แนะนำตัวละคร
รนิดา / เฟิ่งต้าชวี่ หญิงสาววัย 31 ปีที่ได้ย้อนยุคมาเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาววัย 19 ปีในยุคของราชวงศ์หมิง
เกาหรงซาน อ๋องใหญ่ผู้ถูกขนานนามว่าแม่ทัพใหญ่ใจทมิฬ บุรุษหน้าตายที่ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวเพียงแค่ได้ยินเสียง ชีวิตนี้ไม่เคยคิดใฝ่ปองสตรีใดมาเป็นชายา คิดแต่เรื่องปกป้องบ้านเมืองอยู่เรื่องเดียว
ฉางลั่ว ฮ่องเต้แคว้นต้าหมิง น้องชายต่างมารดาของเกาหรงซาน รักและผูกพันกับพี่ชายเป็นอย่างดี
จวงเล่ย รองแม่ทัพคู่ใจของเกาหรงซาน
หลี่ สาวใช้ส่วนตัวของต้าชวี่
หมินหมิ่น น้องสาวของพระมเหสีหมินเม่ย หลงรักอ๋องใหญ่มาตั้งแต่เข้าวังหลวง
เนื้อเรื่อง ตอนที่ 1
“ตั้งรับแบบนี้เป็นท่าที่ไม่ถูกต้องนะนักเรียน นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเล่นงานเราได้ง่ายขึ้นอีก” รนิดาขยับแขนของนักศึกษาหญิงให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมแก่การป้องกันตัว จากนั้นจึงออกคำสั่งให้เธอลองจับนักศึกษาชายทางด้านหลังทุ่มลงพื้น “เห็นไหมว่าง่ายกว่าเดิม”
“ง่ายขึ้นมากเลยค่ะอาจารย์” นักศึกษาสาวคลี่ยิ้มจนตาหยี แล้วเริ่มตั้งท่าประมือกับเพื่อนชายอีกครั้ง
รนิดามองดูนักเรียนที่กำลังฝึกฝนวิชาป้องกันตัวจากตนอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นคนไหนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องก็รีบเข้าไปแก้ไขและอธิบายให้ฟังอย่างใส่ใจจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนจึงบอกลา
“อาจารย์หงส์คะ” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาอาจารย์ผู้ฝึกสอนยูโดให้ตน “หนูได้ยินเพื่อนๆ เขาพูดกันว่าอาจารย์สอนมวยไทยด้วยเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงสอนซะทีเดียวหรอกจ้ะ แต่ที่ฟิตเนสของอาจารย์มีไว้ให้ออกกำลังกายด้วยเท่านั้นเอง”
“แล้วอาจารย์มีสอนอะไรบ้างคะ หรือว่ามีให้ออกกำลังกายอย่างเดียว”
“เธอสนใจเหรอ”
“ค่ะ พ่อหนูเขาอยากให้หนูเรียนพวกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้บ้าง เพราะบ้านหนูมันค่อนข้างอยู่ลึกเข้าไปในซอยค่ะ พ่อกลัวว่าจะถูกพวกขับวินมอเตอร์ไซค์ทำมิดีมิร้ายค่ะ เพราะวินแถวบ้านหนูมันชอบนั่งดื่มเหล้าเวลารอรับผู้โดยสารค่ะ”
ได้ยินดังนั้นจึงหยิบแผ่นพับเล็กๆ ยื่นให้ลูกศิษย์สาว “อาจารย์มีสอนตามรายละเอียดนี้แหละจ้ะ สนใจจะเรียนอันไหนก็เลือกเอาเลย”
“หนูอยากเรียนเทควันโดนะคะอาจารย์แต่หนูไม่ว่างวันอังคาร” หญิงสาวมองตารางเรียนในแต่ละวันบนแผ่นพับ
“เธอเรียนยูโดอยู่แล้ว ครูแนะนำให้เรียนศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่าเพิ่มจะดีกว่านะ มันสามารถมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่เธอเรียนจะมีประโยชน์ก็ต้องพึ่งสติด้วยนะ ถ้าถึงเวลาคับขันแล้วเธอคุมสติตัวเองไม่ได้ ต่อให้เรียนสารพัดวิชาป้องกันตัวก็ไม่สามารถช่วยเธอได้หรอก” รนิดาที่ถูกทางมหาวิทยาลัยว่าจ้างให้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาพละศึกษาแนะนำนักเรียนของตน
“ก็น่าสนใจนะคะ หนูขอแผ่นพับนี้ไปให้พ่อดูนะคะอาจารย์”
“จ้ะ”
หลังจากแยกกับนักศึกษาสาวแล้วเธอก็รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อกลับไปร่วมฉลองงานวันเกิดของพี่ชายที่บ้าน.. ระหว่างเดินทางเธอโทรศัพท์หาน้องสาว เพื่อบอกว่าจะเป็นคนแวะไปรับเค้กที่สั่งไว้เอง แต่ปรากฏว่าน้องสาวไปถึงที่ร้านแล้ว เธอจึงเปลี่ยนใจโทรหาคนรักแทน
(สวัสดีค่ะอาจารย์หงส์)
คิ้วโก่งดำเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเสียงใสๆ ดังมาตามสายโทรศัพท์ของคนรัก แต่ก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย
(อาจารย์ติ๊กไปไหนไม่ทราบค่ะ โทรศัพท์ก็วางไว้บนโต๊ะ มันส่งเสียงดังรบกวนสมาธิเพื่อนๆ จ๋าก็เลยเสียมารยาทรับสายแทนค่ะ)
คิ้วโก่งขมวดอีกครั้ง เมื่อคืนเขาบอกเธอเองว่าวันนี้มีสอนถึงบ่ายสาม แต่ตอนนี้มันเกือบห้าโมงเย็นแล้วนะ “อาจารย์ติ๊กมีสอนเหรอจ๊ะ”
(ค่ะอาจารย์ อาจารย์จะให้หนูไปตามหาอาจารย์ติ๊กให้ไหมคะ)
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แค่บอกว่าอาจารย์โทรมาก็พอแล้ว แค่นี้นะ” เธอกดตัดสายแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงที่ช่องข้างเบาะ ขับรถมุ่งตรงสู่อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และคิดว่าคนรักคงขับรถตามมาเมื่อสอนหนังสือเสร็จ เพราะคุยกันไว้แล้วว่าเขากับเธอต้องคุยเรื่องเตรียมงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้ากับครอบครัวด้วยกันในวันนี้
“ติ๊กเขาไม่รับสายเหรอพี่หงส์” อารียาถามพี่สาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง
“อือ พี่โทรไปตั้งหลายรอบแล้วนะ ทำไมไม่รับก็ไม่รู้ หรือว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่มหาลัยอีกแล้ว” ฝ่ายพี่สาวตอบคำถามของน้องสาวคนที่สองจากน้องสาวทั้งหมดสี่คน ซึ่งน้องสาวคนนี้อายุยี่สิบแปดปีเท่ากับคนรักของเธอ และพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย
“แล้วจะเอายังไงล่ะลูก จะรอเขาก่อนหรือว่าจะคุยกันก่อน”
“ไม่ต้องรอหรอกจ้ะเตี่ย เราคุยกันเองก็ได้” ลูกสาวคนโตคลี่ยิ้มกว้างเอาใจบิดา เดินกลับมานั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัว เริ่มคุยถึงแผนงานที่วางเอาไว้คร่าวๆ และกำหนดหน้าที่ให้น้องสาวทั้งสี่คนทำในวันงาน
“มีอะไรให้เฮียกับซ้อช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ” เจ้าของวันเกิดเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกคนได้รับมอบหมายงานกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงตนกับภรรยาเท่านั้น
“เฮียคอยช่วยดูแลอาซ้อที่กำลังท้องกำลังไส้ก็แล้วกัน” เจ้าของงานแต่งมอบหมายงานตามคำขอให้พี่ชายแล้วหัวเราะดังลั่นตามคนอื่นๆ
“ทำไมเตี่ยทำหน้าเครียดๆ อย่างนั้นล่ะเตี่ย ไม่อยากให้พี่หงส์แต่งงานเหรอ” ลูกสาวคนสุดท้องถามบิดาที่เพียงแต่คลี่ยิ้มแห้งๆ
“บอกตรงๆ ว่าเตี่ยเสียดายลูกสาว ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่ต้องเสียลูกสาวให้กับไอ้หนุ่มคนนั้น” จะให้เขาพูดความในใจออกไปได้อย่างไรเล่า ว่าไม่ต้องการลูกเขยที่อายุน้อยกว่าลูกสาวของตนถึงสี่ปีคนนั้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกสาวตนรักฝ่ายนั้นมากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มีตัวเลือกที่ดีอยู่ในใจแล้วด้วย
“พี่ติ๊กเขาก็เป็นคนดีออกเตี่ย สุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเขาก็เป็นครูเหมือนเตี่ยด้วย เตี่ยน่าจะชอบพี่ติ๊กเป็นพิเศษนะ”
“เตี่ยไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่ชอบเขา เตี่ยแค่เสียดายพี่หงส์ของลูกต่างหากล่ะลูกเจี๊ยบ”
“ลูกเจี๊ยบอย่าไปแหย่เตี่ยสิ เดี๋ยวเตี่ยก็ร้องไห้หรอก” ฝ่ายมารดาที่นั่งฟังพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแกล้งต่อว่าลูกสาว แต่ในใจนั้นรับรู้ความรู้สึกของสามีดีกว่าใคร “รีบคุยกันให้รู้เรื่องแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนดีกว่านะลูกๆ จ๋า ช่วงนี้แม่อยากให้เตี่ยเขาปรับเวลาการนอนหน่อย เพื่อให้คุ้นเคยกับเวลาของประเทศจีน”
“แม่เขาทำเหมือนเตี่ยแก่แล้วอย่างนั้นแหละ”
“ฉันเป็นห่วงสุขภาพเตี่ยนี่นา บอกตามตรงว่าไม่อยากให้เตี่ยไปเลย ไว้รอไปพร้อมกันหน่อยก็ไม่ได้”
“ทำไงได้ล่ะ เพื่อนๆ ฉันมันว่างช่วงนั้นกันพอดี ฉันก็อยากให้แม่ไปด้วยกันนะ” ถ้าไม่ติดว่ามันฉุกละหุกเพราะงานแต่งงานของลูกสาว เขาก็อยากให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน
วันต่อมา วันต่อมา และวันต่อมาที่โต๊ะอาหารเช้าภายในจวนใต้เท้าเฟิ่งจะมีแขกพิเศษมาร่วมด้วยทุกวัน และคนที่ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดด้วยความไม่พอใจมากที่สุดก็คือเฟิ่งต้าชวี่ เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้เมื่อสี่วันก่อนหลังจากที่นางยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่กลับไปกับเขา เขาก็ยอมเดินออกจากจวนของนางไปอย่างสงบ นางก็คิดว่าทุกอย่างจะจบแล้ว แต่นางคิดผิดถนัด เพราะนางจะถูกปลุกให้ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิมเป็นเวลาสามวันติดกันแล้ววันนี้เป็นวันที่นางโมโหมากที่สุด เพราะถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามเหม่า ต้องตื่นก่อนพระอาทิตย์เริ่มทำงานเสียอีก ที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือสาวใช้ตัวแสบจะปิดประตูขังนางไว้กับเขาเพียงสองต่อสองทุกวันจนถึงเวลาอาหาร และนางก็ต้องเสียจูบให้เขาทุกครั้งที่เจอหน้า“ถ้าวันนี้เจ้าไม่กลับไปกับท่านอ๋อง ข้ากับแม่ของเจ้าจะไปส่งเจ้าด้วยตนเอง” ใต้เท้าเฟิ่งบอกกับธิดาหัวแก้วหัวแหวนที่ไม่รู้ไปเอาความดื้อรั้นแบบนี้มาจากไหน“ท่านพ่อกำลังไล่ลูกหรือเจ้าคะ” ฝ่ายลูกสาวถามบิดาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเฟิ่งเจิงจงปวดใจกับคำตัดพ้อของธิดายิ่งนัก แต่ก็ไม่ยอ
