เมื่อหลุดจากภวังค์ความคิดครานั้นแล้ว จางลี่อินได้เปิดปฏิทินย้อนไปอีกเดือน เรื่องราววันนั้นเธอจำได้ไม่ลืมเลือน
วันนั้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ฉางกังมาที่บริษัทเพราะมีงานที่ต้องจัดการโดยด่วน พอลี่อินทราบข่าวก็กลัวว่าเขาจะเอาแต่บ้างานจนไม่มีเวลาหาอะไรรองท้องมื้อเที่ยง หญิงสาวตั้งใจทำอาหารใส่กล่องดิบดี เป็นอาหารที่เขาชื่นชอบทั้งนั้น เมื่อมาถึงบริษัทเธอได้มอบแก่เขาพร้อมกำชับนักหนาว่าอย่างไรท้องต้องอิ่ม หากท้องอิ่มแล้วถึงจะทำงานออกมาได้ดีไม่ติดขัด เขาก็รับคำ ทว่าพอมีสายโทร.เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องงานเร่งด่วน ฉางกังกวาดเอกสารที่ไม่ใช้แล้วและทุกอย่างที่เขาคิดว่าไม่สำคัญลงถังขยะไม่เหลือ ก่อนจะหอบแฟ้มเอกสารที่สำคัญเดินออกไปด้านนอก
และสิ่งของไม่สำคัญที่ว่า หนึ่งในนั้นก็คือข้าวกล่องของลี่อินนั่นเอง ทั้ง ๆ ที่เธอยังนั่งมองเขาอยู่ไม่ได้ไปไหน เขาก็ยังทิ้งของที่เธอตั้งใจทำให้ต่อหน้าต่อตาได้ลงคอ
หญิงสาวหยิบกล่องอาหารออกมาจากถังขยะ สัมผัสที่ปลายนิ้วเย็นเฉียบ ดวงตาร้อนผ่าวสับสน ไม่รู้ว่าควรโมโหเขาหรือสงสารตนเองดี เธอทอดมองกล่องสี่เหลี่ยมนั้นด้วยสายตาเศร้าสร้อย มันคงไม่มีความสำคัญต่อเขาจริง ๆ เขาถึงได้ทิ้งลงถังอย่างไม่ยั้งคิด นอกจากไม่แตะต้องแล้วยังโยนทิ้งไปอย่างไร้ค่า...
...ไม่ใช่แต่ข้าวกล่องนี้หรอก สักวันก็อาจจะเป็นเธอที่ถูกโยนทิ้งขว้าง
ช่วงนั้นเธอโกรธเขาระยะหนึ่ง แต่ไม่นานก็ใจอ่อนกลับไปคืนดีเช่นเคย เพราะรักจึงยอมทน คำนี้ใช้ได้ดีกับผู้หญิงใจอ่อน เพียงแค่เขาพูดว่ารักคำเดียวเธอก็ให้อภัยได้แล้ว จะโทษใครได้นอกจากโทษตัวเองที่ใจไม่แข็งพอ
เทศกาลหยวนเซียว (เทศกาลปล่อยโคมลอย)
หลังจากภาพมโนทรงจำเรื่องนั้นฉายจบ มือเรียวก็เปิดปฏิทินย้อนไปอีก รอยหมึกสีแดงสะดุดตาอีกแล้ว วันที่ในวงกลมนี้ตรงกับเทศกาลโคมไฟ หลังจากได้ปล่อยโคมไฟล่องลอยสู่ฟากฟ้า และได้อธิษฐานขอพรเรียบร้อย เขาพาเธอไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่บริกรนำเมนูเข้ามาให้เลือกลี่อินได้ขอตัวไปห้องน้ำ ฉางกังจึงเป็นคนสั่งอาหารขึ้นโต๊ะเองทั้งหมด
เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่เธอชอบกินหรือไม่ชอบกิน ลี่อินไม่ได้โกรธเคืองในสิ่งนั้น แต่ที่ทำให้เธอโมโหหนักคืออาหารบนโต๊ะแปดชนิดมีส่วนประกอบของเห็ดเยื่อไผ่ไปแล้วห้าชนิด
นับเป็นโชคร้ายที่เธอไม่ทันได้เห็นเศษซากเล็กน้อยของมัน ลี่อินทานเข้าไปเพียงคำเดียวเท่านั้นก็เกิดอาการแพ้อย่างหนักถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลสี่วันเต็ม เนื่องด้วยหายใจไม่คล่อง ดวงตาบวมปิด ท้องเสียอ่อนแรง ใครจะว่าเธอคิดเล็กคิดน้อยก็ตามที ทว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญถึงขั้นอาจสูญเสียชีวิตได้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำใจอย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจมองข้ามเหมือนไม่รู้สึกได้เลยจริง ๆ
ถ้าถามว่าเขาไม่รู้หรือไรว่าเธอแพ้เห็ดเยื่อไผ่...
คำตอบคือ...
รู้สิ! เขาย่อมรู้ดี เพราะก่อนหน้านี้เธอเผลอกินแล้วมีอาการแพ้ให้เขาได้เห็นมาก่อน
เมื่อเธอได้ถามเขาเขาก็ให้คำตอบง่าย ๆ เช่นเคยว่า
...ลืม...
ลืมอีกแล้ว! ลืมได้อย่างไรกัน! ใช้คำว่าลืมมักเป็นข้ออ้างของการไม่ใส่ใจเสียมากกว่า
นอกจากนั้นยังมีวีรกรรมอีกมากมาย อาทิเช่น…
นัดที่ร้านไอศกรีม แต่โทร.หาอีกทีดันไปโผล่ที่สวนสนุก หรือนัดวันนี้มาเจอกันอีกทีวันพรุ่งนี้
ลี่อินจำต้องรีบปิดปฏิทินลงฉับพลัน เพราะหากเปิดดูครบทุกเดือนคงมีแต่รอยหมึกสีแดงเต็มไปหมด ยิ่งคิดหญิงสาวก็ยิ่งน้อยอกน้อยใจ ปฏิทินมีทั้งหมดสิบสองเดือนรอยปากกาที่วงเอาไว้ทั้งเล่มมีมากเกินร้อยครั้งในหนึ่งปี หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นมากุมใบหน้าแล้วถอนหายใจเหมือนกำลังจะหมดแรง ก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนที่นอนนุ่ม
บางครั้งลี่อินก็คิดไปว่าที่เธอยังอภัยเขาซ้ำ ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแต่ละครั้งเขาไม่เคยมีเรื่องของการนอกใจมาเกี่ยวข้อง แม้ว่าเขาจะแย่มากแค่ไหนแต่ฉางกังก็ละเว้นซึ่งสิ่งนี้ ไม่ใช่ว่าจิตใจเขามั่นคงดุจขุนเขา แต่ชายหนุ่มเพียงแค่คิดว่าการมีผู้หญิงหลายคนเข้ามาเกี่ยวพันในชีวิตเป็นสิ่งที่วุ่นวายน่ารำคาญ
เช้าวันรุ่งขึ้น ลี่อินเลือกที่จะหยิบเอาเดรสสีขาวมาสวมใส่ ความยาวของชุดนี้อยู่ระดับเข่า สวมทับด้วยเสื้อกันหนาวขนฟูฟ่องสีเทาอ่อน ในส่วนของรองเท้าบูธหนังสีดำยาวครึ่งแข้ง
ฝ่ามือเรียวลูบไล้ไปตามขนฟูฟ่องของเสื้อกันหนาวด้วยความชื่นชม เธออยากจะรู้เหลือเกินว่าหากเขาได้เห็นเสื้อตัวนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป