“ฉันแค่ล้อเล่นน่าเตี่ย เอาไว้เสร็จงานแต่งงานของลูกแล้วเราไปกันอีกรอบก็แล้วกันนะ” ภรรยารีบบอกกับสามีพร้อมรอยยิ้มเอาใจ
“จะมีโอกาสอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“มีสิ ทำไมจะไม่มีล่ะ”
“พาแม่เขาไปเที่ยวที่อื่นดีกว่าเตี่ย อียิปต์ บรูไนก็ได้ น่าเที่ยวกว่าเมืองจีนอีก” รนิดาแนะนำสถานที่ที่ตนเองใฝ่ฝันอยากจะไปสักครั้งในชีวิต
“ร้อนตับแตกไปทำไม อากาศไม่ต่างกับบ้านเราเลย ถ้าจะไปก็ต้องไปที่ที่ต่างจากบ้านเราสิพี่หงส์ อย่างเช่นเกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมันเป็นต้น” อารียาแย้งอย่างไม่เห็นด้วย
“อากาศไม่คุ้นเคยแบบนั้นไปแล้วต้องเตรียมตัวเยอะ อย่าไปเลยเชื่อเจ๊”
“เตี่ยกับแม่เขาเดินทางบ่อย เขามีพร้อมแล้วจ้ะ”
“เรื่องนี้เดี๋ยวแม่ตัดสินใจเองดีกว่า พวกเราควรแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้ว เที่ยงคืนกว่าแล้วเตี่ยไม่ไหวแล้ว” มารดายุติการสนทนาด้วยการลุกขึ้นแล้วชวนสามีกลับห้องนอนเป็นคู่แรก ตามด้วยคู่ของพี่ชายกับพี่สะใภ้ จากนั้นลูกสาวที่ยังโสดอีกห้าคนก็อยู่คุยกันต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะแยกย้ายกันไปพักที่ห้องของตัวเอง
สายๆ ของวันใหม่ ครอบครัวของรนิดาก็ได้ต้อนรับว่าที่ลูกเขยที่เพิ่งเดินทางมาถึง ธนายุทธมาพร้อมกับตะกร้าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ กล่าวขอโทษขอโพยกับบุพการีของหญิงคนรักที่ไม่สามารถเดินทางมาเมื่อคืนนี้ได้ เพราะติดสอนแทนอาจารย์ท่านอื่นเป็นการด่วนนั่นเอง
“ติ๊กเก็บโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะก็เลยไม่ได้รับสายของตัวเอง พอสอนเสร็จก็ขับรถกลับบ้านเลย มานึกได้ว่าลืมโทรศัพท์ก็ตอนที่กลับถึงห้องแล้ว จะโทรหาตัวเองก็คิดว่าตัวเองคงกำลังสนุกอยู่กับครอบครัวจึงไม่อยากขัดความสุข ติ๊กขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ค่าโทรศัพท์ที่อพาร์ตเม้นต์ติ๊กแพงจะตาย ดีแล้วที่ไม่โทร” เธอคลี่ยิ้มกว้างจนตาหยีให้คนรัก แค่เขามาเธอก็ดีใจมากแล้ว เรื่องอื่นไม่สำคัญเลยสักนิด
“ติ๊กรักหงส์ที่สุดเลย” ธนายุทธบีบมือนุ่มนิ่มของคนรัก ส่งยิ้มอ่อนโยนให้เธอ “เย็นนี้ไปกินข้าวที่ห้องติ๊กนะ” กระซิบเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน ถึงแม้จะไม่มีใครคนอื่นอยู่ด้วยก็ตาม
“รู้ทันหรอกนะว่าอยากได้อะไร” หญิงสาวในวัยสามสิบเอ็ดปี ที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตรองมิสไทยแลนด์เวิลด์ และนักกีฬาทีมชาติไทย ตอบกลับพร้อมกับสายตารู้ทันความคิดของคนรัก และเธอก็เต็มใจอย่างยิ่ง เพราะต้องการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปเหมือนกัน เกือบเดือนแล้วสินะที่เธอกับเขามัวแต่ยุ่งจนลืมเรื่องบนเตียง
เหลืออีกเพียงห้าอาทิตย์งานแต่งงานของเธอก็จะมีขึ้น แต่วันนี้กลับต้องกระวีกระวาดจากสามพรานไปสู่บ้านแพ้ว เพื่อไปรับบิดาและพาท่านไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ
“แฟนของลูกล่ะ” บิดาถามลูกสาวเป็นประโยคแรกที่เจอหน้า เพราะเมื่อคืนตอนที่เธอโทรมาหา เธอบอกเองว่าพวกเขาจะมาส่งตนด้วยกัน
“ติ๊กเขาติดสอนพิเศษแทนเพื่อนจ้ะพ่อ” ลูกสาวจำใจต้องโกหกบิดาเพื่อความสบายใจของท่าน แต่ความจริงแล้วเธอก็ติดต่อเขาไม่ได้เหมือนกัน
“ขยันจริงๆ นะลูกเขยเตี่ย แบบนี้เตี่ยควรจะสบายใจใช่ไหมว่าลูกสาวของเตี่ยจะไม่ลำบาก”
“แน่นอนจ้ะเตี่ย รีบไปกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวสี่ใบเถามันจะรอนาน” เธอหมายถึงน้องสาวทั้งสี่คนที่ต่างก็ทำงานและเรียนอยู่ในกรุงเทพ ที่นัดกันไว้แล้วว่าจะไปเจอกันที่สนามบิน
“ไปสิ”
รนิดาหิ้วกระเป๋าเดินทางของบิดาใส่หลังรถกระบะ โดยไม่ยอมเรียกใช้คนงานชายที่กำลังทำงานอยู่ใกล้ๆ
“เรียกให้คนงานมันทำก็ได้ลูก” ถึงแม้จะรู้ว่าลูกสาวคนโตของตนแข็งแรงผิดกับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอต้องแบกหามของหนักๆ ด้วยตัวเองอยู่ดี
“เสร็จแล้วจ้ะเตี่ย ขึ้นรถเถอะ” เธอส่งยิ้มให้บิดาและเปิดประตูเรียกท่านขึ้นรถ เสียดายอยู่บ้างที่มารดาและพี่ชายไม่ได้เดินทางไปด้วยกัน เพราะมารดาติดไปงานบวชของลูกเพื่อนสนิท ส่วนพี่ชายก็ต้องพาพี่สะใภ้ไปตรวจครรภ์ตามที่หมอนัด
“ลูกอยากได้ของฝากอะไรเป็นพิเศษไหม” บิดาเอ่ยถามระหว่างการเดินทางกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน
“ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากหงส์หรอกจ้ะเตี่ย แค่เตี่ยเที่ยวให้สนุกหงส์ก็พอใจแล้วจ้ะ”
“แต่เตี่ยอยากซื้อให้ลูกนี่ เลือกมาสักอย่างสิ”
“ถ้าอย่างนั้นหงส์ขอกำไลหยกก็แล้วกันจ้ะเตี่ย”
“แน่ใจนะว่าลูกจะไม่ทำมันแตกตอนทำงาน”
“เวลาทำงานหงส์ก็ต้องถอดออกสิจ๊ะเตี่ย หงส์ไม่กล้าทำของฝากของเตี่ยเสียหายหรอกจ้ะ” ลูกสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่คุยหยอกกับบิดาไปตลอดเส้นทางจนถึงสนามบิน
หลังจากส่งบิดาขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้วเธอและน้องๆ ทั้งสี่ก็ไปรวมตัวกันที่ร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์แห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
“วันนี้พี่หงส์น่าจะนอนกับนกก่อนนะ พรุ่งนี้สายๆ ค่อยกลับ”
“ไม่ดีกว่านก เพราะพี่จะกลับไปนอนกับแม่”
“แล้วเฮียล่ะ” น้องสาวถามถึงพี่ชายที่ปลูกบ้านห่างจากมารดาไม่ถึงยี่สิบเมตร
“เฮียเขาต้องดูแลอาซ้อพี่ก็เลยไม่อยากรบกวนเขา พี่ไปนอนกับแม่สะดวกกว่าเพราะพรุ่งนี้พี่หยุดพอดี” เธอไม่อยากรบกวนพี่ชายที่ต้องดูแลเมียที่กำลังท้อง แล้วยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยงานที่โรงงานทำเต้าหู้ของครอบครัวอีก
“ถ้าอย่างนั้นก็ดูหนังด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะเจ๊” น้องสาวคนสุดท้องมองพี่สาวตาปริบๆ เมื่อร้องขอออกไปแล้ว ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบกดจองตั๋วผ่านทางโทรศัพท์ เมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงหลังจากดูนาฬิกาที่ข้อมือ
หนึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งห้าสาวก็เดินเข้าสู่โรงหนังของห้างดัง พวกเธอเดินเข้าไปนั่งตามหมายเลขที่ระบุไว้ในตั๋วหนัง และนั่งชมตัวอย่างไปเรื่อยๆ
ขณะนั้นรนิดารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมากะทันหัน จึงกระซิบบอกน้องสาวคนที่นั่งใกล้ที่สุด “พี่ไปห้องน้ำก่อนนะ ปวดท้องตุ่ยๆ ว่ะ”
“นกไปด้วย ปวดฉี่พอดีเลย” อารียาลุกตามพี่สาวออกไป.. “เสร็จแล้วนกไปรอข้างนอกนะ”
“ไม่ต้องรอหรอก เข้าไปดูหนังก่อนเลย” เพราะรู้ว่าถ้ามีคนรอแบบนี้จะทำให้เธอไม่มีสมาธิในการเข้าห้องน้ำ จึงไม่ชอบให้ใครรอ
“ก็ได้จ้ะ” อารียารับปากพี่สาวแล้วแยกย้ายกันเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากเสร็จธุระก็เดินออกมา ตั้งใจจะยืนรอพี่สาวอยู่ที่ด้านนอก “ขอโทษค่ะ”
วันต่อมา วันต่อมา และวันต่อมาที่โต๊ะอาหารเช้าภายในจวนใต้เท้าเฟิ่งจะมีแขกพิเศษมาร่วมด้วยทุกวัน และคนที่ฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียดด้วยความไม่พอใจมากที่สุดก็คือเฟิ่งต้าชวี่ เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้เมื่อสี่วันก่อนหลังจากที่นางยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่กลับไปกับเขา เขาก็ยอมเดินออกจากจวนของนางไปอย่างสงบ นางก็คิดว่าทุกอย่างจะจบแล้ว แต่นางคิดผิดถนัด เพราะนางจะถูกปลุกให้ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิมเป็นเวลาสามวันติดกันแล้ววันนี้เป็นวันที่นางโมโหมากที่สุด เพราะถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามเหม่า ต้องตื่นก่อนพระอาทิตย์เริ่มทำงานเสียอีก ที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือสาวใช้ตัวแสบจะปิดประตูขังนางไว้กับเขาเพียงสองต่อสองทุกวันจนถึงเวลาอาหาร และนางก็ต้องเสียจูบให้เขาทุกครั้งที่เจอหน้า“ถ้าวันนี้เจ้าไม่กลับไปกับท่านอ๋อง ข้ากับแม่ของเจ้าจะไปส่งเจ้าด้วยตนเอง” ใต้เท้าเฟิ่งบอกกับธิดาหัวแก้วหัวแหวนที่ไม่รู้ไปเอาความดื้อรั้นแบบนี้มาจากไหน“ท่านพ่อกำลังไล่ลูกหรือเจ้าคะ” ฝ่ายลูกสาวถามบิดาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเฟิ่งเจิงจงปวดใจกับคำตัดพ้อของธิดายิ่งนัก แต่ก็ไม่ยอ
อ๋องใหญ่เกาหรงซานกระตุกยิ้มมุมปากแทบจะมองไม่เห็น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันสับสนวิ่งแว่วมาแต่ไกล ซึ่งถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์ และมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งจะก็ไม่รู้สึกได้เร็วแบบเขารับรู้ถึงกลิ่นกายหอมกรุ่นที่คุ้นจมูกใกล้เข้ามาเต็มที จึงลุกขึ้นยืนรอท่าเฟิ่งต้าชวี่หยุดนิ่งที่ด้านหน้าของบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง จ้องเขาตาไม่กะพริบ“เจ้าคงดีใจที่ได้เห็นหน้าข้า” แม้แต่กระเซ้านางเล่นหน้าตาก็ยังดุดันไม่แสดงอารมณ์“ใช่ ข้าดีใจมาก” พูดจบนางก็รัวกำปั้นใส่แผ่นอกหนากว้างของเขาไม่ยั้ง ดับอารมณ์โกรธแค้นที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวด้วย แต่ทั้งหมดก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุแม่ทัพผู้เกรียงไกรปล่อยให้นางที่อยู่ในดวงใจตลอดหลายสิบวันลงมือทำร้ายจนเรี่ยวแรงของกำปั้นน้อยๆ นั้นเริ่มแผ่วลง เขายอมนางเพราะคิดว่านางโกรธแค้นที่ไม่เคยเอาใจใส่มาตลอดสองปีกว่าที่ได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นจึงรวบร่างระหงเอาไว้กับอก อยากจะฝังปลายจมูกลงไปที่ไหล่กลมกลึงกับไหปลาร้างามได้รูป แต่ก็ต้องยั้งใจเอาไว้“เจ้าโกรธข้าหรือ”“ข้าเกลีย
เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งสะดุดตาหายลงไปในน้ำอีกครั้งเหลือเพียงแต่ศีรษะ คำพูดเงียบไปชั่วเวลาครึ่งเค่อ มีแต่เสียงหายใจของเจ้านายกับบ่าวเท่านั้น ตลอดระยะเวลานั้นต้าชวี่คิดทบทวนคำพูดของสาวใช้คู่ใจอย่างรอบคอบ และสรุปกับตัวเองว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนางจะยอมรับชะตากรรมทุกอย่างแต่โดยดี แต่นางจะไม่ยอมยกโทษให้เขาคนนั้นง่ายๆ เหมือนที่ใครอีกคนเคยเป็น ถ้าต้องกลับไปอยู่ด้วยกันจริงๆ นางจะสั่งสอนให้เขารู้ว่านางไม่ใช่ของตาย นางก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเหมือนที่เขามีต้าชวี่ลุกขึ้นแล้วยื่นแขนให้หลี่ประคองออกจากอ่างอาบน้ำ จากนั้นกางแขนให้นางช่วยซับตัวจนแห้ง แล้วจึงสวมเสื้อคลุมเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ลงมือประทินโฉมให้ตัวเอง เพราะไม่ชอบการแต่งหน้าที่เหมือนงิ้วของสาวใช้“เจ้าทำอะไรของเจ้า” ผู้เป็นนายถามสาวใช้ที่เริ่มเกล้าผมขึ้นกลางศีรษะ“วันนี้คุณหนูจะมวยผมง่ายๆ เหมือนเดิมไม่ได้นะ คุณหนูต้องมวยผมแบบสตรีที่ออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”“พอเลย เจ้าไม่ต้องทำให้ข้าแล้ว ข้าจะทำของข้าเอง” พูดจบนางก็แย่งหวีจากมือสาวใช้ ใช้มือสางผมให้สยายแล้วค่อยเ
ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนแข็งกระด้าง แววตาไม่เคยสื่อความรู้สึกใดๆ สามารถฆ่าคนได้ในพริบตา แต่จิตใจข้างในนั้นมีแต่ความห่วงใยและความจงรักภักดี ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ไม่ยอมอยู่อย่างสุขสบายเช่นองค์ชายองค์อื่นๆ เป็นพี่ชายที่ไม่เคยมีความอิจฉาริษยามีแต่ความรักและเอาใจใส่ให้พระองค์มาตลอด พระองค์จึงรักและเคารพในตัวพี่ชายคนนี้มาก“เข้าใจก็ควรรีบปราม อย่าปล่อยให้นางหลงระเริงจนลืมตัวมากไปกว่านี้”“ข้าจะบอกกับพี่สาวของนางให้ตักเตือน เช่นนี้พี่ใหญ่พอใจหรือยัง”“พี่กับน้องก็ไม่ต่างกันหรอก” เกาหรงซานตำหนิผู้เป็นพระมเหสีต่อหน้าพระสวามีของนาง“เรื่องนั้นข้าก็รู้พี่ใหญ่ แต่นางคงไม่กล้าให้ท้ายน้องสาวของนางจนออกนอกหน้าหรอกพี่ใหญ่ อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องของตำหนักฝ่ายใน ข้าไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายมากนัก” โอรสสวรรค์บอกเหตุผลแก่พี่ชาย เพราะกลัวเขาจะคิดว่าพระองค์ไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น“ข้าเตือนเพราะกลัวพระองค์จะลืมว่าพวกนางเป็นพี่น้องกัน แต่ในเมื่อพระองค์มั่นใจว่าพระมเหสีจะจัดการอย่างเป็นธรรมข้าก็พอใจ ข้าจะกลับล
