ในห้องแคบ ๆ สองพี่น้องยังไม่ได้ดับเทียน ลู่ฉางเกอนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงไม้ ส่วนลู่ฉางกังยืนมองเด็กน้อยอยู่ข้างเตียง สิ่งที่เขาค้นหามาตลอดก็ได้เจอคำตอบแล้วแต่ยังไม่กระจ่างทั้งหมด เขาได้รู้แล้วว่าฉางเกอที่อยู่ใต้จิตสำนึกคือน้องชายแท้ ๆ ของเขานั่นเอง แล้วทำไมความทรงจำระหว่างเขากับเจ้าเด็กนี่ถึงได้หายไปหมดล่ะ บางทีถ้าเขากลับไปที่นครฉงเทียนแล้วเดินยืดอกไปถามคุณย่าตรง ๆ อย่างห้าวหาญเขาเองก็อาจจะได้คำตอบนั้น
สิ่งที่เจอวันนี้เป็นเพียงฝันก็ดีมากแล้ว ช่างเป็นความฝันที่วิเศษจริง ๆ พอตื่นจากฝันเขาจะซักถามคุณย่าต่อให้กระจ่าง...
ฉางกังมองฉางเกอไปพลางในใจก็ครุ่นคิดอย่างหนัก อย่างไรความฝันก็คือความฝัน ไม่อาจเป็นความจริงขึ้นมาได้ ต่อให้ในยามนี้เขาได้พบเจอกับแม่และน้องที่ลาจากโลกไปแล้วก็ตามที ต่อให้ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น ดังนั้นเมื่อสิ่งที่โต้แย้งกันอยู่ในหัวสมองได้คำตอบแล้วว่าควรกลับไป ชายหนุ่มในร่างของเด็กน้อยก็มุดเข้าไปที่ใต้เตียง เขายืนมือออกไปคว้ากล่องไม้มาถือไว้ เมื่อเห็นว่าพี่ชายได้หยิบกล่องไม้ขึ้นมาฉางเกอจึงลุกนั่งจ้องมองด้วยความสงสัย
“ท่านพี่จะทำอะไรหรือขอรับ”
“ลู่เกอ”
“ขอรับ”
“ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่นนั่นคือความจริงที่สุดในสามโลก ฉัน…เอ่อ…พี่ต้องไปแล้ว นายเองก็คงจะสลายหายไปด้วยสินะเพราะนายคือความฝันของพี่…เข้ามานี่เถิด"
ผู้เป็นพี่บอกแล้วกวักมือเรียกน้องชาย พอฉางเกอเดินเข้ามาใกล้ ๆ เขาก็คว้าเจ้าตัวเล็กมากอดไว้แนบแน่น หลังจากคลายอ้อมกอดฉางกังจึงใช้มือข้างหนึ่งขยี้ศีรษะเจ้าก้อน
“ท่านพี่จะไปไหนขอรับ”
“จะต้องกลับแล้ว กลับไปสู่โลกแห่งความจริง จากนี้ไปไม่กี่อึดใจข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนายจงถอยให้ห่าง ต่อให้พี่จะลงไปนอนเกลือกกลิ้งที่พื้นเจ็บปวดเจียนตายก็อย่าได้เข้ามาใกล้ หันหน้าเข้าข้างฝาแล้วหลับตาเสีย”
คำสั่งเสียเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ฉางเกอไม่เข้าใจที่เขาพูดหรอกว่าหมายถึงอะไรกันแน่แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อเจ้าเด็กน้อยหันหน้าเข้าฝาแล้วฉางกังก็ถือกล่องในมือไว้จงมั่น เขาตั้งใจจะเปิดกล่องนั้นอีกครั้งเพื่อหวังจะได้ตื่นขึ้นจากความฝัน
“ฉางเกอ…ลาก่อน...”
ฮึบ!
...
หลายจิบน้ำชาผ่านไป
“ทะ ท่านพี่”
...เงียบกริบ...
“ท่านพี่ข้าหันกลับไปได้รึยังขอรับ”
เวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วฉางเกอก็ไม่ได้คำตอบจากพี่ชายจึงตัดสินใจหันกลับมามอง ภาพตรงหน้าคือเห็นผู้เป็นพี่ลงไปนอนปากกัดตีนถีบพยายามเปิดกล่องอยู่ที่พื้น ยื้อยุดกับกล่องไม้ใบนั้นจนตัวคดงอ ไม่ว่าจะพยายามเปิดอย่างไรมันก็ดื้อด้านเปิดไม่ออก!
…สภาพน่าอนาถใจยิ่ง
“ไม่ออก ฮึบ! เปิด เปิดซีวะ! เปิดเดี๋ยวนี้ เปิดโว้ยยยยย”
“ทะ ท่านพี่”
"ออกเดี๋ยวนี้นะ เปิดออกเซ่!"
"...?"
"บรรลัย...จบเห่แล้วชีวิตนี้"
เขาลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก กล่องไม้ในมือก็พลันหลุดมือไปด้วย เมื่อทอดมองใบหน้าของน้องชายที่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ ก็รู้สึกสิ้นหวังไปกันใหญ่
เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย...
ลู่ฉางเกอล้มตัวลงนั่งข้างพี่ชาย ยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างอยากรู้อยากเห็น แสงจากเปลวเทียนสะท้อนในดวงตาใสซื่อจนมองเห็นประกายระยิบระยับอยู่ภายใน
ตัวพี่ชายเองจับจ้องเข้าไปในดวงตาน้องแล้วคิดอะไรได้อย่างหนึ่ง ถ้าหากนี่ไม่ใช่ความฝันล่ะ? ถ้าสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาคือโลกอีกมิติหนึ่งเขาจะทำอย่างไรดี ไม่ใช่ว่าจะต้องติดแหง็กอยู่เช่นนี้ตลอดกาลใช่หรือไม่! ฉางกังคิดได้ดังนั้นก็จับไหล่ทั้งสองของฉางเกอเอาไว้แล้วเขย่าเบา ๆ เค้นถาม
"ลู่เกอ ปีนี้ปีอะไร"
...ฉางเกอส่ายหน้า
"เอ่อ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีพระนามว่าอย่างไร"
...ฉางเกอส่ายหน้าไปมาอีกรอบ
จริงสินะ เจ้าเด็กเล็กคนนี้อายุแค่เจ็ดขวบ จะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเรื่องของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ชีวิตอันรุ่งโรจน์ของคุณชายตระกูลลู่มหาเศรษฐีแห่งฉงเทียนน่าจะจบสิ้นเสียแล้วล่ะ
ในช่วงเวลาที่คับขันเช่นนี้ หากมีมือคู่หนึ่งยื่นเข้ามาช่วยเหลือเขาสัญญาว่าจะจ่ายให้อย่างงาม แต่จะเป็นใครไปได้ ในเมื่อเขาหาทางเข้ามาเองก็ต้องหาวิธีกลับออกไปเองให้จงได้...
"ไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วจะมีใครช่วยเราได้ล่ะเนี่ย ใครรู้บ้างช่วยบอกที"
เขาพึมพำ ทรุดตัวหมอบลงกับพื้น ภาพลักษณ์คุณชายลู่ผู้สง่างามแห่งฉงเทียนไม่มีอีกแล้ว มีแต่ลู่ฉางกังเด็กสิบขวบบ้านยากจนคนหนึ่งเท่านั้น
"ข้ารู้ขอรับ"
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ลู่ฉางกังลุกพรวดขึ้นนั่งอย่างมีหวัง แสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์เริ่มส่องสว่างพอเห็นทางเลือนรางอีกครั้ง
"ดี! พรุ่งนี้พาพี่ไปหาคนผู้นั้นด่วน"
ตะวันบ่ายคล้อย แสงแดดเบื้องบนแรงกล้าทว่ากลับส่องไม่ถึงยังพื้นดิน เนื่องจากต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นหนาแน่นบดบังแสงแดดจนมิด ทำให้อากาศใต้ร่มเงาของต้นไม้ไม่ถึงขั้นร้อนจัด เข่อซิงเหนื่อยจนคอแห้งเป็นผงรีบหยิบเอาน้ำพกที่เหน็บอยู่เอวมายื่นให้เจ้านายหนึ่งขวด ส่วนอีกขวดที่พกมาเขาดื่มเอง ฉางกังรับน้ำมาแล้วก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่“เดินมาตั้งนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะเจอเลยนะครับ หรือว่าจะไม่มี” เข่อซิงพูดไปมือก็ปิดฝาขวดไป“ฉันคงคิดไปเองสินะ ความฝันก็ยังเป็นความฝันวันยังค่ำ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น”คำนี้เป็นเขาเองที่เคยพูดกับฉางเกอ ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น แต่วันนี้กลับมีเพียงเขาที่ไม่ยอมตื่นเสียที ฉางกังคิดแล้วก็ทำหน้าเศร้า ระหว่างที่กำลังถอดใจผู้ดูแลหยางเปียวก็ได้พูดขึ้น“เป็นไปได้ไหมครับว่าต้นเทียนไถเอ่อร์ลี่ที่ประธานลู่ตามหาจะตายไปแล้ว”"ตายงั้นเหรอ”“ขอรับ ที่วั้งซานกู่มีซากต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายต้นหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่หลายคนโอบแต่ตอนนี้เหลือแต่ตอ”“รีบพาไปดูเร็วเข้า”หยางเปียวพยักหน้ารับแล้วเดินนำสองคนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ตายแล้ว มันเหลือแต่ตออย่างที่เขาบอกจริง ๆ แต่เป็นตอที่มีความสูงอยู่ระดับอก เส
นอกจากเข่อซิงกับฉางกังแล้วยังมีหลิวเซียงฉินที่ติดตามมาด้วยอีกคน อีกไม่กี่กิโลเมตรก็จะเข้าเขตเขาวั้งซานกู่แล้ว จู่ ๆ ฉางกังก็ได้พูดบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ทุกคนที่นั่งในรถเพ่งความสนใจมาที่เขา“คุณย่าครับ ช่วงที่ผมหลับไปหลายวันผมฝัน”“ฝันว่าอะไร” ย่าหลิวถามกลับอย่างใส่ใจ ฉางกังคว้ามือเหี่ยวย่นมากุมไว้แล้วพูดต่อ“มันเป็นฝันดีตื่นหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมาหัวใจของผมก็แตกสลายไปหมดแล้ว”บรรยากาศในรถเงียบสนิท ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กันและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉางกังกันแน่ ฉางกังหัวเราะเบา ๆ เพื่อให้ความตึงเครียดของคนในรถลดลง “ผมฝันว่าได้กอดคุณแม่ ฝันว่าคุณพ่อแบกผมขึ้นหลัง…แล้วผมก็ฝันว่าลู่เกอร้องไห้งอแงกอดขาผม”ใบหน้าของหลิวเซียงฉินกระตุบวูบหนึ่ง ความลับที่ปกปิดเอาไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ฉางกังคงถึงเวลาต้องพังทลายลงแล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ชั่วชีวิต แต่นางก็ไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉางกังจะจดจำได้เอง คนเราทุกคนต่างมีความทุกข์เป็นของตนเอง ในความทุกข์นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขปนอยู่ อย่างน้อย ๆ ฉางกังก็ยังยิ้มได้ นั่นแสดงว่าเขาคงทำใจยอมรับได้บ้างแล้ว“ผมจำทุกอย่างได้หมดแล้วนะครับ”“…อากัง ย่าขอ
“คุณย่าครับ ผมขอคุยบางอย่างกับลี่อินลำพังหน่อยสิ”เข่อซิงพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ ประคองคุณย่าหลิวออกไป หลังจากอยู่กันสองต่อสองแล้วลี่อินพยายามจะเอ่ยคำขอโทษแต่ฉางกังยกมือขึ้นมาปรามไว้ก่อน“อย่ารู้สึกผิดและอย่าโทษตัวเอง คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมทำตัวเองทั้งนั้น”“ฉัน…”“ลี่อิน อันที่จริงมันก็ถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือจากกันตั้งนานแล้ว แต่เป็นผมเองที่ยังรั้งคุณเอาไว้อย่างเห็นแก่ตัว นับจากนี้ไปเราจงหันหลังให้กันในฐานะคนรัก และหันหน้าให้กันในฐานะเพื่อนเถอะ อย่าฝืนทนกันอีกต่อไปเลย คุณรักไปเหนื่อยไป ส่วนผมก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาได้ วันนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้วว่าเรื่องระหว่างเรามันถึงจุดที่ควรพอ ถึงวันข้างหน้าเราอาจไม่ใช่คนรักกันแล้ว แต่ผมอยากให้รู้ว่าคุณคือผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ผมอยากขอโทษคุณจากใจจริงจางลี่อิน คำขอโทษครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผมสำนึกผิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำและไม่ใช่สถานะที่เราเป็น…ผมขอโทษ”ลี่อินสะอื้นเบา ๆ เธอยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา ฉางกังเองก็ยิ้มตอบเช่นกัน เรื่องของลี่อินและเข่อซิงเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียง
ฉางกังไม่อยากให้ทุกคนลืมเขาไปเลยจริง ๆ และยังอยากฝังตนเองให้อยู่ในความทรงจำของทุกคนตลอดกาล เสียอย่างเดียวที่ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาได้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ…เพราะการจากลามันเจ็บปวดเกินไป หากทุกคนจำได้ว่ามีฉางกังอยู่ก็อาจจะเจ็บปวดจากการจากไปของเขา“สักวันพวกเราคงพบเจอกันใหม่ที่ไหนสักที่หนึ่ง…ข้าขอลา”สิ้นคำอำลาฉางกังค่อย ๆ เปิดฝากล่องไม้ออก ครั้งนี้มันเปิดออกง่ายดายเสียจนไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยเหมือนทุกครั้ง หยาดน้ำตาใส ๆ หล่นแหมะลงไปที่ก้นกล่องไม้ พลันบังเกิดแสงสว่างวาบเหมือนสายฟ้าฟาด ชั่วพริบตาเดียวร่างของเขาก็อันตรธานหายไปจากตรงนั้น เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ทุกคนลืมเลือนไป……..ติ๊ด…..ติ๊ด….ติ๊ด….ติ๊ดเสียงที่ทำให้รู้สึกรำคาญหูปลุกเขาตื่นจากการหลับใหล เสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสอบชีพจรซึ่งมันตั้งอยู่ที่ข้างเตียงผู้ป่วย วินาทีแรกที่ฉางกังลืมตาขึ้นมาเขาได้มองไปรอบกาย ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นของในยุคปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ สามารถประเมินได้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ใด สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในนครฉงเทียน คนในตระกูลลู่มาใช้บริการเป็นประจำเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เขาก
ที่โพรงต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าบ้านตระกูลลู่ ฉางกังมุดเข้าไปเอาถุงที่บรรจุตั๋วเงินออกมา ผลปรากฏว่าไม่มีอะไรเสียหายเลย พืชกันแมลงที่ใส่เข้าไปนั้นออกฤทธิ์ดีเยี่ยม ฉางกังแบกเอาถุงผ้าเก่า ๆ ขึ้นบ่าเดินเข้าไปในตลาด ระหว่างที่เดินบนถนนอันหนาแน่นด้วยผู้คนบังเอิญเห็นเข่อซิงและลี่อินเดินเคียงคู่กันมา ฉางกังหยุดมองแล้วยิ้มบาง ๆ แต่คนทั้งสองได้เดินผ่านเลยไปเหมือนไม่รู้จักกัน ยามนี้ฉางกังจึงเริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่ครอบครัวที่จดจำเขาไม่ได้ แต่เป็นคนในมิตินี้ทั้งหมดเลยต่างหากเขาเดินมาหยุดยังสถานที่แห่งหนึ่ง วางถุงใส่ตั๋วเงินอันหนักอึ้งลงพื้นเสียงดังตุบ คนในร้านต่างหันกลับมามองเป็นตาเดียว“เถ้าแก่อยู่ไหม”“อยู่ ข้านี่แหละเถ้าแก่ร้านนี้”“ข้าขอซื้อร้านค้าร้านนี้”เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเสียงแง้มประตูให้เปิดออก ตามมาด้วยร่างของหญิงชรานางหนึ่ง ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่อากาศจึงหนาวเย็นยะเยือก หยาดน้ำค้างเกาะอยู่ตามยอดหลิวแลดูอ่อนละมุนยิ่ง กลิ่นควันจากการเผาไหม้จาง ๆ ลอยมาเตะจมูก พลันดวงตาพร่ามัวก็สะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ หญิงชราเดินเชื่องช้าไปยังแคร่ไม้ไผ่ตัวนั้น เมื่อได้เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็พ
“เอาความทรงจำของพวกเขามาแลก คนที่เจ้ารักจะลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น แล้วเจ้าก็จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับพวกเขา ความเจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่การลืมแต่เป็นการจดจำ เช่นนี้ถึงจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ…ว่าอย่างไรลู่ฉางกัง!”“ตะ ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ…" เด็กชายจุกในอกจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเปล่งเสียงแผ่วเบาออกมา "ได้ ข้ายอมแลก ต่อให้ข้าจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาก็ยังอยากขอให้ฉางเกอได้มีโอกาสใช้ชีวิตอีกครั้ง ได้โปรดช่วยน้องชายข้าด้วยเถอะ"ฉางกังรับข้อเสนอด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ต่อให้สิ่งแลกเปลี่ยนคราวนี้จะมีค่ามหาศาลเพียงใดเขายอมแลกได้ทั้งนั้น แม้แต่ชีวิตฉางกังยังยินดีมอบให้ได้ แล้วนับประสาอะไรแค่การหายไปจากใจพวกเขาตลอดกาล…...เขากัดริมฝีปากตนเองจนขึ้นสีขาวซีด แล้วปิดเปลือกตาลงช้า ๆ“…ข้าพร้อมแล้ว”สิ้นคำจำยอมก็เกิดแสงสว่างวูบใหญ่เหมือนสายฟ้าฟาด ที่เบื้องหน้าฉางกังปรากฏกล่องไม้โบราณลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงปริศนาดังขึ้นว่า“เมื่อเจ้าเปิดกล่องใบนี้อีกครั้ง เจ้าจะได้กลับไปที่ที่เจ้าจากมา”“…เข้าใจแล้ว ขอบคุณ ข้าขอบคุณ”ในก้าวแรกที่เขาผละตัวออกมา พลันภาพทั้งหลายก็หมุนกรอย้อนกลับเป