อ๋องใหญ่เกาหรงซานกระตุกยิ้มมุมปากแทบจะมองไม่เห็น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันสับสนวิ่งแว่วมาแต่ไกล ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์ และมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งจะก็ไม่รู้สึกได้เร็วแบบเขารับรู้ถึงกลิ่นกายหอมกรุ่นที่คุ้นจมูกใกล้เข้ามาเต็มที จึงลุกขึ้นยืนรอท่าเฟิ่งต้าชวี่หยุดนิ่งที่ด้านหน้าของบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง จ้องเขาตาไม่กะพริบ“เจ้าคงดีใจที่ได้เห็นหน้าข้า” แม้แต่กระเซ้านางเล่นหน้าตาก็ยังดุดันไม่แสดงอารมณ์“ใช่ ข้าดีใจมาก” พูดจบนางก็รัวกำปั้นใส่แผ่นอกหนากว้างของเขาไม่ยั้ง ดับอารมณ์โกรธแค้นที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย แต่ทั้งหมดก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุแม่ทัพผู้เกรียงไกรปล่อยให้นางที่อยู่ในดวงใจตลอดหลายสิบวันลงมือทำร้ายจนเรี่ยวแรงของกำปั้นน้อยๆ นั้นเริ่มแผ่วลง เขายอมนางเพราะคิดว่านางโกรธแค้นที่ไม่เคยเอาใจใส่มาตลอดสองปีกว่าที่ได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นจึงรวบร่างระหงเอาไว้กับอก อยากจะฝังปลายจมูกลงไปที่ไหล่กลมกลึงกับไหปลาร้างามได้รูป แต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้“เจ้าโกรธข้าหรือ”“ข้าเกลีย
เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งสะดุดตาหายลงไปในน้ำอีกครั้งเหลือเพียงแต่ศีรษะ คำพูดเงียบไปชั่วเวลาครึ่งเค่อ มีแต่เสียงหายใจของเจ้านายกับบ่าวเท่านั้น ตลอดระยะเวลานั้นต้าชวี่คิดทบทวนคำพูดของสาวใช้คู่ใจอย่างรอบคอบ และสรุปกับตัวเองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนางจะยอมรับชะตากรรมทุกอย่างแต่โดยดี แต่นางจะไม่ยอมยกโทษให้เขาคนนั้นง่ายๆ เหมือนที่ใครอีกคนเคยเป็น ถ้าต้องกลับไปอยู่ด้วยกันจริงๆ นางจะสั่งสอนให้เขารู้ว่านางไม่ใช่ของตาย นางก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนที่เขามีต้าชวี่ลุกขึ้นแล้วยื่นแขนให้หลี่ประคองออกจากอ่างอาบน้ำ จากนั้นกางแขนให้นางช่วยซับตัวจนแห้ง แล้วจึงสวมเสื้อคลุมเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือประทินโฉมให้ตัวเอง เพราะไม่ชอบการแต่งหน้าที่เหมือนงิ้วของสาวใช้“เจ้าทำอะไรของเจ้า” ผู้เป็นนายถามสาวใช้ที่เริ่มเกล้าผมขึ้นกลางศีรษะ“วันนี้คุณหนูจะมวยผมง่ายๆ เหมือนเดิมไม่ได้นะ คุณหนูต้องมวยผมแบบสตรีที่ออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”“พอเลย เจ้าไม่ต้องทำให้ข้าแล้ว ข้าจะทำของข้าเอง” พูดจบนางก็แย่งหวีจากมือสาวใช้ ใช้มือสางผมให้สยายแล้วค่อยเ
ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนแข็งกระด้าง แววตาไม่เคยสื่อความรู้สึกใดๆ สามารถฆ่าคนได้ในพริบตา แต่จิตใจข้างในนั้นมีแต่ความห่วงใยและความจงรักภักดี ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ไม่ยอมอยู่อย่างสุขสบายเช่นองค์ชายองค์อื่นๆ เป็นพี่ชายที่ไม่เคยมีความอิจฉาริษยามีแต่ความรักและเอาใจใส่ให้พระองค์มาตลอด พระองค์จึงรักและเคารพในตัวพี่ชายคนนี้มาก“เข้าใจก็ควรรีบปราม อย่าปล่อยให้นางหลงระเริงจนลืมตัวมากไปกว่านี้”“ข้าจะบอกกับพี่สาวของนางให้ตักเตือน เช่นนี้พี่ใหญ่พอใจหรือยัง”“พี่กับน้องก็ไม่ต่างกันหรอก” เกาหรงซานตำหนิผู้เป็นพระมเหสีต่อหน้าพระสวามีของนาง“เรื่องนั้นข้าก็รู้พี่ใหญ่ แต่นางคงไม่กล้าให้ท้ายน้องสาวของนางจนออกนอกหน้าหรอกพี่ใหญ่ อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องของตำหนักฝ่ายใน ข้าไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายมากนัก” โอรสสวรรค์บอกเหตุผลแก่พี่ชาย เพราะกลัวเขาจะคิดว่าพระองค์ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าเตือนเพราะกลัวพระองค์จะลืมว่าพวกนางเป็นพี่น้องกัน แต่ในเมื่อพระองค์มั่นใจว่าพระมเหสีจะจัดการอย่างเป็นธรรมข้าก็พอใจ ข้าจะกลับล
