เปล่าเลย...เธอไม่ได้หึงหวงเขา เขาซื้อสร้อยเพื่อเอาใจหุ้นส่วนเจิ้งแล้วอย่างไร? ที่ลี่อินมีอาการเช่นนี้นั่นก็เพราะความกลัวบางอย่างกำลังแผ่ซ่าน
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” เขายิ้มออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดต่อ “ที่แท้คุณก็อยากได้สร้อยเหมือนกันนี่เอง งั้นเรากลับไปที่ร้านนั้นซื้ออีกสักสิบเส้นก็ยังได้”
“…ฉะ ฉันน่ะเหรออยากได้”
ลี่อินเค้นเสียงหัวเราะ เธอนะหรืออยากได้ของพรรค์นี้ คำพูดของเขาดูเหมือนจะใจดีแต่แฝงด้วยคมมีดนับสิบเล่มซ่อนอยู่ ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ ๆ เพื่อขับไล่น้ำตาที่กำลังจะเอ่อออกมาให้แห้งเหือดไป เธอหันมาสบตากับเขาแล้วพูดน้ำเสียงกลั้นสะอื้น
“…ระหว่างทางฉันคิดมาตลอดว่าผลจะออกมาเช่นไร ตอนนี้ฉันได้คำตอบนั้นแล้ว โล่งใจจัง…ในที่สุดความกลัวของฉันก็ถึงจุดสิ้นสุดเสียที ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้”
"หมายความว่ายังไงลี่อิน"
"คุณรู้ไหมวันนี้วันอะไร"
"อาจจะเป็น...เอ่อ วันที่มนุษย์โลกเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก"
"ไม่"
"...งั้น หรือว่าจะเป็นวันที่เรือไททานิคจมดิ่งสู่มหาสมุทร"
"วันนี้วันเกิดฉัน"
ประกายในตาฉางกังไหววูบหนึ่ง เขาเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วแล้วพูดต่อ
“ที่แท้ก็วันเกิดนี่เอง ไปสิ อยากได้อะไรผมซื้อให้ได้หมด คุณจะเอาสร้อยที่แพงกว่านี้สักห้าเท่าผมก็ซื้อให้ได้”
“พอเถอะ!”
เธอตวาดลั่นจนคนที่เดินสวนไปสวนมาหันมองเป็นตาเดียวกัน ลี่อินข่มอารมณ์โมโหเอาไว้อย่างถึงที่สุด
“คุณไม่อยากได้สร้อยเหรอ หรือว่าอยากได้อะไรที่พิเศษกว่านั้น”
“ฉันไม่อยากได้อะไรจากคุณทั้งนั้น ตอนนี้! เวลานี้ฉัน! ฉันแค่อยากฟังความจริงข้อเดียว แล้วคุณก็ต้องตอบฉันมาห้ามโกหก…คุณลืมวันเกิดฉันใช่ไหม”
“ผม…” ชายหนุ่มเว้นระยะถ้อยคำ หลุบตามองที่ปลายเท้าตนเองคล้ายว่าสำนึกผิด “ใช่ ผมลืมไปจริง ๆ”
“เข้าใจแล้ว คุณไม่ได้ลืมหรอก แต่เป็นฉันเองที่ไม่สำคัญมากพอ มันเป็นเรื่องกดดันมากที่ต้องเอ่ยคำว่าเลิกกันรอบสอง
ทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งจะบอกเลิกรอบแรกไปเมื่อสามวันที่แล้ว"“ไม่เอาน่าลี่อิน เราไม่ควรทะเลาะกันเพราะเรื่องแค่นี้”
“เรื่องแค่นี้เหรอ? มันไม่ใช่เรื่องแค่นี้ แต่ฉันสะสมความเสียใจมาตั้งนานแล้ว คุณไม่เคยใส่ใจความรู้สึกฉันเลย ผิดนัดได้ตลอด ทิ้งขว้างฉันคุณก็เคยทำ ในเวลาที่ฉันต้องการคุณคุณก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะอยู่เคียงข้างฉัน เราควรพอได้แล้ว! ไปต่อไม่ได้แล้ว! ลู่ฉางกัง...เราเลิกกัน”
ลี่อินพูดจบก็หันหลังเดินเร็ว ๆ จากไป ฉางกังยังมึนงงอยู่ว่าเขาทำพลาดไปตรงไหน ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้ความผิดของตนเอง เมื่อตั้งสติได้ชายหนุ่มก็ตั้งท่าจะวิ่งตามแต่ลี่อินร้องขึ้นเสียงดัง
“อย่าตามมา! หากยังขืนตามฉันอีก ฉันจะแจ้งความว่าคุณเป็นพวกสตอล์คเกอร์ ลู่ฉางกัง คุณคือผู้ชายเฮงซวย!”
ลี่อินวิ่งออกมาที่ถนนด้านนอกห้างสรรพสินค้า กลุ่มเมฆดำถมึงทึงลอยอยู่เหนือตึกสูงเสียดฟ้า บรรยากาศตอนนี้ช่างเหมือนตอนที่เขาผิดนัดแล้วปล่อยเธอเคว้งคว้าง อีกไม่นานจากนี้พายุลูกใหญ่คงเข้ามาซ้ำเติมเธอเป็นแน่ ในวันนี้เธอไม่อยากหาที่หลบฝนและไม่อยากเรียกรถมารับ ลี่อินอยากรู้ว่าสายฝนจะเล่นงานเธอให้เจ็บปวดได้สักเท่าใด มันจะทำให้เธอเจ็บและทรมานใจได้เท่ากับเขาไหม
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ สายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ท้องถนนขมุกขมัวมืดสลัว พร่างพรายด้วยเม็ดฝน ดวงตาของหญิงสาวพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา เธอเดินซวนเซตากฝนจนเปียกปอน ความหนาวเหน็บกัดกินหัวใจที่เศร้าหมองจนแหลกสลาย ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังรู้สึกว่าตนเองต่อสู้อยู่ลำพัง…
เธอกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่งั้นหรือ? นี่คือคำถามที่เธอถามตนเองหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้คำตอบ…
…อดทนกับความละเลยของเขา หรืออดทนกับความใจอ่อนของตัวเอง
อาจเป็นเพราะช่วงเวลาที่มีเขามันเนิ่นนาน นานพอที่จะเก็บใครบางคนเอาไว้ในใจส่วนที่ลึกสุดแล้วก็ยากจะสลัดออก
ง่าย ๆ ไม่ว่าวันนี้เธอจะเป็นฝ่ายขอจบความสัมพันธ์หรือเขาเลิกราไปเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กันเลยสักนิดตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป