"อะแฮ่ม" เถ้าแก่กระแอมไอ ด้วยนิสัยเดิมขี้คุยโวโอ้อวด การที่คุยแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นร้านผ้าขึ้นชื่อที่เหล่าสนมชื่นชอบผ้าร้านเขาขนาดไหน ทำให้หลงลืมไปแล้วว่าแม่นางตรงหน้ากำลังรีบร้อนอยู่ "ระหว่างทางคนของพระสนมที่นำทางให้ข้าก็ดันปวดท้องเข้าห้องน้ำ จึงให้ข้ายืนรอก่อน แต่ขันทีผู้ดูแลวังในที่ผ่านมาพอดีก็กลับเข้าใจผิด เขาเจอข้าเข้าและคิดว่าข้านำผ้าอีกส่วนมาส่งตามวันที่ได้นัดหมายกัน ข้าเองก็เข้าใจผิดไปในตอนแรก คิดว่าเขาจะนำทางข้าเอาผ้าไปเก็บในคลังของพระสนมพระนางนั้น แต่เขากลับพาไปที่คลังเก็บผ้าของของวังหลวงแทน สิ่งที่ข้าเจอในห้องเก็บผ้าของวังหลวงก็คือผ้าจากแคว้นจ้าว! ผู้ดูแลเห็นข้ามองอย่างสนใจก็ยิ้มเยาะข้า! เหอะ! ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่... "
"..." เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองนิ่ง เขาคิดจะออกนอกเรื่องอีกแล้ว?
เถ้าแก่ถูกสายตาด่าแทนการพูดส่งมาถึง ก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อน กลับเข้าเรื่องสำคัญต่อ "อะแฮ่ม ขันทีผู้ดูแลก็เลยบอกว่า แคว้นจ้าวเพิ่งนำมาส่งมอบเป็นของบรรณาการเมื่อหกวันก่อน แต่เหมือนฮ่องเต้ดูจะไม่ทรงชอบสีและลวดลาย จึงให้จัดไว้ในคลังผ้าสำหรับตัดเย็บให้คนในวังทั่วไป..." เถ้าแก่มองซ้ายมองขวาเหมือนระวัง ทั้งที่ในห้องมีกันแค่สองคน เขาขยับเข้าไปด้านหน้าอีกนิด เอาหลังมือป้องปากกระซิบเสียงเบากว่าเดิมว่า "คนเล่าลือกันว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงเอาแต่ใจ หากมีคนบอกว่าม้าของแคว้นซ่งองอาจและสง่างามกว่าของแคว้นตน พระองค์ก็จะรู้สึกด้อยกว่า ปีก่อนที่ได้ม้าจากแคว้นซ่งมาเป็นของบรรณาการ ไม่นานม้าก็ตายยกคอก ถูกไฟเผาทั้งเป็น
ดังนั้นพอแคว้นจ้าวที่มีดีด้านการทอผ้าได้ส่งผ้าชั้นดีที่ใช้ได้แค่ในราชวงศ์เท่านั้นมาให้ ฮ่องเต้ก็ไม่ใส่ใจ สั่งคนเก็บเข้าคลังไปทั้งหมด คงเพราะก่อนหน้านี้ทรงได้ยินข่าวเรื่องผ้าของแคว้นจ้าวเป็นที่เรื่องลือมาไม่ผิดแน่ ถึงได้ทิ้งได้แม้กระทั่งผ้าที่งดงามขนาดนั้น แถมผ้าที่ถูกส่งมาขันทีผู้นั้นยังบอกอีกว่าเป็นผ้าที่ถูกทอเป็นสีพิเศษเพื่อส่งมาให้ฮ่องเต้โดยเฉพาะด้วย เฮ่อ... ผ้าชั้นดีกลับถูกทิ้งไว้ในคลังให้เน่าเปื่อย น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย..."
