กรี๊ดดดดดดด
สิ้นเสียงกรีดร้องฉางกังสะดุงตื่นจากความฝัน รีบหันมองรอบกายพบว่านี่คือห้องนอนของตนเองไม่ใช่งานวันเกิดแต่อย่างใด ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงระส่ำ เพราะความฝันเมื่อครู่นี้เสมือนจริงเกินไป จะว่าเป็นความฝันเสียทีเดียวก็ไม่ถูกหรอก เรื่องราวที่เขามองเห็นนั้นมันคือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงเมื่อครั้งที่เขาอายุสิบขวบ ทว่าเหตุใดเล่าเพิ่งจะมาจำได้เอาตอนนี้ และถึงจะจำได้บ้างแต่ก็จำได้ไม่ครบถ้วน
“ฉางเกอ ฉางเกออีกแล้ว”
ฉางกังไม่อยากฝันแบบเดิมซ้ำ ๆ อีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาได้เปิดกล่องโบราณนั่นสิ่งแปลกประหลาดมากมายก็เกิดขึ้นกับเขาเรื่อยมา แม้แต่ในความฝันก็หาคำตอบไม่ได้…ไม่เคยได้รับคำตอบใด ๆ
ไม่ชักช้ารีรอ คิดได้ดังนั้นฉางกังก็ลุกจากเตียงเดินเปิดประตูออกไป ด้านนอกนั้นมีถาดยาแก้ฟกช้ำวางอยู่ที่พื้น ในถาดมียาแบบทาและแบบรับประทาน ปลายเท้าของเขาเกือบจะเตะมันเข้าให้ เขาชักเท้ากลับมากะทันหัน พลางนึกในใจว่าเสียงเคาะประตูที่เขาได้ยินครานั้นคงจะเป็นคุณย่าที่เอายามาวางให้เขาเป็นแน่ ยามนี้เขารู้แล้วว่าคนที่เป็นห่วงเขาอย่างบริสุทธิ์ใจที่สุดคือคุณย่าหลิว…
ฉางกังไม่ได้หยิบถาดยาขึ้นมา เขาเลือกที่จะเดินผ่านมันไปเพราะคิดว่ามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่ารออยู่ ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อหยิบเอากุญแจตู้เซฟที่ซ่อนอยู่ใต้กระถางธูป ก่อนออกจากห้องนี้เขาได้หยุดมองรูปถ่ายของพ่อและแม่ครู่หนึ่ง ดวงใจที่ด้านชาไม่ได้รู้สึกคำนึงหา เพียงแต่อยากมองให้ชัดเจนขึ้นว่าพวกเขาทั้งสองจะเป็นคนที่ตรงกับความฝันหรือไม่ แล้วเขาก็ได้คำตอบนั้นแล้ว…
…ตรงกันทุกกระเบียดนิ้ว
มาถึงห้องเก็บสมบัติ ฉางกังใช้กุญแจเสียบเข้าไปที่ตู้เซฟ หลังจากเสียบกุญแจแล้วเขาก็ทำการหมุนรหัส ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้นประตูเซฟถูกเปิดออก มือเรียวขาวผ่องเอื้อมไปหยิบกล่องไม้โบราณมาถือไว้ เขาอยากลองดูว่าครั้งนี้จะสามารถเปิดมันออกได้อีกหรือไม่
“โอ๊ะ”
ครั้งนี่แปลกประหลาดกว่าครั้งก่อน เพียงแค่แง้มเบา ๆ ฝากล่องก็ถูกเปิดอย่างง่ายดายแทบจะไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ อาการโคลงเคลงในหัวเริ่มเป็นเหมือนรอบที่แล้ว ความรู้สึกราวกับมีผีเสื้อนับร้อยนับพันบินว่อนอยู่ในท้องก็เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนหลายเท่า เสียงหวีดหวิวดังจนหูแทบแตก ฉางกังรีบใช้สองมือปิดหูเอาไว้ ทันใดนั้นเส้นเลือดที่ขมับก็ปูดขึ้นจนเห็นชัด
...และแล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ความรู้สึกอึดอัดเหล่านั้นสลายไปด้วยเช่นกัน เส้นแสงหนึ่งปรากฏต่อหน้า เป็นแสงสว่างวูบใหญ่ส่องพรึบเดียวแล้วก็อันตรธานไปกับตา
…..
จิ้ม…จิ้ม จิ้ม จิ้ม
จิ้ม…จิ้ม จิ้ม จิ้ม
"ท่านพี่"
…ใคร? เสียงเด็กที่ไหน? ฝันอีกแล้วเหรอ?
“ท่านพี่ขอรับ ไม่เล่นด้วยกันหรือขอรับ"
ฉางกังเปิดเปลือกตาขึ้นมา ภาพตรงหน้าไม่ใช่ห้องเก็บสมบัติอีกแล้ว แต่เป็นทิวเขาที่ตั้งตระหง่าน ฝูงนกกระสาบินผ่านม่านฟ้าตรงช่องเขา ยินเสียงน้ำไหลเอื่อย ๆ อยู่ไม่ไกล กลิ่นดินกรุ่นละมุนหอมหวน ปลายยอดไม้ใบหญ้าไหวติงด้วยแรงลม ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ๆ หลายต่อหลายครั้ง เหตุใดสถานที่ตรงนี้ช่างคุ้นตานัก…
"เขาวั้งซานกู่!"
เขามาอยู่ที่วั้งซานกู่ได้อย่างไร ทุกส่วนของอณูกายสั่นสะท้าน ลมเย็นวูบใหญ่พัดผ่านหน้าทำขนลุกไปทั้งตัว
“จิ้ม ๆ”
เสียงเด็กดังขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง ฉางกังรีบหันขวับกลับมามองด้วยความมึนงง ภาพที่เห็นคือเด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ที่พื้น ในมือของเขามีกิ่งไม้ขนาดเหมาะ เด็กนั่นกำลังใช้กิ่งไม้นั่งจิ้มมูลสัตว์เล่นอย่างสนุกสนาน
ฉางกังสะดุงโหยงรีบกระเถิบถอยให้ห่างจากเด็กนั่น เขารังเกียจมูลสัตว์เป็นที่สุด ไม่แน่ชัดว่าเจ้าก้อนสีเข้มเปียกชื้นนี่จะเป็นสัตว์ชนิดใดขับถ่ายทิ้งไว้ อาจจะเป็นวัวหรือไม่เช่นนั้นก็ควายป่า ทางฝ่ายเด็กน้อยเมื่อเห็นเขากระโดดหลบก็นั่งเอียงคอมองด้วยความสงสัยพร้อมเอ่ยถาม
“ไม่เล่นด้วยกันหรือขอรับ”
“ละ เล่นเหรอ"
…เล่นขี้เนี่ยนะ! เขานึกในใจพลางกวาดสายตามองไปโดยรอบ บริเวณนี้แทบจะไม่มีบ้านคนแม้แต่หลังเดียว แล้วเจ้าเด็กนี่ลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะถึงได้มานั่งเล่นอยู่ในที่แบบนี้ หากเจอพ่อแม่ของเด็กเขาควรว่ากล่าวสั่งสอนเสียหน่อย เหตุใดถึงได้ปล่อยเด็กเล็กมาเล่นเพียงคนเดียวลำพังกลางป่าเขา
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป