1 งานแต่งครั้งนี้ท่านไม่ยินยอมแล้วคิดว่าข้าเต็มใจหรือ
รัชศกหนิงเฉิง [1] ปีที่ 3
เมื่อสารทฤดู [2] เริ่มต้นไปครึ่งทาง
ที่เรือนแห่งหนึ่งภายในจวนของชินอ๋อง กลิ่นความเป็นสิริมงคลตลบอบอวลไปทั่วห้อง รายล้อมด้วยสรรพสิ่งที่มีสีแดงของสัญลักษณ์การแต่งงาน
คราแรกเจียงเยี่ยนฟางที่ถูกพาเข้ามาในห้องหอ นางก็ยอมนั่งสงบเสงี่ยมบนเตียงนอนอยู่นานสองนาน ทว่าทันทีที่สาวใช้จากไปแล้ว มือเรียวยาวดั่งหยกก็ยกขึ้นดึงผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก เผยให้เห็นใบหน้าปูดบวมอันจืดชืดไร้การแต่งแต้มสีชาดอย่างที่ควรเป็น หากแต่บนใบหน้าที่ดูไม่ได้ กลับมีดวงตาที่กระจ่างชัด คล้ายมองทุกสิ่งบนโลกอย่างทะลุปรุโปร่ง ติดที่ว่าสายตาคู่นั้นช่างดูเฉยเมยไร้ความรู้สึก
ยามเมื่อสิ่งบดบังสายตาถูกโยนออกไปไกลแล้ว ดวงตาของนางก็ไปตกต้องอยู่บนโต๊ะอาหารทันที
'ถึงแม้จะเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว แต่ท่านอ๋องพิการนั่นก็คงไม่เข้ามาในห้องหอกระมัง มิสู้ให้ปากอิ่มท้องอิ่มเสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดแผนต่อไป'
สิ้นความคิดในหัว เจียงเยี่ยนฟางในชุดสีแดงรุ่มร่ามที่พรั่งพร้อมด้วยเครื่องหัวครบชุดก็ลุกเดินไปยังโต๊ะอาหาร ทว่าเมื่อเข้าใกล้ที่หมายมากขึ้นอีกนิด คิ้วเรียวยาวที่เรียบตึงมานานก็พลันย่นเข้าหากัน จมูกสูดดมฟึดฟัดอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าตนได้กลิ่นอาหารเป็นอย่างอื่นแทน
หากแต่ยังมิทันได้เฉียดเข้าใกล้อีกนิดเพื่อตรวจสอบดู ประตูก็กระแทกเปิดออกอย่างแรง
ร่างสูงโปร่งเกินสตรีทั่วไปของเจียงเยี่ยนฟางพลันขยับกายกลับไปที่ที่เพิ่งจะจากมา แม้เครื่องหัวจะหนักไม่ใช่เล่น แต่คนกลับว่องไวราวกับปีศาจในความมืด มือคว้าผ้าสีแดงที่ถอดทิ้งไว้บนเตียงกลับมาคลุมหน้าตามเดิม ก่อนทิ้งตัวนั่งลง คล้ายมิได้ขยับไปไหนมาก่อน
'ชินอ๋องผู้นี้ ชาวบ้านในตลาดต่างกล่าวว่า เขาคือเทพสงครามที่ฟ้าไม่เห็นใจ หลังกลับจากสงครามครั้งสุดท้ายที่ทำให้บ้านเมืองสงบก็ดันโชคร้ายตกจากหลังม้าจนขาพิการ นอกจากนั้นแล้ว... ตั้งแต่เอวลงไปก็ยังใช้การไม่ได้อีก มิหนำซ้ำยังมีพระชายารองที่รักใคร่กลมเกลียวอยู่แล้วนางหนึ่ง ชาตินี้ได้ตระบัดสัตย์รักมั่นเพียงนางต่อหน้าใต้หล้า มิตบแต่งผู้ใดเพิ่มอีก
เห็นได้ชัดว่าเขามิได้สนใจเรื่องแต่งงานในครั้งนี้ แต่เพราะมีพระราชโองการลงมา มิตบแต่งก็เดือดร้อน จึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนแต่งข้าเข้ามา เช่นนั้นก็ควรจะไม่เข้าห้องหอมิใช่หรือไร' เจียงเยี่ยนฟางบีบมือแน่น ต่อให้ใบหน้าของนางภายใต้ผ้าโปร่งสีแดงจะสงบนิ่งเพียงใด แต่อย่างไรก็กังวลอยู่ดี นึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ที่ทำให้นางเบาใจตกปากรับคำแต่งเข้ามา แต่ตอนนี้การกระทำของเขากลับสวนทางกับสิ่งที่นางเข้าใจมาตลอด
และแน่นอนว่านางมิได้คิดผิดว่าใครเป็นผู้มาเยือน ยืนยันได้จากเสียงล้อไม้ที่ลากไปกับพื้นมาตั้งแต่หน้าห้องหอ ก็บ่งบอกได้แล้วว่าเป็นเขาที่นางกำลังนึกถึงแน่ ๆ
"ท่านอ๋อง" เมื่อเสียงล้อลากนั้นหยุดลงตรงหน้านางแล้ว เจียงเยี่ยนฟางลุกขึ้นยืนผสานมือย่อตัวตามพิธี นางย่อมรู้นามและเรื่องราวคร่าว ๆ ของพระสวามีมาก่อน
เขาคือชินอ๋องแห่งแคว้นเฉิง เทพสงครามที่ชาวบ้านต่างยกย่อง นามเดิมคือ ลี่หยาง 'เซียวลี่หยาง' ภายหลังจากชนะศึกนับครั้งไม่ถ้วนฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงประทานนามให้ว่าซีฮัน [3] หากแต่นามเหล่านั้น นางจะเรียกได้หรือ ฟังจากน้ำเสียงเย็นชาของเขาในพิธีกราบไหว้ฟ้าดินก่อนหน้าแล้ว เจียงเยี่ยนฟางจึงทำได้เพียงเรียกเขาว่าท่านอ๋องเท่านั้น
"ออกไป"
น้ำเสียงเย็นเยียบที่นางจำได้ขึ้นใจพลันเอ่ยขึ้นขัดความเงียบงันภายในห้อง ดวงตาใสกระจ่างของเจียงเยี่ยนฟางมองผ่านผ้าแดงคลุมหน้าก็เห็นมือใหญ่ของอีกฝ่ายกำลังยกขึ้นเหนือบ่าของเจ้าตัวอยู่
"เพคะ" นางรับคำเสียงเบา ท่าทางย่อตัวจากลาทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน แต่ในใจกลับต่างออกไป 'เหอะ! ข้าอยากอยู่ตายแหละ งานแต่งครั้งนี้ท่านไม่ยินยอม แล้วคิดว่าข้าเต็มใจหรือ ต้องขอบคุณท่านที่ไล่ข้าไป ข้าเองก็แทบไม่อยากคิดถึงการนอนร่วมเตียงกับผู้อื่น!'
แต่ไม่ทันให้นางได้มีโอกาสก้าวขา บุรุษตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า!"
เจียงเยี่ยนฟางจึงชะงักอยู่ตรงนั้นตามเดิม รีบลดมือลงอย่างเชื่องช้าเพื่อแก้เก้อ หัวใจกระตุกเกร็งไปพร้อมกับเสียงเท้าของบ่าวที่พารถเข็นเข้ามาในคราแรกเดินจากไป ยิ่งเสียงปิดประตูนั้นก็คล้ายย้ำเตือนว่าหัวใจของนางยังเต้นแรงเฉกเช่นผู้อื่นเป็นด้วย
"ตระกูลเจียงไม่ได้บอกเจ้ารึไรว่าข้าเดินมิได้"
เจียงเยี่ยนฟางขบฟันแน่น รู้แน่ว่าน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยกับคำถามนั้นกำลังประชดประชันนางอยู่ นางจะมิรู้ได้อย่างไรว่าเขาเดินไม่ได้ ก็เห็น ๆ อยู่ว่าก่อนหน้านี้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป [4] นางเพิ่งจะโค้งคำนับฟ้าดินกับเขามา
แต่กราบไหว้ฟ้าดินอย่างไรถึงได้กราบไหว้กันสามคน! ด้วยคำอ้างที่ว่าเขาขยับเก้าอี้รถเข็นด้วยตัวเองได้ลำบาก จึงให้บ่าวชายคนหนึ่งคอยหันเก้าอี้รถเข็นไปทางนั้นทีทางนี้ที เพื่อทำพิธีกับนางให้ครบตามธรรมเนียม การกระทำแปลกประหลาดที่มองดูก็รู้ว่าไม่เต็มใจแต่งขนาดนี้ ผู้ใดเล่าจะลืมได้ลง!
แต่เรื่องเล่านั้นแน่นอนว่าต้องเก็บไว้ในใจ นางพยายามรักษาน้ำเสียงให้น่าฟังที่สุด ก่อนจะเอ่ยตอบเขาออกไป "หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ"
สตรีที่ดีควรอยู่เป็น เจียงเยี่ยนฟางควรจะเสริมอีกนิดว่า นางรู้อยู่แล้วและมิได้รังเกียจเขา ทั้งยังชมชอบในความสามารถของเขามานาน และยินดีเป็นพระชายาอีกคนของเขา
หากแต่นิสัยเดิมของนางหาใช่คนอ่อนหวานและโอนเอนตามแรงลมได้ตลอด ดังนั้นต่อให้รู้แล้วอย่างไร นาง ไม่ ทำ! แค่เสแสร้งย่อตัวทำความเคารพเขาอย่างลำบากเพื่อให้ดูน่ามองก็เหนือบ่ากว่าแรงแล้ว จะให้นางพยายามประจบเขาให้มากกว่านี้อีกก็คงเป็นไปได้ยาก
"ทราบแล้ว?" อีกฝ่ายถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อ "ทราบแล้ว แล้วยังมิมาปรนนิบัติข้าอีก หรือต้องให้บ่าวรับใช้ชายคนเมื่อครู่มาพาข้าเข้าห้องหอกับเจ้า!"
[1] หนิงเฉิง หมายถึง ความสำเร็จที่สงบสุข
[2] สารทฤดู หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง
[3] ซีฮัน หมายถึง เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่คอยคุ้มครองดูแล
[4] หนึ่งก้านธูป เทียบเวลาหนึ่งชั่วโมง
(ส่วนไหนที่คำแปลยาว ไรท์จะใส่ไว้ข้างล่างแทนเพื่อไม่ให้เสียรสชาติในการอ่านค่ะ แต่จะมีฉากหนึ่งของเล่มสามที่ยาวมาก ยังไงไงไรท์จะดูอีกทีนะคะว่าจะเสริมไปพร้อมกันเลยไหม)
ยามนี้ผ่านไปนานเกือบสิบเอ็ดปี จดหมายฉบับแรกนอกเหนือจากเงินที่เขาส่งมาให้ ก็คือเรียกข้ากลับไปแต่งงาน แต่ข้าไม่อยากแต่ง ข้ามีคนที่ข้ารัก...คนผู้นั้นเป็นเหมือนดั่งพี่ชายของข้า เป็นเหมือนดั่งสหายของข้า พวกเราเจอกันตั้งแต่ข้าอยู่ที่เมืองหลวง จนข้าจากไปไกลจึงทำได้เพียงเขียนจดหมายกลับไปหาเขา นับแต่นั้นมา ก็มีเขาที่ยังคอยห่วงหาข้าตลอด เราให้สัญญากัน ข้าเองก็รับปากแล้วว่าจะเป็นภรรยาของเขา" เวลามีเรื่องคิดไม่ตก เจียงเยี่ยนฟางมักจะติดนิสัยเดิม โดยชอบหยิบผ้าผูกผมที่ป้าซูทำให้มาจับเล่นอย่างเผลอตัว ในตอนนี้เองก็เช่นกันเสวี่ยหว่านมองตามมือของนางไปก็พบว่าสิ่งที่นางจับอยู่คือผ้าผูกผมรูปดอกไม้ที่มีปักลายเฉพาะ ผ้าผูกผมชิ้นนั้นดูไม่เข้ากับชุดที่เจียงเยี่ยนฟางขอสลับของนางไปใส่แม้แต่น้อย จังหวะต่อมาจึงเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายแล้วถาม "...แล้วคนผู้นั้นตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะไปแต่งงาน"เสวี่ยหว่านเป็นหมอยาพิษ การทำงานในจุดนี้ของนางย่อมพบเจอคนตายมาไม่น้อย จิตใจนับว่าด้านชาจนแทบไร้ความรู้สึก ยิ่งไม่สนใจเรื่องความรัก ยิ่งเมื่อได้ฟังก็เกิดสับสน บุรุษผู้นั้นดูแล้วน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าออกจวนขุนนางจ
เรื่องนี้เป็นความลับของนาง แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังคนที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งนางก็ทะนงตนว่า สตรีตัวเล็กเช่นคนตรงหน้าไม่มีทางทำอะไรตนเองได้ หรือต่อให้อีกฝ่ายเอาเรื่องนางไปป่าวประกาศบอกผู้อื่นจนนางเดือดร้อน นางก็คิดว่านางสามารถแบกรับไหว"!!!" สองคนในรถม้าต่างตกใจ คนที่จะทำงานด้านนี้ได้มือต้องแปดเปื้อนมาไม่น้อย แต่สตรีตรงหน้าถึงจะไม่ค่อยยิ้ม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับน่าฟัง ท่าทางไม่ถึงขั้นอ่อนหวานเหมือนสตรีที่ได้รับการอบรม แต่ท่าทางก็ดูนุ่มนวลไม่หยาบกระด้าง การพูดการจาก็ดูมีมารยาทไม่ทำตัวโผงผาง หากบอกว่าเป็นบุตรสาวตระกูลร่ำรวยพวกนางก็เชื่อ ไหนเลยจะถูกอีกฝ่ายใช้รูปลักษณ์ภายนอกมาตบตาเข้าให้แล้ว"คุณหนูทั้งสองไม่ต้องตกใจไป ผู้ที่มีบุญคุณ เสวี่ยหว่านผู้นี้ ย่อมไม่คิดร้ายด้วย อีกทั้งก็เป็นเพียงผู้ทำยาพิษและยาแก้พิษ ไม่ใช่ผู้ใช้พิษเสียหน่อย" เรื่องหลังนั้น... แน่นอนว่า ย่อมโกหกไปเจ็ดส่วน!อีกสองสามวันต่อมา เสวี่ยหว่านผู้นี้ก็ไม่ยอมจากไปเสียที จนซูเจียวเริ่มทนไม่ไหว ในตอนที่อยู่บนรถม้าก่อนจะลงไปเช่าโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านกวนพักผ่อน นางก็เอ่ยปากถามด้วยตนเอง"พี่เสวี่ยหว่าน ท่านคิดจะไปที่ใดกันแน