เถ้าแก่รำพึงรำพันเสร็จก็เพิ่งจะนึกได้ว่าผ้าที่ตนเพิ่งบอกว่าเป็นของหายาก ดันตกมาอยู่ในมือของสตรีที่แต่งตัวธรรมดา มิหนำซ้ำยังปิดหน้าปิดตา แถมผ้าก็คล้ายถูกเฉือนด้วยของมีคมขาดออกมาอย่างไร้แบบแผน นอกเหนือจากนั้นผ้าชิ้นนี้ก็ยังถูกย้อมเป็นสีอื่นไปแล้วด้วยรอบหนึ่ง
เถ้าแก่ที่คราแรกถูกกลิ่นหอมของเงินทำให้เลอะเลือนไปก็เพิ่งจะได้สติขึ้นมา ณ ตอนนี้นี่เอง จึงรีบร้อนจะส่งแม่นางตรงหน้าให้จากไป "แม่นางได้ไขข้อสงสัยแล้วก็รีบไปเถิด เมื่อครู่ท่านดูเหมือนมีเรื่องต้องไปทำนี่ เชิญ เชิญ ๆ"
เจียงเยี่ยนฟางพอถูกเชิญออกมาแล้วก็ไปนั่งพักที่ร้านน้ำชากลางเมือง ซึ่งเป็นร้านเดิมกับที่นางเคยมานั่งหลังจากรอนแรมมาไกลเพื่อมาเข้าพิธีมงคลกับเจ้าบ่าวที่ตนไม่เคยเห็นหน้า ซึ่งนางได้แวะพักที่นี่ก่อนจะเดินทางกลับจวนตระกูลเจียงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ร้านน้ำชาแห่งนี้เป็นร้านแบบปิด แม้ว่าจะเป็นในยามเช้า ด้านในก็ยังต้องจุดโคมส่องสว่างไว้ตลอดเวลา บรรยากาศคล้ายหอนางโรม คล้ายเหล่าสุรา ทว่ากลับขายเพียงแค่ชาและเป็นสถานที่ไว้ตั้งงานศิลปะแสดงให้ดูเท่านั้น แต่ค่าน้ำชาที่นี่นั้นก็ไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้เช่นเดียวกันกับความโอ่อ่าของมัน
ครั้งนี้นางเลือกที่นั่งชั้นบนแทน เพราะคิดว่าด้านล่างคงมีเพียงชาวบ้านทั่วไปที่พอจะมีเงินทองเท่านั้น ข่าวคราวก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก และก็เหมือนว่านางจะมีโชคด้านการสืบข่าวไม่น้อย ยังคิดอยู่ว่าหากเรื่องที่ค้างคาในใจสำเร็จลุล่วงไปแล้ว หากนางผันตัวไปทำหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองก็คงจะเหมาะ!
เพราะเวลานี้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดถึงเรื่องที่นางต้องการจะฟังพอดี
"ขุนนางเจียงส่งบุตรสาวที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนไปเป็นพระชายาในจวนชินอ๋อง บิดาข้าบอกว่ายามนั้นฮ่องเต้กลับไม่ได้ตรัสสิ่งใดสักคำ" บุรุษข้างห้องเอ่ยถึงเรื่องที่ได้ยินจากบิดาให้คนในกลุ่มฟัง
เจียงเยี่ยนฟางได้ทีจึงขยับเก้าอี้ไปนั่งติดผนังฝั่งที่ติดกับเสียงคนพวกนั้น นางลงทุนจ่ายเงินหลายตำลึงเพื่อการนี้ ต้องใช้ห้องนี้ให้คุ้มค่าถึงจะถูก และเพราะยกโต๊ะกลมตัวใหญ่กลางห้องมาด้วยไม่ได้ นางจึงใช้เก้าอี้อีกตัวมาวางกาน้ำชาและจอกชาของตนเองแทน ก็แก้ขัดไปได้เหมือนกัน
ซ้ำยังมั่นใจไปแล้วเก้าในสิบส่วนว่า ข้างห้องคงมีบิดาเป็นขุนนางที่มีอำนาจใหญ่โตเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาเรื่องของราชวงศ์มาพูดถึงอย่างเสียงดังไม่กลัวหัวหลุดออกจากบ่าขนาดนี้
"ตอนแรกยังคิดว่าฮ่องเต้จะมีสิ่งใดต้องการ ที่แท้ก็แค่อยากทำให้จวนอ๋องวุ่นวายไปช่วงหนึ่งก็เท่านั้น ขุนนางเจียงก็วิ่งวุ่นไปด้วย เพราะจู่ ๆ ก็ถูกฮ่องเต้หาเรื่องมาให้จัดการ"
"คุณหนูใหญ่เจียงที่โผล่มากะทันหัน ก็ไม่รู้ว่าถูกเลี้ยงดูอบรมมาอย่างไร แต่จากที่ชินอ๋องประกาศลั่นวาจาไปนานแล้วว่าจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก ดูท่าแล้วคุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้คงลำบากไม่น้อย"
"หึ เช่นนั้นมิสู้เรามาพนันกันหน่อยเป็นอย่างไร ว่าคุณหนูใหญ่เจียงจะถูกชินอ๋องโยนออกมาจากจวนเมื่อไร"
ไม่มีใครไม่รู้ถึงอำนาจในกาลก่อนของชินอ๋อง ก่อนที่พระองค์จะถอนตัวออกมาจากวังหลวง ต่างเข้มงวดและเป็นที่เคารพยำเกรง อำนาจทางการทหารล้นมือ และแม้ยามนี้ถึงเจ้าตัวจะพิการ ไม่มีเค้าโครงเทพสงครามดั่งวันวาน ดูคล้ายบัณทิตคงแก่เรียนมากกว่า แต่ความเด็ดขาดก็ยังคงอยู่ ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เอง ฮ่องเต้ก็เคยพระราชทานมงคลสมรสไปให้อยู่สามสี่ครั้ง แต่ก็ถูกชินอ๋องต่อต้านเรื่อยมา ดังนั้นไม่แปลกที่ชินอ๋องจะทำเรื่องอย่างเช่นการไล่พระชายาพระราชทานออกมาโดยไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะทรงพิโรธหรือไม่
แม้นช่วงสองสามปีก่อนยังจะยังมีข่าวลือออกมาตลอดว่าชินอ๋องผู้นี้แต่งงานทีไร เจ้าสาวมีอันเป็นไปทุกที จากเทพสงครามกลับกลายเป็นเทพมารแห่งความตาย เป็นผีสามีกลืนกินเจ้าสาว แต่พอตบแต่งกู่เยว่ชิงที่ตนหมายปองแล้ว หลังจากนั้นข่าวลือก็จางหายไป พาให้ผู้คนที่มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละวันต่างก็หลงลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปแล้ว
อีกทั้งครานี้คุณหนูใหญ่เจียงก็ยังปกติสุขดี สามารถแต่งชุดแดงก้าวข้ามผ่านธรณีประตูของจวนชินอ๋องได้สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาเลยไม่กล่าวถึงชื่อเรียกอีกฝ่ายที่ว่าเทพมารแห่งความตายอีกเลย
แต่เรื่องตระบัดสัตย์รักมั่นสตรีนางเดียวกลับยังคงจดจำได้ไม่ลืม หรือไม่ก็คงไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยปล่อยข่าวเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ จนมันฝังเข้าไปในหัวของพวกเขา เวลานี้จึงนึกสนุก หวังเอาเรื่องเดือดร้อนของผู้อื่นมาเดิมพัน
"ข้าเอาด้วย!" คนแรกที่เห็นด้วยก็เริ่มวางเดิมพันแล้ว ถุงเงินหนัก ๆ ถูกปาลงบนโต๊ะอย่างแรง
ปัง!
