หญิงสาวเดินฝ่าสายฝนมาจนถึงบริเวณริมสวนสาธารณะ เธอทรุดนั่งคุกเข่าลงกับพื้น หงายฝ่ามือเย็นเฉียบออกมารองน้ำฝนเหมือนคนสติเลื่อนลอย สายฝนหยดแล้วหยดเล่าตกลงกลางฝ่ามือ ริมผีปากสีอิงเถายิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้นว่า
“…ก็ไม่เห็นจะเจ็บเท่าไรเลยนี่ อดทนอีกนิด…ฟ้าหลังฝนอีกไม่นานก็จะสดใส เธอทำได้แล้วนะจางลี่อิน”
ทอดมองน้ำฝนที่หยดลงฝ่ามืออยู่เป็นนาน ทว่าจู่ ๆ เม็ดฝนเล่านั้นก็หยุดนิ่งไม่ตกลงมาแล้ว นั่นไม่ใช่เพราะฝนหยุดตก แต่เป็นเพราะว่ามีใครคนหนึ่งยืนกางร่มให้เธออยู่เหนือศีรษะ
คนผู้นั้นสละร่มของตนเองเพื่อกางบังสายฝนให้หญิงสาว แต่ตัวเองยอมที่จะเปียกปอนอยู่นอกชายคาของร่ม เธอไล่ระดับสายตามองตั้งแต่รองเท้าเรื่อยไปจนถึงระหว่างอก เห็นเขาสวมใส่สูทสีดำเรียบร้อยเป็นทางการ ทว่ายามนี้กลับมีหยาดน้ำเปียกซึมไปแล้วเกือบทั้งร่าง เมื่อมองเลยสูงขึ้นไปอีกก็พบกับใบหน้าเจ้าของร่ม บุรุษผู้นั้นเอ่ยกับเธอน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวลอย่างเช่นเคย…
“นั่งตากฝนแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ”
ลู่ฉางกังกลับถึงคฤหาสน์ในสถาพมึนเมา ระหว่างทางเขาได้แวะที่ผับแห่งหนึ่งและสั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาดื่ม อารมณ์ขุ่นมัวทำให้เขาขาดสติไปชั่วขณะ เขาได้มีเรื่องกับพวกอันธพาลที่ในผับจนใบหน้าอันหล่อเหลายามนี้เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
…น่าแปลกนักที่วันนี้คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างเขาไม่อยากเอาเรื่องเอาราว เจ็บตัวไปแล้วก็ปล่อยเลยตามเลยไป ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยมีใครได้แตะต้องเขาโดยที่วันต่อมาไม่ต้องนอนหยอดน้ำข้าวที่โรงพยาบาล
เปล่าหรอก…ไม่ใช่เพราะเขาเป็นไม้เป็นมวยหรือเก่งกาจอะไร แต่เขาสามารถสั่งลูกน้องให้ไปคิดบัญชีคืนได้เพียงแค่ชี้นิ้ว ทว่าวันนี้หัวใจของเขาว่างเปล่าเกินไปจนไม่มีความคิดนี้หลงเหลืออยู่ พวกอันธพาลที่ทำเขาเจ็บจึงรอดตัวไป นับว่าเป็นโชคดีของพวกมันแล้ว
พอก้าวผ่านประตูมาเห็นคุณย่ากำลังนั่งดูละครอย่างออกรสออกชาติ เดิมทีคิดว่าจะย่องเบาผ่านไปอย่างเงียบเชียบแต่ปลายหางตาหญิงชราดันเห็นเข้าจนได้ คุณย่ารีบลุกขึ้นเดินเข้าหาใช้มือทั้งสองประกบข้างแก้มหลานชายบังคับให้เขาหันซ้ายทีขวาที พอเห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นรอยฟกช้ำดำเขียวก็หลุดปากร้องเสียงหลง
“ไอ้หยา ตายแล้ว! ใบหน้าฟ้าประทานของคุณชายตระกูลลู่!”