“ทำไมพี่สะใภ้ถึงดุนักล่ะพี่ใหญ่” องค์หญิงสามที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ด้วยความบังเอิญ กระซิบถามบุรุษที่อำพรางกายเพื่อชมเหตุการณ์อยู่หลังพุ่มไม้“นางไม่ได้ดุหรอก นางแค่ปกป้องเกียรติของนางเท่านั้น เจ้าก็เห็นอย่างที่ข้าเห็นมิใช่หรือ” เขาตั้งใจมาดักพบนางตรงนี้ เพราะรู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางหลัก ที่ทุกคนต้องไปยังที่จอดรถม้าก่อนออกจากกำแพงวังหลวงแต่ขณะที่นางกำลังจะเดินมาถึงทางแยกแห่งนี้ หมินหมิ่นก็ตามมาหาเรื่องนางเสียก่อน ตอนที่เห็นนางถูกตบเขาแทบจะออกไปฆ่าหญิงสาวคนนั้นด้วยมือของตนเอง แต่เมื่อเห็นนางสวนกลับไปทันควันอย่างไม่น้อยหน้า เขาจึงหักห้ามใจเอาไว้ แล้วน้องสาวคนนี้ก็เดินเข้ามาสะกิดถามว่าทำอะไรอยู่ตรงนี้ เขาจึงบอกให้นางเงียบๆ และชวนให้ดูด้วยกัน“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าหมินหมิ่นจะร้ายได้ขนาดนี้ ที่แท้นางแสร้งทำเป็นอ่อนโยนหรือเพราะว่านางโมโหกันแน่พี่ใหญ่”“เจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันเจ้าดูไม่ออกหรือ” นางก็เหมือนกับพี่สาวของนางนั่นแหละ ต่อหน้าพระสวามีผู้เป็นโอรสสวรรค์ก็แสร้งทำเป็นจิตใจงดงามอ่อนโยนต่อพระสนมองค์อื่น แต่พอล
หลี่รีบวิ่งไปหาคุณหนูของตนพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นนางเดินลงมาจากศาลาวิหคเหิน“งานเลี้ยงสนุกไหมเจ้าคะ.. คุณหนูได้กำไลเป็นรางวัลหรือเจ้าคะ” คำถามของนางเปลี่ยนไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองเห็นกำไลหยกขาวที่ข้อมือซ้ายของเจ้านาย“อือ” ตอบสั้นๆ แล้วดึงสาวใช้ไปยังมุมหนึ่งของสวนหย่อม “เจ้าจำแม่ทัพใหญ่เกาหรงซานได้หรือไม่”ใบหน้าที่คลี่ยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพยายามคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน“ทำไมหรือเจ้าคะ”“เขาแต่งงานแล้วหรือยัง”“แต่ง.. แต่งแล้วๆ เจ้าค่ะ คุณหนูรู้อะไรมาหรือเจ้าคะ” หรือว่านางจำได้แล้วว่าชื่อเกาหรงซานที่คุ้นหูนักคุ้นหูหนานั้นชื่อเหมือนสามีของตัวเอง และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสามีของนาง“แล้วฮูหยินของเขามาร่วมงานวันนี้ด้วยหรือไม่”“ไม่.. ไม่นี่เจ้าคะ ข้าไม่เห็นนางเลย เรารีบกลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ หิมะเริ่มตกแล้ว เสื้อคลุมก็ไม่ได้หยิบลงมาจากรถม้า เดี๋ยวคุณหนูจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ” หลี่รีบบอกปัดเพื่อไม่ให้นางสนใจคนผู้นั้นมากไปกว่านี้ ไม่ได้รู้เลยว่าคนผู้นั้นทำให้คุณหนูของนางใจเต้นไม่เป็นจังหวะไปหลายรอบแล้วตอนที่อยู่บนศาลาวิหคเหินจิตใจของต้าชวี่เหี่ยวเฉาลงไปเล็กน