ทว่าจังหวะเดียวกันนั้น เสียงตบโต๊ะก็ดังขึ้นตามมาติด ๆ กัน
ยามนี้ผ่านไปนานเกือบสิบเอ็ดปี จดหมายฉบับแรกนอกเหนือจากเงินที่เขาส่งมาให้ ก็คือเรียกข้ากลับไปแต่งงาน แต่ข้าไม่อยากแต่ง ข้ามีคนที่ข้ารัก...คนผู้นั้นเป็นเหมือนดั่งพี่ชายของข้า เป็นเหมือนดั่งสหายของข้า พวกเราเจอกันตั้งแต่ข้าอยู่ที่เมืองหลวง จนข้าจากไปไกลจึงทำได้เพียงเขียนจดหมายกลับไปหาเขา นับแต่นั้นมา ก็มีเขาที่ยังคอยห่วงหาข้าตลอด เราให้สัญญากัน ข้าเองก็รับปากแล้วว่าจะเป็นภรรยาของเขา" เวลามีเรื่องคิดไม่ตก เจียงเยี่ยนฟางมักจะติดนิสัยเดิม โดยชอบหยิบผ้าผูกผมที่ป้าซูทำให้มาจับเล่นอย่างเผลอตัว ในตอนนี้เองก็เช่นกันเสวี่ยหว่านมองตามมือของนางไปก็พบว่าสิ่งที่นางจับอยู่คือผ้าผูกผมรูปดอกไม้ที่มีปักลายเฉพาะ ผ้าผูกผมชิ้นนั้นดูไม่เข้ากับชุดที่เจียงเยี่ยนฟางขอสลับของนางไปใส่แม้แต่น้อย จังหวะต่อมาจึงเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายแล้วถาม "...แล้วคนผู้นั้นตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าท่านกำลังจะไปแต่งงาน"เสวี่ยหว่านเป็นหมอยาพิษ การทำงานในจุดนี้ของนางย่อมพบเจอคนตายมาไม่น้อย จิตใจนับว่าด้านชาจนแทบไร้ความรู้สึก ยิ่งไม่สนใจเรื่องความรัก ยิ่งเมื่อได้ฟังก็เกิดสับสน บุรุษผู้นั้นดูแล้วน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าออกจวนขุนนางจ
เรื่องนี้เป็นความลับของนาง แต่ก็ไม่คิดจะปิดบังคนที่ช่วยชีวิตตนเองไว้ อีกทั้งนางก็ทะนงตนว่า สตรีตัวเล็กเช่นคนตรงหน้าไม่มีทางทำอะไรตนเองได้ หรือต่อให้อีกฝ่ายเอาเรื่องนางไปป่าวประกาศบอกผู้อื่นจนนางเดือดร้อน นางก็คิดว่านางสามารถแบกรับไหว"!!!" สองคนในรถม้าต่างตกใจ คนที่จะทำงานด้านนี้ได้มือต้องแปดเปื้อนมาไม่น้อย แต่สตรีตรงหน้าถึงจะไม่ค่อยยิ้ม ใบหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงกลับน่าฟัง ท่าทางไม่ถึงขั้นอ่อนหวานเหมือนสตรีที่ได้รับการอบรม แต่ท่าทางก็ดูนุ่มนวลไม่หยาบกระด้าง การพูดการจาก็ดูมีมารยาทไม่ทำตัวโผงผาง หากบอกว่าเป็นบุตรสาวตระกูลร่ำรวยพวกนางก็เชื่อ ไหนเลยจะถูกอีกฝ่ายใช้รูปลักษณ์ภายนอกมาตบตาเข้าให้แล้ว"คุณหนูทั้งสองไม่ต้องตกใจไป ผู้ที่มีบุญคุณ เสวี่ยหว่านผู้นี้ ย่อมไม่คิดร้ายด้วย อีกทั้งก็เป็นเพียงผู้ทำยาพิษและยาแก้พิษ ไม่ใช่ผู้ใช้พิษเสียหน่อย" เรื่องหลังนั้น... แน่นอนว่า ย่อมโกหกไปเจ็ดส่วน!อีกสองสามวันต่อมา เสวี่ยหว่านผู้นี้ก็ไม่ยอมจากไปเสียที จนซูเจียวเริ่มทนไม่ไหว ในตอนที่อยู่บนรถม้าก่อนจะลงไปเช่าโรงเตี๊ยมในหมู่บ้านกวนพักผ่อน นางก็เอ่ยปากถามด้วยตนเอง"พี่เสวี่ยหว่าน ท่านคิดจะไปที่ใดกันแน