ฉางกังปัดมือเหี่ยวย่นที่จับคลำใบหน้าเขาออกให้ห่าง กลิ่นสุราตีขึ้นชัดเจนจนคุณย่าต้องย่นจมูก
"อากังดื่มแล้วไปมีเรื่องมาใช่ไหม"
"นิดหน่อยครับ แค่เรื่องเข้าใจผิดกัน ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ"
ฉางกังเลือกที่จะหยุดตอบคำถามโดยการเดินหนี เขาไม่รู้เลยว่าคุณย่าเป็นห่วงเขาเพียงใด หลังจากขึ้นมาบนห้องนอนเพียงครู่เดียวเท่านั้นเสียงเคาะประตูก็ไล่ตามหลัง ชายหนุ่มที่มึนเมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วรู้สึกเพลียและไม่อยากลุกขึ้นมาเปิดประตูให้ เขาได้ยินเสียงเคาะอยู่หลายครั้งแต่ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบไป
ร่างทั้งร่างรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดจากการปะทะชกต่อยในผับ ในระหว่างที่หลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือความฝัน เป็นเหมือนอาการของคนสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่น มีเส้นแสงเลือนรางสายหนึ่งปรากฏอยู่ ในความมืดมิดเขามองเห็นแสงสว่างอันน้อยนิด แต่ไม่นานทุกอย่างก็ค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น ๆ
จู่ ๆ เสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ก็ดังขึ้นมาในหูให้ได้ยิน คล้ายกับว่ากลุ่มคนมากกว่าสิบชีวิตยืนห้อมล้อมร้องเพลงกันอย่างชื่นมื่นอยู่เบื้องหน้า
...แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู ...แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู
...แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธ…เดย์…ทูยู
หลังบทเพลงจบลงเจ้าของวันเกิดก็เป่าเทียนจนมอดดับ แสงไฟที่เคยถูกปิดเอาไว้กลับมาส่องสว่างอีกครั้ง
ท่ามกลางวงล้อมของผู้คน ใบหน้าของเจ้าของวันเกิดเริ่มมองเห็นได้ถนัดตา
...นั่นเขาเอง! เหตุการณ์นี้คือวันเกิดของเขาตอนอายุสิบขวบ!
ในภาพแห่งความฝันเขายิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุข กล่องของขวัญมากมายถูกยื่นให้กับมือ เขารับของขวัญเหล่านั้นมาด้วยความปลื้มปีติ และผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างฉางกังน้อยคือพ่อและแม่
ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาจำความได้เลยสักนิด ในฝันพ่อและแม่โอบกอดกันและปรองดองกันดีเยี่ยม ไม่มีท่าทางหมางเมินต่อกันอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอดระยะหลายปี รอยยิ้มของทุกคนในที่นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น
"เอ๊ะ ฉางเกอไปไหน" จู่ ๆ เสียงของคุณย่าก็ดังขึ้น ทุกคนต่างกวาดสายตามองหาใครคนหนึ่งไปรอบบริเวณ
"เดี๋ยวหนูไปดูเองค่ะ เมื่อกี้นี้เห็นวิ่งมาบอกว่าจะไปหยิบของขวัญวันเกิดมาให้กังเอ๋อร์" เยว่ปิงเหยียนผู้เป็นมารดาบอกกล่าวกับแม่สามีแล้วหันมาลูบศีรษะฉางกังอย่างเอ็นดูแล้วปลีกตัวเดินจากไป
"ตัดเค้กเลยไหมอากัง" ลู่เชาถิงเอ่ยขึ้นพลางดึงเทียนแต่ละเล่มที่เสียบอยู่บนหน้าเค้กออก
"ยังครับ ผมจะรอฉางเกอก่อน ผมอยากให้ฉางเกอเลือกหน้าเค้กส่วนที่ดีที่สุดเป็นคนแรก"
เมื่อเด็กชายวัยสิบขวบพูดเช่นนี้รอยยิ้มของคนรอบข้างบังเกิดขึ้น ทุกคนต่างเอ็นดูในความรักใคร่ของเด็กทั้งสอง คุณย่าโน้มใบหน้าลงมาหอมแก้มหลานชายเสียยกใหญ่ ส่วนเชาถิงก็ลูบศีรษะลูกชายด้วยความรักใคร่ ทว่าเมื่อเสียงหัวเราะจบลงก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น มันคือเสียงร้องด้วยความตกใจสุดขีดของปิงเหยียน
กรี๊ดดดดดดด!
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป