"อะแฮ่ม" เถ้าแก่กระแอมไอ ด้วยนิสัยเดิมขี้คุยโวโอ้อวด การที่คุยแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นร้านผ้าขึ้นชื่อที่เหล่าสนมชื่นชอบผ้าร้านเขาขนาดไหน ทำให้หลงลืมไปแล้วว่าแม่นางตรงหน้ากำลังรีบร้อนอยู่ "ระหว่างทางคนของพระสนมที่นำทางให้ข้าก็ดันปวดท้องเข้าห้องน้ำ จึงให้ข้ายืนรอก่อน แต่ขันทีผู้ดูแลวังในที่ผ่านมาพอดีก็กลับเข้าใจผิด เขาเจอข้าเข้าและคิดว่าข้านำผ้าอีกส่วนมาส่งตามวันที่ได้นัดหมายกัน ข้าเองก็เข้าใจผิดไปในตอนแรก คิดว่าเขาจะนำทางข้าเอาผ้าไปเก็บในคลังของพระสนมพระนางนั้น แต่เขากลับพาไปที่คลังเก็บผ้าของของวังหลวงแทน สิ่งที่ข้าเจอในห้องเก็บผ้าของวังหลวงก็คือผ้าจากแคว้นจ้าว! ผู้ดูแลเห็นข้ามองอย่างสนใจก็ยิ้มเยาะข้า! เหอะ! ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่... "
"..." เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองนิ่ง เขาคิดจะออกนอกเรื่องอีกแล้ว?
เถ้าแก่ถูกสายตาด่าแทนการพูดส่งมาถึง ก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อน กลับเข้าเรื่องสำคัญต่อ "อะแฮ่ม ขันทีผู้ดูแลก็เลยบอกว่า แคว้นจ้าวเพิ่งนำมาส่งมอบเป็นของบรรณาการเมื่อหกวันก่อน แต่เหมือนฮ่องเต้ดูจะไม่ทรงชอบสีและลวดลาย จึงให้จัดไว้ในคลังผ้าสำหรับตัดเย็บให้คนในวังทั่วไป..." เถ้าแก่มองซ้ายมองขวาเหมือนระวัง ทั้งที่ในห้องมีกันแค่สองคน เขาขยับเข้าไปด้านหน้าอีกนิด เอาหลังมือป้องปากกระซิบเสียงเบากว่าเดิมว่า "คนเล่าลือกันว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ทรงเอาแต่ใจ หากมีคนบอกว่าม้าของแคว้นซ่งองอาจและสง่างามกว่าของแคว้นตน พระองค์ก็จะรู้สึกด้อยกว่า ปีก่อนที่ได้ม้าจากแคว้นซ่งมาเป็นของบรรณาการ ไม่นานม้าก็ตายยกคอก ถูกไฟเผาทั้งเป็น
ดังนั้นพอแคว้นจ้าวที่มีดีด้านการทอผ้าได้ส่งผ้าชั้นดีที่ใช้ได้แค่ในราชวงศ์เท่านั้นมาให้ ฮ่องเต้ก็ไม่ใส่ใจ สั่งคนเก็บเข้าคลังไปทั้งหมด คงเพราะก่อนหน้านี้ทรงได้ยินข่าวเรื่องผ้าของแคว้นจ้าวเป็นที่เรื่องลือมาไม่ผิดแน่ ถึงได้ทิ้งได้แม้กระทั่งผ้าที่งดงามขนาดนั้น แถมผ้าที่ถูกส่งมาขันทีผู้นั้นยังบอกอีกว่าเป็นผ้าที่ถูกทอเป็นสีพิเศษเพื่อส่งมาให้ฮ่องเต้โดยเฉพาะด้วย เฮ่อ... ผ้าชั้นดีกลับถูกทิ้งไว้ในคลังให้เน่าเปื่อย น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดาย..."