“ทำไมพี่สะใภ้ถึงดุนักล่ะพี่ใหญ่” องค์หญิงสามที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ด้วยความบังเอิญ กระซิบถามบุรุษที่อำพรางกายเพื่อชมเหตุการณ์อยู่หลังพุ่มไม้“นางไม่ได้ดุหรอก นางแค่ปกป้องเกียรติของนางเท่านั้น เจ้าก็เห็นอย่างที่ข้าเห็นมิใช่หรือ” เขาตั้งใจมาดักพบนางตรงนี้ เพราะรู้ว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางหลัก ที่ทุกคนต้องไปยังที่จอดรถม้าก่อนออกจากกำแพงวังหลวงแต่ขณะที่นางกำลังจะเดินมาถึงทางแยกแห่งนี้ หมินหมิ่นก็ตามมาหาเรื่องนางเสียก่อน ตอนที่เห็นนางถูกตบเขาแทบจะออกไปฆ่าหญิงสาวคนนั้นด้วยมือของตนเอง แต่เมื่อเห็นนางสวนกลับไปทันควันอย่างไม่น้อยหน้า เขาจึงหักห้ามใจเอาไว้ แล้วน้องสาวคนนี้ก็เดินเข้ามาสะกิดถามว่าทำอะไรอยู่ตรงนี้ เขาจึงบอกให้นางเงียบๆ และชวนให้ดูด้วยกัน“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าหมินหมิ่นจะร้ายได้ขนาดนี้ ที่แท้นางแสร้งทำเป็นอ่อนโยนหรือเพราะว่านางโมโหกันแน่พี่ใหญ่”“เจ้าเป็นผู้หญิงเหมือนกันเจ้าดูไม่ออกหรือ” นางก็เหมือนกับพี่สาวของนางนั่นแหละ ต่อหน้าพระสวามีผู้เป็นโอรสสวรรค์ก็แสร้งทำเป็นจิตใจงดงามอ่อนโยนต่อพระสนมองค์อื่น แต่พอล
หลี่รีบวิ่งไปหาคุณหนูของตนพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมื่อเห็นนางเดินลงมาจากศาลาวิหคเหิน“งานเลี้ยงสนุกไหมเจ้าคะ.. คุณหนูได้กำไลเป็นรางวัลหรือเจ้าคะ” คำถามของนางเปลี่ยนไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองเห็นกำไลหยกขาวที่ข้อมือซ้ายของเจ้านาย“อือ” ตอบสั้นๆ แล้วดึงสาวใช้ไปยังมุมหนึ่งของสวนหย่อม “เจ้าจำแม่ทัพใหญ่เกาหรงซานได้หรือไม่”ใบหน้าที่คลี่ยิ้มสดใสเปลี่ยนเป็นตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพยายามคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน“ทำไมหรือเจ้าคะ”“เขาแต่งงานแล้วหรือยัง”“แต่ง.. แต่งแล้วๆ เจ้าค่ะ คุณหนูรู้อะไรมาหรือเจ้าคะ” หรือว่านางจำได้แล้วว่าชื่อเกาหรงซานที่คุ้นหูนักคุ้นหูหนานั้นชื่อเหมือนสามีของตัวเอง และเขาคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสามีของนาง“แล้วฮูหยินของเขามาร่วมงานวันนี้ด้วยหรือไม่”“ไม่.. ไม่นี่เจ้าคะ ข้าไม่เห็นนางเลย เรารีบกลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ หิมะเริ่มตกแล้ว เสื้อคลุมก็ไม่ได้หยิบลงมาจากรถม้า เดี๋ยวคุณหนูจะไม่สบายเอานะเจ้าคะ” หลี่รีบบอกปัดเพื่อไม่ให้นางสนใจคนผู้นั้นมากไปกว่านี้ ไม่ได้รู้เลยว่าคนผู้นั้นทำให้คุณหนูของนางใจเต้นไม่เป็นจังหวะไปหลายรอบแล้วตอนที่อยู่บนศาลาวิหคเหินจิตใจของต้าชวี่เหี่ยวเฉาลงไปเล็กน