เสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้เขาเป็นคนซื้อมาฝากเธอหลังกลับจากต่างประเทศ เธอคิดว่าหากเขาได้เห็นเธอสวมใส่เป็นครั้งแรกอย่างน้อยก็คงจะกล่าวชื่นชมสักคำ เมื่อจัดการเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยแล้วลี่อินจึงละสายตาจากกระจกเงา หญิงสาวเดินลงมาข้างล่างคอนโด ยืนรอไม่นานรถคันหรูก็จอดเทียบฟุตพาท
ปกติแล้วเขาไม่ได้มาเร็วอย่างวันนี้หรอก ที่ผ่านมาเธอต้องรอเขาอยู่ครึ่งชั่วยามเป็นอย่างต่ำ ครั้งนี้ที่เขามาเร็วกว่าเคยนั่นก็เพราะต้องการเอาใจลี่อินเป็นพิเศษ ฉางกังฉีกยิ้มกว้างเดินลงจากรถหวังว่าจะได้เปิดประตูให้หญิงสาว ทว่าเธอไม่รอ รีบเปิดเองแล้วแทรกตัวเข้าไปนั่งข้างคนขับ ก็ใครกันจะไปรู้ว่าวันนี้เขาอยากแสดงน้ำใจ นั่นหาใช่เรื่องที่เขาเคยทำเสียเมื่อไรกัน เพราะในทุกครั้งก็เป็นเธอที่เปิดประตูเอง ฉางกังได้แต่ยิ้มแห้งจำต้องกลับมานั่งที่เบาะหลังพวงมาลัยเช่นเคย
กับสิ่งที่ทำอยู่เขาเรียกมันว่าความพยายาม แต่ลี่อินมองว่าหากไม่ใช่ก็อย่าฝืน เพราะยิ่งฝืนต่างฝ่ายก็ยิ่งเหนื่อย…
พอเห็นว่าวันนี้หญิงสาวแต่งตัวสวยเป็นพิเศษฉางกังก็แย้มยิ้ม เสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้สะดุดตาเขาเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามเพื่อเอาใจเธอเสียหน่อย
“เสื้อสวยจัง ซื้อที่ไหนเหรอ”
จางลี่อินชะงักงันกับคำพูดเขาอยู่ชั่วครู่ เธอหันมามองทางด้านคนขับด้วยสายตาเย็นเยียบ
“งั้นเหรอ คุณเป็นคนซื้อให้ฉันคุณลืมไปแล้วสินะ”
“อ๋อ”
นี่เขาคงจะจำอะไรไม่ได้เลย ขนาดเสื้อขนจิ้งจอกตัวนี้ลี่อินเพิ่งได้รับมาช่วงเดือนที่แล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ห่างกันไม่ถึงยี่สิบวัน เหตุใดเขาถึงลืมมันไปง่ายดายนัก เว้นเสียแต่ว่า…
“ขอโทษนะ ผมไม่ได้เลือกเองน่ะ เลขาจ้าวเป็นคนเลือกมา”
คิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ แม้แต่ของฝากที่จะนำมาให้คนรักเขาก็ยังให้เข่อซิงเป็นคนเลือกให้ หลังจากได้เสื้อตัวนี้มาฉางกังก็มอบให้เธอแบบส่งเดชจะได้จบ ๆ จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าใดนัก
ลี่อินทอดมองออกไปนอกกระจก ต้องการสลัดไล่ความคิดบั่นทอนนี้ไปให้หมด เธอไม่อยากทำตัวงี่เง่า หากเขาจำเสื้อตัวนี้ไม่ได้อย่างน้อยก็ควรจะจำวันเกิดเธอได้ คิดเช่นนี้หญิงสาวก็เริ่มสบายใจและมีความหวัง เมื่อรถเลี้ยวเข้ามายังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง หัวใจของลี่อินเต้นแรงตึกตัก เธอคิดเองเออเองว่าถ้าวันนี้เขาไม่ได้พาไปซื้อของขวัญเพื่อทำให้ประหลาดใจ ก็อาจจะพาไปนั่งกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารสักแห่ง ไม่ต้องเลิศหรู ขอเพียงเขาจดจำวันเกิดของเธอได้เท่านี้ลี่อินก็พอใจมากแล้ว
“เข้าร้านนี้ก่อนเถอะ”
ครั้นเดินผ่านร้านขายเครื่องประดับ ชายหนุ่มเอ่ยแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน พนักงานสองคนออกมาต้อนรับอย่างสุภาพนอบน้อม เขาเดินไปที่จุดแสดงสร้อยเพชร ใต้กระจกโปร่งมีเครื่องประดับสตรีมากมายให้เลือกสรร ฉางกังสะดุดตากับสร้อยเส้นหนึ่งที่มีจี้เพชรรูปดาวดวงเล็ก ๆ ดูสวยงามเรียบง่ายไม่เอิกเกริก และเป็นแบบที่ลี่อินชื่นชอบ
“คุณลองใส่ให้ผมดูหน่อยนะ”
หญิงสาวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยืนนิ่งให้เขาเอาสร้อยเพชรมาทดลองสวมให้ เมื่อสร้อยเพชรได้มาอยู่บนคอระหงช่างงดงามเกินบรรยาย ฉางกังยิ้มพึงพอใจก่อนปลดสร้อยยื่นคืนแก่พนักงาน
“เอาเส้นนี้”
เขาบอกแล้วชำระด้วยบัตรเครดิต ส่วนพนักงานก็ยื่นถุงกระดาษที่มีสร้อยเส้นนั้นกลับคืนมา รับของมาแล้วฉางกังก็จูงมือหญิงสาวคนรักออกจากร้าน ลี่อินมองถุงกระดาษที่เธอถืออยู่ในมือแล้วยิ้มบาง ๆ หัวใจของหญิงสาวเริ่มกลับมาพองโตอีกครั้ง
“คุณว่าลูกสาวคนเล็กของหุ้นส่วนเจิ้งจะชอบไหม เธอเพิ่งจะสิบเอ็ดเอง"
พลันน้ำเสียงของเขาก็ทำลายจิตใจเธอจนแหลกละเอียด ถุงกระดาษในมือหญิงสาวล่วงหล่นลงสู่พื้น รองเท้าบูธสีดำวาวหยุดกึกกะทันหัน ลี่อินแทบก้าวขาไม่ออก…
“มีอะไรเหรอ” เขาถาม
“คุณซื้อสร้อยเส้นนี้ให้เธอเหรอ”
“ลี่อิน ไม่เอาน่า คุณจะหึงผมกับเด็กได้ยังไง”
“ฉันถามว่าคุณซื้อให้ใครกันแน่!”
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป