LOGIN"อะแฮ่ม" เถ้าแก่กระแอมไอ ด้วยนิสัยเดิมขี้คุยโวโอ้อวด การที่คุยแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นร้านผ้าขึ้นชื่อที่เหล่าสนมชื่นชอบผ้าร้านเขาขนาดไหน ทำให้หลงลืมไปแล้วว่าแม่นางตรงหน้ากำลังรีบร้อนอยู่ "ระหว่างทางคนของพระสนมที่นำทางให้ข้าก็ดันปวดท้องเข้าห้องน้ำ จึงให้ข้ายืนรอก่อน แต่ขันทีผู้ดูแลวังในที่ผ่านมาพอดีก็กลับเข้าใจผิด เขาเจอข้าเข้าและคิดว่าข้านำผ้าอีกส่วนมาส่งตามวันที่ได้นัดหมายกัน ข้าเองก็เข้าใจผิดไปในตอนแรก คิดว่าเขาจะนำทางข้าเอาผ้าไปเก็บในคลังของพระสนมพระนางนั้น แต่เขากลับพาไปที่คลังเก็บผ้าของของวังหลวงแทน สิ่งที่ข้าเจอในห้องเก็บผ้าของวังหลวงก็คือผ้าจากแคว้นจ้าว! ผู้ดูแลเห็นข้ามองอย่างสนใจก็ยิ้มเยาะข้า! เหอะ! ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่... "
"..." เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองนิ่ง เขาคิดจะออกนอกเรื่องอีกแล้ว?
เถ้าแก่ถูกสายตาด่าแทนการพูดส่งมาถึง ก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อน กลับเข้าเรื่องสำคัญต่อ "อะแฮ่ม ขันทีผู้ดูแลก็เลยบอกว่า แคว้นจ้าวเพิ่งนำมาส่งมอบเป็นของบรรณาการเมื่อหกวันก่อน แต่เหมือนฮ่องเต้ดูจะไม่ทรงชอบสีและลวดลาย จึงให้จัดไว้ในคลังผ้าสำหรับตัดเย็บให้คนในวังทั่วไป..." เถ้าแก่มองซ้ายมองขวาเหมือนระวัง ทั้งที่ในห้องมีกันแค่สองคน เขาขยับเข้าไปด้านหน้าอีกนิด เอาหลังมือป้องปากกระซิบเสียงเบากว่าเดิมว่า "คนเล่าลือกันว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงเอาแต่ใจ หากมีคนบอกว่าม้าของแคว้นซ่งองอาจและสง่างามกว่าของแคว้นตน พระองค์ก็จะรู้สึกด้อยกว่า ปีก่อนที่ได้ม้าจากแคว้นซ่งมาเป็นของบรรณาการ ไม่นานม้าก็ตายยกคอก ถูกไฟเผาทั้งเป็น
ดังนั้นพอแคว้นจ้าวที่มีดีด้านการทอผ้าได้ส่งผ้าชั้นดีที่ใช้ได้แค่ในราชวงศ์เท่านั้นมาให้ ฮ่องเต้ก็ไม่ใส่ใจ สั่งคนเก็บเข้าคลังไปทั้งหมด คงเพราะก่อนหน้านี้ทรงได้ยินข่าวเรื่องผ้าของแคว้นจ้าวเป็นที่เรื่องลือมาไม่ผิดแน่ ถึงได้ทิ้งได้แม้กระทั่งผ้าที่งดงามขนาดนั้น แถมผ้าที่ถูกส่งมาขันทีผู้นั้นยังบอกอีกว่าเป็นผ้าที่ถูกทอเป็นสีพิเศษเพื่อส่งมาให้ฮ่องเต้โดยเฉพาะด้วย เฮ่อ... ผ้าชั้นดีกลับถูกทิ้งไว้ในคลังให้เน่าเปื่อย น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย..."
เถ้าแก่รำพึงรำพันเสร็จก็เพิ่งจะนึกได้ว่าผ้าที่ตนเพิ่งบอกว่าเป็นของหายาก ดันตกมาอยู่ในมือของสตรีที่แต่งตัวธรรมดา มิหนำซ้ำยังปิดหน้าปิดตา แถมผ้าก็คล้ายถูกเฉือนด้วยของมีคมขาดออกมาอย่างไร้แบบแผน นอกเหนือจากนั้นผ้าชิ้นนี้ก็ยังถูกย้อมเป็นสีอื่นไปแล้วด้วยรอบหนึ่ง
เถ้าแก่ที่คราแรกถูกกลิ่นหอมของเงินทำให้เลอะเลือนไปก็เพิ่งจะได้สติขึ้นมา ณ ตอนนี้นี่เอง จึงรีบร้อนจะส่งแม่นางตรงหน้าให้จากไป "แม่นางได้ไขข้อสงสัยแล้วก็รีบไปเถิด เมื่อครู่ท่านดูเหมือนมีเรื่องต้องไปทำนี่ เชิญ เชิญ ๆ"
เจียงเยี่ยนฟางพอถูกเชิญออกมาแล้วก็ไปนั่งพักที่ร้านน้ำชากลางเมือง ซึ่งเป็นร้านเดิมกับที่นางเคยมานั่งหลังจากรอนแรมมาไกลเพื่อมาเข้าพิธีมงคลกับเจ้าบ่าวที่ตนไม่เคยเห็นหน้า ซึ่งนางได้แวะพักที่นี่ก่อนจะเดินทางกลับจวนตระกูลเจียงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ร้านน้ำชาแห่งนี้เป็นร้านแบบปิด แม้ว่าจะเป็นในยามเช้า ด้านในก็ยังต้องจุดโคมส่องสว่างไว้ตลอดเวลา บรรยากาศคล้ายหอนางโรม คล้ายเหล่าสุรา ทว่ากลับขายเพียงแค่ชาและเป็นสถานที่ไว้ตั้งงานศิลปะแสดงให้ดูเท่านั้น แต่ค่าน้ำชาที่นี่นั้นก็ไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้เช่นเดียวกันกับความโอ่อ่าของมัน
ครั้งนี้นางเลือกที่นั่งชั้นบนแทน เพราะคิดว่าด้านล่างคงมีเพียงชาวบ้านทั่วไปที่พอจะมีเงินทองเท่านั้น ข่าวคราวก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก และก็เหมือนว่านางจะมีโชคด้านการสืบข่าวไม่น้อย ยังคิดอยู่ว่าหากเรื่องที่ค้างคาในใจสำเร็จลุล่วงไปแล้ว หากนางผันตัวไปทำหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองก็คงจะเหมาะ!
เพราะเวลานี้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดถึงเรื่องที่นางต้องการจะฟังพอดี
"ขุนนางเจียงส่งบุตรสาวที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนไปเป็นพระชายาในจวนชินอ๋อง บิดาข้าบอกว่ายามนั้นฮ่องเต้กลับไม่ได้ตรัสสิ่งใดสักคำ" บุรุษข้างห้องเอ่ยถึงเรื่องที่ได้ยินจากบิดาให้คนในกลุ่มฟัง
เจียงเยี่ยนฟางได้ทีจึงขยับเก้าอี้ไปนั่งติดผนังฝั่งที่ติดกับเสียงคนพวกนั้น นางลงทุนจ่ายเงินหลายตำลึงเพื่อการนี้ ต้องใช้ห้องนี้ให้คุ้มค่าถึงจะถูก และเพราะยกโต๊ะกลมตัวใหญ่กลางห้องมาด้วยไม่ได้ นางจึงใช้เก้าอี้อีกตัวมาวางกาน้ำชาและจอกชาของตนเองแทน ก็แก้ขัดไปได้เหมือนกัน
ซ้ำยังมั่นใจไปแล้วเก้าในสิบส่วนว่า ข้างห้องคงมีบิดาเป็นขุนนางที่มีอำนาจใหญ่โตเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาเรื่องของราชวงศ์มาพูดถึงอย่างเสียงดังไม่กลัวหัวหลุดออกจากบ่าขนาดนี้
"ตอนแรกยังคิดว่าฮ่องเต้จะมีสิ่งใดต้องการ ที่แท้ก็แค่อยากทำให้จวนอ๋องวุ่นวายไปช่วงหนึ่งก็เท่านั้น ขุนนางเจียงก็วิ่งวุ่นไปด้วย เพราะจู่ ๆ ก็ถูกฮ่องเต้หาเรื่องมาให้จัดการ"
"คุณหนูใหญ่เจียงที่โผล่มากะทันหัน ก็ไม่รู้ว่าถูกเลี้ยงดูอบรมมาอย่างไร แต่จากที่ชินอ๋องประกาศลั่นวาจาไปนานแล้วว่าจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก ดูท่าแล้วคุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้คงลำบากไม่น้อย"
"หึ เช่นนั้นมิสู้เรามาพนันกันหน่อยเป็นอย่างไร ว่าคุณหนูใหญ่เจียงจะถูกชินอ๋องโยนออกมาจากจวนเมื่อไร"
ไม่มีใครไม่รู้ถึงอำนาจในกาลก่อนของชินอ๋อง ก่อนที่พระองค์จะถอนตัวออกมาจากวังหลวง ต่างเข้มงวดและเป็นที่เคารพยำเกรง อำนาจทางการทหารล้นมือ และแม้ยามนี้ถึงเจ้าตัวจะพิการ ไม่มีเค้าโครงเทพสงครามดั่งวันวาน ดูคล้ายบัณทิตคงแก่เรียนมากกว่า แต่ความเด็ดขาดก็ยังคงอยู่ ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เอง ฮ่องเต้ก็เคยพระราชทานมงคลสมรสไปให้อยู่สามสี่ครั้ง แต่ก็ถูกชินอ๋องต่อต้านเรื่อยมา ดังนั้นไม่แปลกที่ชินอ๋องจะทำเรื่องอย่างเช่นการไล่พระชายาพระราชทานออกมาโดยไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะทรงพิโรธหรือไม่
แม้นช่วงสองสามปีก่อนยังจะยังมีข่าวลือออกมาตลอดว่าชินอ๋องผู้นี้แต่งงานทีไร เจ้าสาวมีอันเป็นไปทุกที จากเทพสงครามกลับกลายเป็นเทพมารแห่งความตาย เป็นผีสามีกลืนกินเจ้าสาว แต่พอตบแต่งกู่เยว่ชิงที่ตนหมายปองแล้ว หลังจากนั้นข่าวลือก็จางหายไป พาให้ผู้คนที่มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละวันต่างก็หลงลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปแล้ว
อีกทั้งครานี้คุณหนูใหญ่เจียงก็ยังปกติสุขดี สามารถแต่งชุดแดงก้าวข้ามผ่านธรณีประตูของจวนชินอ๋องได้สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาเลยไม่กล่าวถึงชื่อเรียกอีกฝ่ายที่ว่าเทพมารแห่งความตายอีกเลย
แต่เรื่องตระบัดสัตย์รักมั่นสตรีนางเดียวกลับยังคงจดจำได้ไม่ลืม หรือไม่ก็คงไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยปล่อยข่าวเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ จนมันฝังเข้าไปในหัวของพวกเขา เวลานี้จึงนึกสนุก หวังเอาเรื่องเดือดร้อนของผู้อื่นมาเดิมพัน
"ข้าเอาด้วย!" คนแรกที่เห็นด้วยก็เริ่มวางเดิมพันแล้ว ถุงเงินหนัก ๆ ถูกปาลงบนโต๊ะอย่างแรง
ปัง!
ทว่าจังหวะเดียวกันนั้น เสียงตบโต๊ะก็ดังขึ้นตามมาติด ๆ กัน
บทที่ 50หัวใจเคียงข้าง ตัวข้าเคียงกายท่านเมฆคล้อยเคลื่อนตามลมเปลี่ยนรูปร่างไม่ซ้ำแบบในความทรงจำ สุริยันหมุนเวียน ทิวาก็ต่างไม่เคยหยุดอยู่ที่เดิมคงมีเพียงป่าอันเงียบสงบแห่งนี้ที่ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ไม่ว่าจะตั้งแต่ที่นางมาถึงในช่วงวสันตฤดู สาร์ทฤดู หรือกระทั่งยามนี้ที่เหมันต์ฤดูมาเยือน ล้วนคล้ายคลึงกันหมด เพียงแค่อาจจะมีดอกไม้มากหน่อยเป็นบางครั้ง หรือหนาวกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้นอีกอย่างไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูล ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าย่างกรายเข้ามาในนี้ สมุนไพรที่หายากจึงไม่ถูกแย่งไป แถมนางเองก็ไม่ถูกรบกวนอีกด้วย การเลือกปักหลักที่นี่จึงเป็นสิ่งที่นางภาคภูมิใจมากในช่วงนี้จนกระทั่งเส้นทางแต่เดิมที่เคยมีแค่นางย่างก้าวเดินเพียงลำพัง กลับปรากฏเงาร่างที่คุ้นเคยขึ้นมาคราแรกนางแปลกใจ แววตาหยุดนิ่งที่แผ่นหลังเหยียดตรงอันคุ้นเคย หากแต่เมื่อหัวใจที่หยุดเต้นไปแล้วส่งเสียงโครมครามอย่างตื่นเต้นดีใจออกมา ก็ทำให้นางเข้าใจว่า ตรงหน้านั่นคือความจริง หาใช่แบบที่ผ่านมา ที่คนผู้นั้นได้แต่อยู่ในฝันของนางเสวี่ยหว่านยกมือดึงหมวกสานที่สวมอยู่ลง โค้มตัวต่ำลงอีกนิด ดัดเสียงให้เป็นชายแก่ชรา เอ
"ไม่ต้องตกใจ... ข้าไม่ได้จะไปแจ้งทางการ อย่างไรเสียยาพิษที่เจ้าได้ไปก็เป็นข้าเองที่ทำขึ้นมา ก่อนหน้านี้ข้าได้มอบมันให้คุณหนูเจียงไป หากเรื่องนี้รู้ถึงหูผู้อื่นก็คงเป็นข้าที่ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน" เสวี่ยหว่านหลอกล่อนางให้ตายใจ แม้นในความจริงก็คิดจะทำอย่างที่พูดอยู่แล้วฉือเหยียนเองก็คิดว่าตนนั้นไม่มีอะไรให้ต้องเสียอีกแล้วเหมือนกัน หลังจากล้างแค้นได้แล้ว ก็เหลือเพียงนางตัวคนเดียว ยังคิดจะจบชีวิตอยู่หลายครั้งแล้ว ดังนั้นจึงยอมเล่าออกมาหมดทุกเรื่อง"ในปีนั้นฟู่ฮูหยินกลับบ้านเดิม แต่ใต้เท้าเจียงไม่สามารถตามติดนางไปได้ อ้างว่าเพราะทางวังหลวงมีเรื่องให้ใต้เท้าเจียงต้องจัดการอยู่ แต่ใครจะคิดว่านั่นเป็นแผนของเขาที่หวังจะจับบุตรสาวของข้าทำสาวใช้อุ่นเตียง คืนนั้นเขาแสร้งเมามาย ใช้บุตรสาวของข้าเป็นที่ระบายอารมณ์จนต่อมานางก็ตั้งท้อง สตรีโฉดชั่วผู้นั้นจึงทุบตีนางจนแท้ง และเพราะเลือดนางไหลไม่หยุด บุตรสาวที่น่าสงสารของข้าก็สิ้นลมหายใจ เวลานั้นข้ายังเหลือสามีอยู่เคียงข้าง ทำให้พอยังทนแบกรับเรื่องราวได้ไหวแต่ไม่กี่เดือนก่อนเขาก็ถูกใช้ให้ไปรับคุณหนูใหญ่เจียงกลับมา ข้าทนรออยู่ที่จวนไม่ไหวเพราะรู้สึกใจไ
เซียวลี่หยางเลือกเดินลึกเข้าไปอีกนิด ด้วยคิดว่าน่าจะเป็นทางนี้มากกว่า เพราะได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากที่ไกล ๆ หากมีคนอยู่ ผู้คนมักต้องการน้ำเป็นอย่างแรก"เส้นทางรกร้างถึงขนาดนี้ คนหนุ่มเช่นเจ้าคงไม่กลัวตาย ถึงได้กล้าเดินไปทั่ว" เสียงของชายชราดังขึ้นข้างหลังเซียวลี่หยางหันไปมองก็พบชายแก่คนหนึ่งเดินถือไม้เท้าเข้ามาหา รอบกายปกคลุมด้วยผ้าผืนเก่าสีน้ำตาลเข้ม สวมหมวกฟางปีกกว้าง บนหลังยังมีตะกร้าสานใบหนึ่ง ด้วยความแก่ชราอีกฝ่ายจึงโน้มตัวด้านหน้าไม่อาจยืนหลังได้ตรง ทำให้เซียวลี่หยางมองเห็นได้ว่าในตะกร้าบนหลังของเจ้าตัวนั้นต่างเต็มไปด้วยใบไม้รูปร่างแปลกตา"ท่านเองก็อายุมากแล้ว ยังใจกล้าเข้ามาถึงในนี้ เกรงว่าคงไม่กลัวตายเช่นกัน" เซียวลี่หยางระบายยิ้มละมุนที่มุมปาก༻❁༺หลายเดือนก่อนหลังจากหนีลงเขามาได้ เสวี่ยหว่านก็เดินทางกลับไปทำสิ่งที่ได้เคยสัญญาไว้แรกเริ่มเดิมที นางคิดว่าอาจจะสามารถนำป้ายชื่อของคุณหนูเจียงกลับไปตั้งในตระกูลได้ ทว่าจวนแห่งนั้นก็ไม่หลงเหลือใครอีกแล้ว ตระกูลเจียงที่เคยเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ ต่างก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ เหลือเพียงชื่อไว้ให้ผู้คนพูดถึงแค่อีกไม่กี่ปีก็ลืมเลือนนางจึง
บทที่ 49เหนือสุดใต้หล้า จรดธาราแดนใต้ข้าจะตามหาเจ้าให้พบหากเป็นคนทั่วไปมาอ้อนวอนขอขึ้นหุบเขา ลั่วหวางเจียที่เป็นถึงเจ้าอารามคงไม่ดั้นด้นลงมาด้วยตนเอง แต่เมื่อลูกศิษย์แจ้งว่าคนด้านล่างหุบเขามาตามหาใคร ตัวเขาเองก็อยากจะดูหน้าตาของคนที่มาตามหาสตรีผู้นั้นยิ่งนักพอลงเขามาแล้ว ลั่วหวางเจียก็มองคนตรงหน้าตนเอง ผู้ที่ควรตายไปแล้วเวลานี้ก็กลับมามีชีวิตอยู่ได้ ฝีมือของเจียงเยี่ยนฟางช่างไม่ธรรมดา สมแล้วที่นางเอาแต่เฝ้าดูแลข้างกายไม่ห่าง แม้นตนเองบาดเจ็บภายในจวนเจียนจะตายก็ยังกัดฟันทนอยู่หลายวันด้านเซียวลี่หยางที่ออกเดินทางมายังหุบเขาเซียนกู่เป็นที่แรก หมายจะบุกขึ้นไปแต่ก็ไม่อาจทำได้ เวลานี้ก็เอียงหูฟังเสียงกระซิบจากเติ้งอู๋ ทำให้ได้รู้ที่มาที่ไปของคนตรงหน้า "ท่านเจ้าอาราม ก่อนหน้านี้ข้าน้อยตื่นมาไม่รู้เรื่องราวที่แน่ชัดในตอนที่หลับไป เพิ่งได้มาทราบเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าท่านเองก็เป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง""วกไปวนมาทำไม นางจากไปแล้ว!" ลั่วหวางเจียไม่คิดจะถามหาคำขอบคุณหรือของตอบแทน ต่างก็ตรงเข้าเรื่องเลยทันที แถมยังสะบัดมืออย่างหงุดหงิด ก่อนจะเก็บมือไพล่ไว้ด้านหลัง ยืดอกขึ้นให้ดูสง่างาม เห็นอีกฝ่าย
เมื่อกลับมาแล้วเซียวลี่หยางก็รื้อค้นของในห้องอย่างบ้าคลั่ง ไม่ลืมสั่งให้คนช่วยตามเก็บของที่เขารื้อทีละชิ้นให้กลับไปอยู่ที่เดิมอีกด้วยกระทั่งผ่านไปสักพักใหญ่เขาถึงเจอสิ่งที่ต้องการ ไม่รีรอก็รีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกลางห้องซึ่งได้ให้เติ้งอู๋เตรียมน้ำร้อนไว้รออยู่แล้วในวันนั้นที่หิมะตกหนัก เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองเขาปั้นชาเป็นก้อนโดยไม่คิดจะหลบซ่อนสายตา นางเอ่ยว่า 'ชาดอกไม้เมื่อนำไปตากให้แห้งแล้ว ภายหลังนำกลับมาแช่น้ำก็จะเบ่งบานดูสวยงาม ช่วงเวลานี้ข้างนอกหิมะตกหนัก ใช้การรมความร้อนเพื่อให้แห้งก็ถือว่าแก้ขัดได้อยู่ แต่ข้ามีเรื่องน่าสนใจยิ่งกว่า ท่านดูนี่' ในมือของนางประคองกระดาษแผ่นเล็กที่คล้ายจดหมายลับเอาไว้ พลางยื่นมือส่งมาให้เขาดู'ก็แค่กระดาษเปล่า''ชินอ๋องผู้มากความรู้อย่างท่านยังดูไม่ออก เช่นนั้นก็ถือว่าเรื่องนี้เป็นข้าคนแรกที่เพิ่งค้นพบ' เจียงเยี่ยนฟางหยิบตะกร้าสมุนไพรแห้งตัวหนึ่งมาชูให้เขาดูอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหย่อนลงในจอกชาร้อน ๆ ที่อยู่ข้างกาย 'มีครั้งหนึ่งตอนที่ข้าบดสมุนไพรตัวหนึ่งเสร็จแล้วก็นำไปวางไว้บนผ้าลองสำหรับตาก จากนั้นผ้าก็เกิดสีตามมาซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่นานมันก็จางหา
บทที่ 48ทุกวัน ล้วนคิดถึงนางเมื่อเดือนสองย่างเข้ามา ฤดูหนาวก็ใกล้ผ่านพ้นไปแล้ว อากาศข้างนอกเริ่มอุ่นขึ้นอีกนิด อิงฮวา [1] เริ่มแย้มบานต้อนรับแสงของวันใหม่เซียวลี่หยางตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องโล่งและไม่คุ้นตา ขาและแขนต่างขยับไม่ได้ ล้วนถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลที่ค่อนข้างใหม่คล้ายว่าเพิ่งจะถูกเปลี่ยนไป"ท่านอ๋อง!?" เติ้งอู๋ที่ถือยาเข้ามาเกือบจะทำชามยาร่วงลงไปจากมือ เขารีบเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายอีกฝ่าย สมองยังนึกว่าตาฝันกลางวันอยู่"..." เซียวลี่หยางกลับหลับตาลงร้องไห้ออกมาเป็นสิ่งแรก เพราะนึกได้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง เสียงร้องของเขาเงียบงัน แต่ทำให้ผู้มองรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ไหล่ไหวโคลงระรัวคล้ายคลื่นน้ำอันเปราะบาง'เจียงเยี่ยนฟางไม่อยู่แล้ว' สิ่งนี้กลับเอาแต่ย้ำเตือนอยู่ในใจทั้งที่นางตายไปแล้ว แต่ตอนที่เขากำลังเดินอยู่บนเส้นทางสีดำซึ่งทอดยาวแสนไกล เขากลับได้ยินนางเรียกเขาให้กลับมาทว่าหากเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว สตรีผู้นั้นกลับไม่ได้อยู่ข้างกายเขาอย่างที่นางรับปากในฝันอีกต่อไปวันเวลาจากนั้นราวกับอยู่ไปเหมือนคนตาย จวบจนปลายคิมหันต์ฤดู [2] เซียวลี่หยางก็กลับมาเดินได้อีกครั้ง แขนขาขยั