"เป็นคน เมื่อครู่ ข้ามั่นใจ!" เจียงเยี่ยนฟางตะโกนบอกไประหว่างทาง ดวงตาจ้องมองมือที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำเพียงสองครั้งแล้วจมหายไป แต่ใต้ผืนน้ำที่ไหลแรงก็ยังพอมองเห็นเงาร่างสีม่วงเข้มได้เลือนราง"คน? คนอะไรไปอยู่... ไม่ ๆ ๆ คนที่ไหนจะโดนน้ำพัดขนาดนี้แล้วยังรอด คุณหนู อย่า ไม่!" ซูเจียวเพิ่งจะรู้สึกไปเมื่อครู่เองว่า สายน้ำเส้นนี้นั้นไหลแรงเกินไปจนน่ากลัวไม่อยากเข้าใกล้ และไม่อยากแม้แต่จะข้ามสะพานไม้นั้นอีกรอบอยู่เลย แต่คุณหนูของนางพูดแค่ 'เป็นคน' แล้วก็กระโจนลงน้ำไปได้อย่างไร!ซูเจียววิ่งตามไปหยุดอยู่ตรงจุดที่เจียงเยี่ยนฟางเพิ่งจะกระโดดลงไปเมื่อครู่ "คุณหนู คุณหนู!" นางตะโกนหาอีกฝ่ายพร้อมดวงตาก็กวาดมองไปทั่วผืนน้ำ หัวใจเต้นไม่หยุดด้วยความกลัว ถึงแม้นางจะบอกว่าตนไม่ค่อยชอบเจียงเยี่ยนฟางเพราะรู้สึกว่าตนอยู่ต่ำกว่าเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันแห่งความเป็นความตาย นางกลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่โตมาด้วยกันอย่างน่าประหลาดซูเจียวถอดรองเท้าและเสื้อตัวนอกออก หวังกระโดดลงน้ำไปดึงเจียงเยี่ยนฟางขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังถอดเสื้อตัวนอกออกอยู่นั้น ก็ไม่หยุดสายตาสอดส่องมองหาคนไปทั่วผืนน้ำแต่ไม่ทันที่นางจะกระโดดลงไป
บทที่ 17วาสนาได้พานพบผู้มีบุญคุณเพียงชั่วครู่สารทฤดูเริ่มต้นไปได้ครึ่งทางแล้ว ใบไม้รอบด้านเริ่มเปลี่ยนสียามเมื่อออกเดินทางเวลานี้ ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่จะได้ชื่นชมธรรมชาติไปในตัวแต่คนบนรถม้าคันหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงกลับดูเป็นกังวลไม่น้อย"คุณหนู ท่านจะแต่งเข้าจวนอ๋องจริงหรือเจ้าคะ" ซูเจียวนั่งอยู่บนพื้นของรถม้าก็เอ่ยถามสตรีอีกคนที่นั่งอยู่บนเบาะ ที่ผ่านมาตัวนางถูกเลี้ยงดูมากับสตรีตรงหน้า อยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กที่เมืองลี่เจียง ดุจดั่งเป็นครอบครัวเดียวกันทว่าตั้งแต่เยาว์วัย มารดาของนางชอบบังคับให้นางเรียกอีกฝ่ายว่าคุณหนูอยู่ตลอด คราแรกนางไม่เข้าใจ และทุกครั้งที่ตีตัวเสมอเจียงเยี่ยนฟาง นางก็จะถูกมารดาดุด่าเป็นประจำ ตักเตือนให้นางนอบน้อมกับเจียงเยี่ยนฟางให้มากหน่อย นางก็ต้องทำโดยไม่สามารถอิดออดได้ ทั้งที่เจียงเยี่ยนฟางก็ถูกมารดาใช้งานหนักพอ ๆ กัน ไม่เคยปล่อยปละละเลยให้อีกฝ่ายทำเพียงแค่นอนและกินเหมือนคุณหนูจริง ๆ ต่างต้องทำงานทุกอย่างให้เป็นกระทั่งไม่กี่วันก่อนคุณหนูของนางได้รับจดหมายจากบิดาที่ทอดทิ้งตัวเองไปนาน เรียกตัวกลับเมืองหลวงเพื่อแต่งงานเข้าจวนชินอ๋อง!ชินอ๋อง
เจียงเยี่ยนฟางกลับมายังร้านน้ำชาอีกครั้งพร้อมถุงซาลาเปาในมือ คนที่รอนางอยู่ก็ได้ย้ายตัวเองไปบนรถม้าอยู่ก่อนแล้ว พอนางมาถึง บรรยากาศก็ผิดแผกไปอย่างเห็นได้ชัด เซียวลี่หยางไม่พูดไม่จาอันใดแม้ครึ่งคำแต่...ไม่พูดไม่จาก็แล้วไปเถิด นางอาจมาช้าทำให้เขารอนานจนเกิดไม่พอใจขึ้นมา เรื่องนั้นก็พอเข้าใจได้ ทว่าแววตารังเกียจที่เหมือนคราแรกพานพบกันในห้องหอนั้น กลับมาปรากฏบนสายตาเขาอีกครั้งนี่สิ นางถึงได้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาคนผู้นี้เช้าเป็นอย่าง ดวงตะวันคล้อยบ่ายก็เป็นอีกอย่าง นางคาดเดาเขาไม่ได้เลยยามเมื่อเดินทางกลับมาถึงจวนแล้ว คนในรถม้าที่นั่งมากับนางนานสองนานก็ไม่รอให้นางออกไปก่อน เขารีบเรียกหงเปามาพาตัวเองเข็นรถลงไปทันทีที่รถม้าหยุดลง ประหนึ่งว่าไม่อยากใช้ลมหายใจในรถม้าร่วมกับนางนานกว่านี้ จึงทิ้งนางไว้เบื้องหลังไม่ใส่ใจ"เมื่อเช้ายังไปด้วยกันดี ๆ อยู่เลย ยามนี้ท่านอ๋องเหมือนจะกำลังไม่พอใจอยู่..." สาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลก็พากันซุบซิบนินทา คิดว่าระยะขนาดนี้พระชายาเจียงน่าจะไม่ได้ยิน"แปลกอันใดกัน ที่ผ่านมาท่านอ๋องกับพระชายากู่ที่มักตัวติดกันตลอด แต่ท่านอ๋องก็นิ่งสงบปานท่อนไม้ขนาดนั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหม
"เร็วหน่อยก็ดี แล้วเร็วที่สุดของเถ้าแก่ราวกี่วัน""สองชิ้นก็เจ็ดวัน ข้าจะหาช่างฝีมือสองคนทำก็แล้วกัน จะได้รอไม่นานเกินนี้""เงินในถุงพอค่ามัดจำหรือไม่" เจียงเยี่ยนฟางหันมองถุงเงินที่หายไปอยู่ในมือเถ้าแก่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้"พอ ๆ ๆ ๆ แม่นาง...อยากเน้นส่วนไหนเป็นพิเศษ แจ้งมาได้เลย" เถ้าแก่พอได้จับถุงเงินแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นอีกห้าส่วน ดวงตาสะท้อนไปด้วยเงินทองอยู่ภายใน"เถ้าแก่จัดการได้เลย อีกเจ็ดวันข้าจะมารับ" เจียงเยี่ยนฟางกล่าวเสร็จก็เตรียมจากไป"แม่นางเดินทางปลอดภัย" เถ้าแก่ร้านมีท่าทีกระตือรือร้นกว่าตอนแรกที่เจียงเยี่ยนฟางเข้ามามากนัก ถึงขั้นเดินออกมาส่งด้วยตัวเองเจียงเยี่ยนฟางพอออกมาจากร้านเครื่องประดับแล้วก็ยังคงแวะไปอีกหลายแห่งเพื่อสั่งของที่นางอยากได้ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับแผงลอยข้างทางร้านหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่เน้นไปทางเชือกผูกผมกับปิ่นที่ทำมาจากไม้ หากแต่สิ่งที่สะดุดตานางมากที่สุดไม่ใช่ผ้าไหมซึ่งถูกทออย่างประณีต แต่เป็นลายปักบนผ้าผูกผมอันแสนคุ้นตานั่นต่างหาก"คุณหนู สนใจผ้าผูกผมสักชิ้นหรือไม่ ลองดูก่อนได้ ไม่เสียหายอะไร"เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ค