"เป็นคน เมื่อครู่ ข้ามั่นใจ!" เจียงเยี่ยนฟางตะโกนบอกไประหว่างทาง ดวงตาจ้องมองมือที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงสองครั้งแล้วจมหายไป แต่ใต้ผืนน้ำที่ไหลแรงก็ยังพอมองเห็นเงาร่างสีม่วงเข้มได้เลือนราง"คน? คนอะไรไปอยู่... ไม่ ๆ ๆ คนที่ไหนจะโดนน้ำพัดขนาดนี้แล้วยังรอด คุณหนู อย่า ไม่!" ซูเจียวเพิ่งจะรู้สึกไปเมื่อครู่เองว่า สายน้ำเส้นนี้นั้นไหลแรงเกินไปจนน่ากลัวไม่อยากเข้าใกล้ และไม่อยากแม้แต่จะข้ามสะพานไม้นั้นอีกรอบอยู่เลย แต่คุณหนูของนางพูดแค่ 'เป็นคน' แล้วก็กระโจนลงน้ำไปได้อย่างไร!ซูเจียววิ่งตามไปหยุดอยู่ตรงจุดที่เจียงเยี่ยนฟางเพิ่งจะกระโดดลงไปเมื่อครู่ "คุณหนู คุณหนู!" นางตะโกนหาอีกฝ่ายพร้อมดวงตาก็กวาดมองไปทั่วผืนน้ำ หัวใจเต้นไม่หยุดด้วยความกลัว ถึงแม้นางจะบอกว่าตนไม่ค่อยชอบเจียงเยี่ยนฟางเพราะรู้สึกว่าตนอยู่ต่ำกว่าเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันแห่งความเป็นความตาย นางกลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่โตมาด้วยกันอย่างน่าประหลาดซูเจียวถอดรองเท้าและเสื้อตัวนอกออก หวังกระโดดลงน้ำไปดึงเจียงเยี่ยนฟางขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกออกอยู่นั้น ก็ไม่หยุดสายตาสอดส่องมองหาคนไปทั่วผืนน้ำแต่ไม่ทันที่นางจะกระโดดลงไป
บทที่ 17วาสนาได้พานพบผู้มีบุญคุณเพียงชั่วครู่สารทฤดูเริ่มต้นไปได้ครึ่งทางแล้ว ใบไม้รอบด้านเริ่มเปลี่ยนสียามเมื่อออกเดินทางเวลานี้ ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่จะได้ชื่นชมธรรมชาติไปในตัวแต่คนบนรถม้าคันหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกลับดูเป็นกังวลไม่น้อย"คุณหนู ท่านจะแต่งเข้าจวนอ๋องจริงหรือเจ้าคะ" ซูเจียวนั่งอยู่บนพื้นของรถม้าก็เอ่ยถามสตรีอีกคนที่นั่งอยู่บนเบาะ ที่ผ่านมาตัวนางถูกเลี้ยงดูมากับสตรีตรงหน้า อยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กที่เมืองลี่เจียง ดุจดั่งเป็นครอบครัวเดียวกันทว่าตั้งแต่เยาว์วัย มารดาของนางชอบบังคับให้นางเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหนูอยู่ตลอด คราแรกนางไม่เข้าใจ และทุกครั้งที่ตีตัวเสมอเจียงเยี่ยนฟาง นางก็จะถูกมารดาดุด่าเป็นประจำ ตักเตือนให้นางนอบน้อมกับเจียงเยี่ยนฟางให้มากหน่อย นางก็ต้องทำโดยไม่สามารถอิดออดได้ ทั้งที่เจียงเยี่ยนฟางก็ถูกมารดาใช้งานหนักพอ ๆ กัน ไม่เคยปล่อยปละละเลยให้อีกฝ่ายทำเพียงแค่นอนและกินเหมือนคุณหนูจริง ๆ ต่างต้องทำงานทุกอย่างให้เป็นกระทั่งไม่กี่วันก่อนคุณหนูของนางได้รับจดหมายจากบิดาที่ทอดทิ้งตัวเองไปนาน เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อแต่งงานเข้าจวนชินอ๋อง!ชินอ๋อง
