้า แต่ใบหยกพยายามไม่ใส่ใจแบบแปลนหอนาฬิกาขนาดใหญ่ถูกนำออกมากางบนโต๊ะตัวยาว ที่มีแสงไฟสะท้อนเส้นลายดินสอที่วาดไว้อย่างพิถีพ