เถ้าแก่รำพึงรำพันเสร็จก็เพิ่งจะนึกได้ว่าผ้าที่ตนเพิ่งบอกว่าเป็นของหายาก ดันตกมาอยู่ในมือของสตรีที่แต่งตัวธรรมดา มิหนำซ้ำยังปิดหน้าปิดตา แถมผ้าก็คล้ายถูกเฉือนด้วยของมีคมขาดออกมาอย่างไร้แบบแผน นอกเหนือจากนั้นผ้าชิ้นนี้ก็ยังถูกย้อมเป็นสีอื่นไปแล้วด้วยรอบหนึ่ง
เถ้าแก่ที่คราแรกถูกกลิ่นหอมของเงินทำให้เลอะเลือนไปก็เพิ่งจะได้สติขึ้นมา ณ ตอนนี้นี่เอง จึงรีบร้อนจะส่งแม่นางตรงหน้าให้จากไป "แม่นางได้ไขข้อสงสัยแล้วก็รีบไปเถิด เมื่อครู่ท่านดูเหมือนมีเรื่องต้องไปทำนี่ เชิญ เชิญ ๆ"
เจียงเยี่ยนฟางพอถูกเชิญออกมาแล้วก็ไปนั่งพักที่ร้านน้ำชากลางเมือง ซึ่งเป็นร้านเดิมกับที่นางเคยมานั่งหลังจากรอนแรมมาไกลเพื่อมาเข้าพิธีมงคลกับเจ้าบ่าวที่ตนไม่เคยเห็นหน้า ซึ่งนางได้แวะพักที่นี่ก่อนจะเดินทางกลับจวนตระกูลเจียงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ร้านน้ำชาแห่งนี้เป็นร้านแบบปิด แม้ว่าจะเป็นในยามเช้า ด้านในก็ยังต้องจุดโคมส่องสว่างไว้ตลอดเวลา บรรยากาศคล้ายหอนางโรม คล้ายเหล่าสุรา ทว่ากลับขายเพียงแค่ชาและเป็นสถานที่ไว้ตั้งงานศิลปะแสดงให้ดูเท่านั้น แต่ค่าน้ำชาที่นี่นั้นก็ไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้เช่นเดียวกันกับความโอ่อ่าของมัน
ครั้งนี้นางเลือกที่นั่งชั้นบนแทน เพราะคิดว่าด้านล่างคงมีเพียงชาวบ้านทั่วไปที่พอจะมีเงินทองเท่านั้น ข่าวคราวก็คงไม่ต่างจากเดิมมากนัก และก็เหมือนว่านางจะมีโชคด้านการสืบข่าวไม่น้อย ยังคิดอยู่ว่าหากเรื่องที่ค้างคาในใจสำเร็จลุล่วงไปแล้ว หากนางผันตัวไปทำหน้าที่เป็นหน่วยข่าวกรองก็คงจะเหมาะ!
เพราะเวลานี้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดถึงเรื่องที่นางต้องการจะฟังพอดี
"ขุนนางเจียงส่งบุตรสาวที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนไปเป็นพระชายาในจวนชินอ๋อง บิดาข้าบอกว่ายามนั้นฮ่องเต้กลับไม่ได้ตรัสสิ่งใดสักคำ" บุรุษข้างห้องเอ่ยถึงเรื่องที่ได้ยินจากบิดาให้คนในกลุ่มฟัง
เจียงเยี่ยนฟางได้ทีจึงขยับเก้าอี้ไปนั่งติดผนังฝั่งที่ติดกับเสียงคนพวกนั้น นางลงทุนจ่ายเงินหลายตำลึงเพื่อการนี้ ต้องใช้ห้องนี้ให้คุ้มค่าถึงจะถูก และเพราะยกโต๊ะกลมตัวใหญ่กลางห้องมาด้วยไม่ได้ นางจึงใช้เก้าอี้อีกตัวมาวางกาน้ำชาและจอกชาของตนเองแทน ก็แก้ขัดไปได้เหมือนกัน
ซ้ำยังมั่นใจไปแล้วเก้าในสิบส่วนว่า ข้างห้องคงมีบิดาเป็นขุนนางที่มีอำนาจใหญ่โตเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่เอาเรื่องของราชวงศ์มาพูดถึงอย่างเสียงดังไม่กลัวหัวหลุดออกจากบ่าขนาดนี้
"ตอนแรกยังคิดว่าฮ่องเต้จะมีสิ่งใดต้องการ ที่แท้ก็แค่อยากทำให้จวนอ๋องวุ่นวายไปช่วงหนึ่งก็เท่านั้น ขุนนางเจียงก็วิ่งวุ่นไปด้วย เพราะจู่ ๆ ก็ถูกฮ่องเต้หาเรื่องมาให้จัดการ"
"คุณหนูใหญ่เจียงที่โผล่มากะทันหัน ก็ไม่รู้ว่าถูกเลี้ยงดูอบรมมาอย่างไร แต่จากที่ชินอ๋องประกาศลั่นวาจาไปนานแล้วว่าจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก ดูท่าแล้วคุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้คงลำบากไม่น้อย"
"หึ เช่นนั้นมิสู้เรามาพนันกันหน่อยเป็นอย่างไร ว่าคุณหนูใหญ่เจียงจะถูกชินอ๋องโยนออกมาจากจวนเมื่อไร"
ไม่มีใครไม่รู้ถึงอำนาจในกาลก่อนของชินอ๋อง ก่อนที่พระองค์จะถอนตัวออกมาจากวังหลวง ต่างเข้มงวดและเป็นที่เคารพยำเกรง อำนาจทางการทหารล้นมือ และแม้ยามนี้ถึงเจ้าตัวจะพิการ ไม่มีเค้าโครงเทพสงครามดั่งวันวาน ดูคล้ายบัณทิตคงแก่เรียนมากกว่า แต่ความเด็ดขาดก็ยังคงอยู่ ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เอง ฮ่องเต้ก็เคยพระราชทานมงคลสมรสไปให้อยู่สามสี่ครั้ง แต่ก็ถูกชินอ๋องต่อต้านเรื่อยมา ดังนั้นไม่แปลกที่ชินอ๋องจะทำเรื่องอย่างเช่นการไล่พระชายาพระราชทานออกมาโดยไม่สนใจว่าฮ่องเต้จะทรงพิโรธหรือไม่
แม้นช่วงสองสามปีก่อนยังจะยังมีข่าวลือออกมาตลอดว่าชินอ๋องผู้นี้แต่งงานทีไร เจ้าสาวมีอันเป็นไปทุกที จากเทพสงครามกลับกลายเป็นเทพมารแห่งความตาย เป็นผีสามีกลืนกินเจ้าสาว แต่พอตบแต่งกู่เยว่ชิงที่ตนหมายปองแล้ว หลังจากนั้นข่าวลือก็จางหายไป พาให้ผู้คนที่มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละวันต่างก็หลงลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปแล้ว
อีกทั้งครานี้คุณหนูใหญ่เจียงก็ยังปกติสุขดี สามารถแต่งชุดแดงก้าวข้ามผ่านธรณีประตูของจวนชินอ๋องได้สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาเลยไม่กล่าวถึงชื่อเรียกอีกฝ่ายที่ว่าเทพมารแห่งความตายอีกเลย
แต่เรื่องตระบัดสัตย์รักมั่นสตรีนางเดียวกลับยังคงจดจำได้ไม่ลืม หรือไม่ก็คงไม่รู้ตัวว่ามีคนคอยปล่อยข่าวเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ จนมันฝังเข้าไปในหัวของพวกเขา เวลานี้จึงนึกสนุก หวังเอาเรื่องเดือดร้อนของผู้อื่นมาเดิมพัน
"ข้าเอาด้วย!" คนแรกที่เห็นด้วยก็เริ่มวางเดิมพันแล้ว ถุงเงินหนัก ๆ ถูกปาลงบนโต๊ะอย่างแรง
ปัง!