เจียงเยี่ยนฟางกลับมายังร้านน้ำชาอีกครั้งพร้อมถุงซาลาเปาในมือ คนที่รอนางอยู่ก็ได้ย้ายตัวเองไปบนรถม้าอยู่ก่อนแล้ว พอนางมาถึง บรรยากาศก็ผิดแผกไปอย่างเห็นได้ชัด เซียวลี่หยางไม่พูดไม่จาอันใดแม้ครึ่งคำแต่...ไม่พูดไม่จาก็แล้วไปเถิด นางอาจมาช้าทำให้เขารอนานจนเกิดไม่พอใจขึ้นมา เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้ ทว่าแววตารังเกียจที่เหมือนคราแรกพานพบกันในห้องหอนั้น กลับมาปรากฏบนสายตาเขาอีกครั้งนี่สิ นางถึงได้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาคนผู้นี้เช้าเป็นอย่าง ดวงตะวันคล้อยบ่ายก็เป็นอีกอย่าง นางคาดเดาเขาไม่ได้เลยยามเมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว คนในรถม้าที่นั่งมากับนางนานสองนานก็ไม่รอให้นางออกไปก่อน เขารีบเรียกหงเปามาพาตัวเองเข็นรถลงไปทันทีที่รถม้าหยุดลง ประหนึ่งว่าไม่อยากใช้ลมหายใจในรถม้าร่วมกับนางนานกว่านี้ จึงทิ้งนางไว้เบื้องหลังไม่ใส่ใจ"เมื่อเช้ายังไปด้วยกันดี ๆ อยู่เลย ยามนี้ท่านอ๋องเหมือนจะกำลังไม่พอใจอยู่..." สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลก็พากันซุบซิบนินทา คิดว่าระยะขนาดนี้พระชายาเจียงน่าจะไม่ได้ยิน"แปลกอันใดกัน ที่ผ่านมาท่านอ๋องกับพระชายากู่ที่มักตัวติดกันตลอด แต่ท่านอ๋องก็นิ่งสงบปานท่อนไม้ขนาดนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหม
"เร็วหน่อยก็ดี แล้วเร็วที่สุดของเถ้าแก่ราวกี่วัน""สองชิ้นก็เจ็ดวัน ข้าจะหาช่างฝีมือสองคนทำก็แล้วกัน จะได้รอไม่นานเกินนี้""เงินในถุงพอค่ามัดจำหรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางหันมองถุงเงินที่หายไปอยู่ในมือเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้"พอ ๆ ๆ ๆ แม่นาง...อยากเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ แจ้งมาได้เลย" เถ้าแก่พอได้จับถุงเงินแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นอีกห้าส่วน ดวงตาสะท้อนไปด้วยเงินทองอยู่ภายใน"เถ้าแก่จัดการได้เลย อีกเจ็ดวันข้าจะมารับ" เจียงเยี่ยนฟางกล่าวเสร็จก็เตรียมจากไป"แม่นางเดินทางปลอดภัย" เถ้าแก่ร้านมีท่าทีกระตือรือร้นกว่าตอนแรกที่เจียงเยี่ยนฟางเข้ามามากนัก ถึงขั้นเดินออกมาส่งด้วยตัวเองเจียงเยี่ยนฟางพอออกมาจากร้านเครื่องประดับแล้วก็ยังคงแวะไปอีกหลายแห่งเพื่อสั่งของที่นางอยากได้ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับแผงลอยข้างทางร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เน้นไปทางเชือกผูกผมกับปิ่นที่ทำมาจากไม้ หากแต่สิ่งที่สะดุดตานางมากที่สุดไม่ใช่ผ้าไหมซึ่งถูกทออย่างประณีต แต่เป็นลายปักบนผ้าผูกผมอันแสนคุ้นตานั่นต่างหาก"คุณหนู สนใจผ้าผูกผมสักชิ้นหรือไม่ ลองดูก่อนได้ ไม่เสียหายอะไร"เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ค