ทว่าจังหวะเดียวกันนั้น เสียงตบโต๊ะก็ดังขึ้นตามมาติด ๆ กัน
เจียงเยี่ยนฟางคร้านจะพูดมาก นางเดินมากระชากแขนของหงเปาไปนั่งตรงที่นางบอก นึกย้อนไปหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้นางพูดมากที่สุดแล้ว ปกติวัน ๆ หนึ่งนางเอ่ยออกมาแทบจะนับคำได้เลย ยามนี้จึงเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อต้องพูดหลายรอบเกินไปหงเปาที่ถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ก็ตัวแข็งเกร็ง ก้นแทบจะระบมเพราะแรงกระแทก แต่กลับไม่กล้าร้องออกมาแม้ครึ่งคำ เพิ่งเคยเห็นสตรีที่ทำท่าทางไม่พอใจเขาถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรก แม้เขาจะบอกว่าตนเป็นบ่าวของชินอ๋อง แต่เบื้องหลังเขาเองก็ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา เป็นถึงตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของแคว้นเฉิงตระกูลของเขาดูแลเรื่องการค้าขายระหว่างแคว้นมาตั้งแต่รุ่นก่อน ตัวเขาถึงได้เข้าไปเป็นสหายร่วมเรียนกับเหล่าองค์ชาย ด้วยเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนต้องการอำนาจของตระกูลเขา บิดาจึงก็ได้รับเกียรติไม่ต่างกับขุนนางราชสำนัก เป็นที่เชิดหน้าชูตาในแวดวงการค้าไม่น้อย ทำให้เหล่าสตรีไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป หรือคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยังต้องเคารพเขาอยู่แปดส่วน แต่คุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้กลับแสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าเพียงเพราะเขาไม่ยอมทำตามที่นางสั่งเนี่ยนะ?!"เลิกขึ
5 พิสูจน์อีกกี่ครา รอดไปอีกกี่หน"พระชายาเจียง เหตุใดถึงออกมานอกจวนไม่บอกผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ" หงเปามองดูคุณหนูใหญ่เจียงที่แต่งเข้ามายังไม่พ้นสามวันก็ทำให้เขามีเรื่องปวดหัวไปแล้วสี่ครั้งอย่างจนปัญญา"ถ้าบอกแล้ว ท่านอ๋องจะให้ออกมา?" เจียงเยี่ยนฟางหัวเราะแผ่วเบาเมื่อเห็นสีหน้าของหงเปาที่ดูตกใจกับการย้อนถามของนาง ก่อนจะเดินนำหน้าผ่านตัวเขาไป "เป็นเจ้าไม่ใช่รึ ที่บอกไม่ให้เดินเพ่นพ่านในจวน ข้าเลยออกมาเดินข้างนอกแทน เวลานี้ต่อให้ผิดหรือไม่ ก็ยังไม่ดีพอในสายตาของพวกเจ้าอยู่ดี"หงเปาเม้มปากแน่น ที่นางกล่าวมาก็ไม่ผิดแม้ครึ่งคำ และในตอนที่มัวแต่คิดเรื่องที่นางพูดออกมาเมื่อครู่อยู่ สตรีผู้นั้นเพียงหนึ่งลมหายใจก็ทิ้งห่างไปเขาหลายก้าวแล้ว พาให้เขาเร่งเท้าต้องเดินตามจนน่าหงุดหงิดใจ "นั่นก็เป็นเพราะพระชายาทำกิริยาไม่สำรวม ท่านอ๋องถึงให้พระชายาประทับอยู่ที่เรือนด้านหลังเป็นการลงโทษ เหตุใดจึงไม่อยู่อย่างสงบเสงี่ยม"สงบเสงี่ยม? เจียงเยี่ยนฟางได้ยินแล้วก็เค้นเสียงเย็นในใจ เป็นแค่คนรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง แต่กล้าพูดกับนางด้วยคำคำนี้? "ท่านอ๋องของเจ้าสั่งให้ข้าอยู่เรือนเก่าทรุดโทรม ไม่มีคนมาทำความสะอาด ข้าไม่เคย
ดังเสียจนเจียงเยี่ยนฟางยังตกใจไปด้วย นางกำลังสนุกอยู่เลย อยากรู้ว่าใครจะวางเงินเดิมพันมากที่สุด และพวกเขาจะคาดเดาว่านางจะอยู่ได้นานเท่าไรกันบ้าง ส่วนเวลาในใจของนางนั้น ย่อมไม่เกินสองเดือนอย่างแน่นอน!"หลีหมิ่น เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน!" ห้องด้านข้างเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงลากเก้าอี้เหมือนคนกำลังจะลุกขึ้น"นี่! หลีหมิ่น!"เจียงเยี่ยนฟางที่นั่งสงบนิ่งมาตั้งนานถึงกลับชะงักค้าง มือที่ถือจอกชาจะยกดื่มพลันรีบวางลงที่เดิม ก่อนหยิบจดหมายในสาบเสื้อออกมาดู หน้าซองจดหมายเขียนไว้ว่า 'พี่หลีหมิ่น' นิ้วเรียวจิกซองจดหมายแน่น ตัดสินใจลุกขึ้นทันทีค่าห้องในครั้งนี้ ไม่คุ้มค่าเท่าไรแล้ว!เมื่อเดินพ้นประตูห้องออกมานางยังคงได้ยินเสียงบ่นของคนในห้องตามมาไม่หยุด ส่วนด้านหน้าของนางเวลานี้ก็คือบุรุษร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้มที่สะท้อนแสงไฟในหอน้ำชาจนมันเลื่อม ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเร่งรีบเดินด้วยความเร็วเพราะไม่พอใจจะรีบจากไป ก็ทำให้เนื้อผ้าขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว พาให้คนดูสูงส่ง เพียงแค่แผ่นหลังก็พานให้ผู้คนหลงใหลได้แล้วเวลาเดียวกันนั้น เจียงเยี่ยนฟางที่เคยนึกภูมิใจว่าตนเองขายาว เดินไวกว่าสตรีนางอื่น
"อะแฮ่ม" เถ้าแก่กระแอมไอ ด้วยนิสัยเดิมขี้คุยโวโอ้อวด การที่คุยแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นร้านผ้าขึ้นชื่อที่เหล่าสนมชื่นชอบผ้าร้านเขาขนาดไหน ทำให้หลงลืมไปแล้วว่าแม่นางตรงหน้ากำลังรีบร้อนอยู่ "ระหว่างทางคนของพระสนมที่นำทางให้ข้าก็ดันปวดท้องเข้าห้องน้ำ จึงให้ข้ายืนรอก่อน แต่ขันทีผู้ดูแลวังในที่ผ่านมาพอดีก็กลับเข้าใจผิด เขาเจอข้าเข้าและคิดว่าข้านำผ้าอีกส่วนมาส่งตามวันที่ได้นัดหมายกัน ข้าเองก็เข้าใจผิดไปในตอนแรก คิดว่าเขาจะนำทางข้าเอาผ้าไปเก็บในคลังของพระสนมพระนางนั้น แต่เขากลับพาไปที่คลังเก็บผ้าของของวังหลวงแทน สิ่งที่ข้าเจอในห้องเก็บผ้าของวังหลวงก็คือผ้าจากแคว้นจ้าว! ผู้ดูแลเห็นข้ามองอย่างสนใจก็ยิ้มเยาะข้า! เหอะ! ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่... ""..." เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองนิ่ง เขาคิดจะออกนอกเรื่องอีกแล้ว? เถ้าแก่ถูกสายตาด่าแทนการพูดส่งมาถึง ก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อน กลับเข้าเรื่องสำคัญต่อ "อะแฮ่ม ขันทีผู้ดูแลก็เลยบอกว่า แคว้นจ้าวเพิ่งนำมาส่งมอบเป็นของบรรณาการเมื่อหกวันก่อน แต่เหมือนฮ่องเต้ดูจะไม่ทรงชอบสีและลวดลาย จึงให้จัดไว้ในคลังผ้าสำหรับตัดเย็บให้คนในวังทั่วไป..." เถ้าแก่มองซ้ายมองขวาเหม
4 สูงส่งแล้วอย่างไร ผู้คนก็นินทาเหมือนเดิมในยามที่จวนชินอ๋องยังคงวุ่นวายกับการที่หัวมังกรของบ้านถูกวางยาพิษ เจียงเยี่ยนฟางกลับหนีออกไปนอกจวนทางกำแพงฝั่งด้านหลังของเรือนไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยประตูของจวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงต้องหาเส้นทางอื่นแทน สุดท้ายก็พบว่ากำแพงหลังเรือนไม้ของตนเองช่างเหมาะจะใช้ปีนออกไปพอดี และด้วยชุดของนางเป็นชุดของสตรีในพื้นที่ราบนิยมใส่ขี่ม้ากัน ดังนั้นการปีนกำแพงก็ไม่ใช่เรื่องยากสถานที่ซึ่งนางแวะไปที่แรกคือร้านสมุนไพร ไม่นานหลังจากเข้าไปก็กลับออกมา ก่อนจะแวะไปที่ร้านผ้ากลางตลาดต่อ"เถ้าแก่" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกผู้ที่กำลังหันหลังอยู่"แม่..." เถ้าแก่เมื่อหันมาก็ลังเล เสียงที่เขาได้ยินก่อนหันกลับมาต้อนรับลูกค้านั้นเป็นเสียงของสตรีไม่ผิดแน่นอน แม้หันมาแล้วจะตกใจกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวม กอปรกับความสูงที่หากมองผิวเผินก็คงจะนึกว่าบุรุษเพศ จึงทำให้เขาชะงักไปในตอนแรก แต่เขาเป็นเจ้าของร้านค้าผ้ามาเกือบสามสิบปี ย่อมรู้ว่าชุดแบบนี้คือชุดของสตรีในพื้นที่ราบอันห่างไกล จึงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นกับอีกฝ่ายว่า "แม่นาง ท่านต้องการผ้าไปตัดชุดหรื
อีกฝั่งหนึ่งจูหลิงที่ขยับกายหลบไปข้างเสาอีกนิดก็เอ่ยขึ้นว่า "ดูเหมือนนางจะรู้ตัวว่าพวกเรามาแอบดูอยู่เลยนะเพคะพระชายา""ไกลขนาดนี้แถมเรายังอยู่ในที่มืด นางไม่น่าจะมองเห็น" กู่เยว่ชิงเข้าใจถูกแล้ว เจียงเยี่ยนฟางมิได้มองเห็นพวกนางชัดขนาดนั้น เพียงแค่คาดเดาจากเงาร่างเลือนรางก็เท่านั้น"แล้วเหตุใดนางถึงยังไม่โดนจับไปขังคุกอีก มิใช่ว่าท่านอ๋องทรงแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าเป็นนางที่วางยา""บิดาของนางเป็นถึงขุนนางฝ่ายซ้าย ต่อให้ท่านอ๋องคาดการณ์ว่านางอาจเป็นคนของฮ่องเต้ส่งมา แล้วอยากจับนางโยนออกไปเสียเดี๋ยวนี้ก็คงเป็นเรื่องที่เกินกำลัง ตัวนางมีคนหนุน หลังถึงขนาดนั้น คงไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่าม" กู่เยว่ชิงเอ่ยวาจานุ่มนวล ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือที่แอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อก็บีบเข้าหากันแน่นเพื่อระบายอารมณ์ นึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง เพียงเพราะชาติกำเนิดของนางต้อยต่ำ หาไม่แล้วยามนี้นางคงได้ขึ้นเป็นพระชายาเอกไปนานแล้วสองปีก่อนที่ตบแต่งเข้ามา ท่านอ๋องยืนยันหนักแน่นว่าจะรับนางเป็นพระชายาเอกและจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก หากแต่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงเห็นพ้องต้องกันว่า ครอบครัวของนางเป็นเพียงแค่สามัญชนที่เพิ่งได