เพื่อหลีกเลี่ยงความลำบากในการขึ้นลงบันได เธอจึงอยู่ในห้องนอนบนชั้นสองตลอดโดยไม่ออกมาจากห้องเลยหากจะกินข้าวก็ให้แม่บ้านเอาขึ้นไปให้เธอในขณะนี้เวินเหลียงกำลังง่วนอยู่กับการจัดการงาน เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็นึกว่าเป็นแม่บ้านที่เอาข้าวมาให้ จึงพูดโพล่งออกไปว่า “วางไว้บนโต๊ะก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันค่อยกิน”“กินข้าวก่อนแล้วค่อยทำงานเถอะ ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอก” น้ำเสียงของฟู่เจิงแว่วดังมาเมื่อเวินเหลียงเงยหน้าขึ้น ถึงได้เห็นว่าฟู่เจิงเป็นคนเอาอาหารมาให้เธอ “คุณเลิกงานแล้วเหรอ”“อืม”เวินเหลียงปิดโน้ตบุ๊กลง ฟู่เจิงเอาอาหารไปวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าเวินเหลียง จากนั้นก็ลงไปกินข้าวรอเมื่อเธอกินข้าวเสร็จแล้ว เขาถึงขึ้นมาเก็บถ้วยชามและตะเกียบให้เวินเหลียงอีกครั้งขณะที่ขึ้นมาอีกครั้ง ในมือของฟู่เจิงมีกระเป๋าอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งใบ ข้างในใส่ยาบางส่วนของเวินเหลียงเอาไว้ในนั้นไม่ได้มีเพียงยาที่ทางโรงพยาบาลสั่งมาให้เท่านั้น ยังมียาบรรเทาอาการ “กระเพาะอาหารแปรปรวน” ด้วยเห็นฟู่เจิงหยิบยาเหล่านั้นออกมาทีละซอง ๆ ในใจของเวินเหลียงก็เต้นตึกตัก ๆ นิ้วมือจับชายเสื้อเอาไว้แน่นฟู่เจิงหยิบขวด
“ผมจะพยายามกลับมา” ฟู่เจิงเอ่ย“คุณฉู่เป็นอะไรเหรอ?” เวินเหลียงรวบรวมพลังใจถามขึ้นมาในใจของเธอมีการคาดเดาเอาไว้ตั้งนานแล้ว ฟู่เจิงไปคราวนี้ไม่กลับมาอย่างแน่นอน เหมือนอย่างเมื่อวานไม่รู้ว่าฉู่ซืออี๋เรียกเขาไปด้วยเหตุผลอะไร? ตั้งสองวันติดต่อกันแล้วฟู่เจิงหันหลังกลับไปมองเธอ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “เวินเหลียง ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยถามมากมายขนาดนี้เลยนี่”เวินเหลียงสีหน้าซีดขาว “ฉันเจ็บเท้ามาก ๆ คุณช่วย...”“อาการบาดเจ็บที่เท้าคุณก็ไม่ได้รุนแรงอะไร มีเรื่องอะไรก็เรียกแม่บ้าน”น้ำเสียงของฟู่เจิงเย็นชา เขาเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมาเวินเหลียงมองเงาเบื้องหลังของเขา ในใจขมขื่นสุดขีดเธอสลัดศักดิ์ศรีอันแข็งแกร่งของเธอออกมาอย่างยากลำบาก เผยให้เห็นความอ่อนโยนเล็กน้อย ทว่าเขากลับบอกว่าเธอเรื่องมากในตอนที่คนคนหนึ่งไม่สนใจใยดีคุณ ต่อให้คุณจะเผยความอ่อนแอออกไปมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์เดิมทีเขาอยากจะหย่าอยู่แล้ว เธอมีสิทธิ์อะไรไปถาม?เธอเลอะเลือนไปเอง แค่ฟู่เจิงเอายาให้เธอกิน เธอก็ลุ่มหลงจนไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครไปแล้วหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วแต่สิ่งที่ทำให้เวินเหลียงนึกไม่ถึงเลยก็คือ ก
“นี่ยังเรียกว่าไม่รุนแรงอีกเหรอ? ทำอีท่าไหนถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?”“อาจเป็นเพราะฉันโชคร้ายเอง ช่วงนี้ดวงตกนิดหน่อยน่ะ” เวินเหลียงพูดไปพลางหัวเราะ“นี่ สองสามวันนี้ที่ฉันหยุดพัก แม่ฉันจะไปวัดพอดีเลย หรือให้เขาช่วยขอยันต์ป้องกันภัยมาให้เธอสักผืนดีไหม?”“ดีแน่นอน!” เวินเหลียงสลับมาใช้กล้องหน้า“นี่ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอ? ในเมื่อเธอมาไม่ได้ ให้ฉันไปเยี่ยมเธอแทนดีไหม? เธออยากกินอะไร? ฉันจะได้ซื้อติดไม้ติดมือไปให้เธอสักหน่อย สะดวกไหม?” โจวอวี่แสร้งถามเปรย ๆเวินเหลียงกับโจวอวี่เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กกันก็จริง ทว่าเพิ่งโคจรกลับมาเจอกันอย่างเป็นทางการเมื่อปีที่แล้วนี่เอง และเป็นเพราะเหตุผลด้านการทำงานของโจวอวี่ที่ยุ่งผิดปกติ เจอกันส่วนตัวเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แทบจะทุกครั้งล้วนแล้วแต่นัดกันทานข้าวข้างนอก หรือไม่เวินเหลียงก็ไปเยี่ยมพ่อแม่ของโจวอวี่ที่บ้านโจวอวี่ กลับกันโจวอวี่ไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งของเวินเหลียงเลย รู้เพียงแค่ว่าเธอถูกตระกูลฟู่รับไปเลี้ยงเมื่อโจวอวี่เสนอว่าจะมาเยี่ยมเธอ แน่นอนว่าเวินเหลียงย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ถึงยังไงตอนนี้ฟู่เจิงก็ไม่อยู่บ้านสักหน่อยเธอยิ้มพร้อมทั้ง
เวินเหลียงกลับไปห้องนอนอีกครั้งเพื่อนอนกลางวันบ่ายสามกว่า ๆ ฟู่เจิงก็กลับมาจากข้างนอกด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เขาตรงดิ่งเข้าไปในห้องครัว แล้วรินน้ำให้ตัวเองแก้วหนึ่ง หลังจากนั้นก็ชำเลืองไปเห็นกองของขวัญที่อยู่ตรงมุมห้องครัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะถามขึ้นว่า “ป้าหวัง วันนี้มีคนมาเหรอ?”ป้าหวังตอบไปตามความจริง “เพื่อนของคุณผู้หญิงค่ะ”ป้าหวังทำท่าเหมือนอยากจะพูดต่อแต่ก็ชะงักไปฟู่เจิงมองเธอ “แล้วยังไงต่อ?”“คุณผู้หญิงให้ฉันเรียกเธอว่าคุณหนูต่อหน้าเพื่อนของเธอ”ฟู่เจิงขมวดคิ้วเข้าหากัน “เพื่อนของคุณผู้หญิงเป็นผู้ชายเหรอ?”“ใช่ค่ะ”ในใจของฟู่เจิงมีลางสังหรณ์ว่า เพื่อนที่มาบ้านในวันนี้คือคนที่เวินเหลียงชอบถึงขั้นเสแสร้งว่ายังไม่ได้แต่งงานต่อหน้าคนคนนั้น ดูท่าเวินเหลียงคงชอบเขามากจริง ๆ เดาว่าคงกลัวคนคนนั้นจะรังเกียจเธอเพราะฐานะการแต่งงานครั้งที่สองของเธอฟู่เจิงบีบแก้วน้ำพลางดื่มน้ำไปหนึ่งอึก แล้วถามต่อว่า “ผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? ผมหมายถึงรูปร่างหน้าตา”“เหมือนจะเป็นดาราดังคนหนึ่งที่อยู่ในทีวีนะคะ”ป้าหวังไม่ค่อยได้ดูละครเรื่องใหม่ ๆ มากนัก รู้สึกแค่ว่าคุ้นหน้าคุ้
แต่ในตอนนี้คล้ายกับเธอไม่อยากฟังคำอธิบายของเขาแล้วในเมื่อเป็นคนที่กำลังจะหย่ากันแล้ว เขาอธิบายไปแล้วจะมีความหมายอะไร? ไม่ช้าก็เร็วเขากับฉู่ซืออี๋ก็คบกันอยู่ดีเพียงแต่เป็นปัญหาของเวลาเท่านั้น“เธอว่ามาสิ”“พรุ่งนี้หลังเราหย่ากันแล้ว ฉันอยากลาออก”เมื่อสิ้นเสียง ภายในห้องนอนก็เงียบกริบอยู่หลายนาทีผ่านไปนานสองนาน ฟู่เจิงถึงถามขึ้นว่า “เวินเหลียง เธอแน่ใจนะ? ว่าเธออยากลาออก?”“ค่ะ” เวินเหลียงพยักหน้าอย่างจริงจัง“เธออยากลาออกไปทำอะไร? ผู้จัดการแบรนด์ของเอ็มคิวไม่ดีเหรอ?” ฟู่เจิงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ“ฉันอยากจะลาออกไปทำอะไร ฉันมีแผนของตัวเองอยู่แล้ว ในหนังสือสัญญาหย่าคุณทิ้งเงินเอาไว้ให้ฉันเยอะแยะขนาดนั้น ฉันยังจำเป็นต้องไปทำงานอยู่อีกเหรอ?” ฟู่เจิงอดไม่ได้ที่จะขำพรวดออกมาเหตุผลนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขานิดหน่อยสองสามปีที่เข้ามาอยู่ในตระกูลฟู่ คุณปู่คุณย่าเอ็นดูเธอเป็นอย่างมาก เงินค่าขนมที่ให้เธอพอจะทำให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องทำงานทว่าเวินเหลียงก็ขยันขันแข็งมาตลอดไม่เหมือนคนที่ชอบเอาแต่นั่งกินนอนกินเลยสักนิด“ถ้าเธอไม่บอกแผนของเธอให้ชัดเจน ฉันก็จะไม่มีวั
ใบหน้าของฟู่เจิงเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาพูดขึ้นพร้อมทั้งยิ้มเยาะว่า “ฉันไม่มีสิทธิ์สนใจเธอ? ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของฉัน เป็นน้องสาวของฉัน เธอคิดดูสิ ทำไมเขาถึงให้เธอไปเมืองนอก? หลังจากไปเมืองนอกเธอก็จะไร้ญาติขาดมิตร ถึงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้น?”จะเกิดอะไรขึ้นเวินเหลียงไม่รู้เลยเวินเหลียงรู้แค่ว่าตอนนี้ตัวเองโมโหจะตายอยู่แล้ว!เธอเตะผ้าห่มออกอย่างหงุดหงิด“ซี๊ด...”ไม่รู้ว่าข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บไปเตะชนถูกตรงไหนเข้า ทันใดนั้นความเจ็บแปลบก็แผ่ซ่านขึ้นมาเจ็บจนเวินเหลียงทำเสียงซี๊ด พร้อมทั้งน้ำตาไหลออกมาฟู่เจิงเลิกผ้าห่มออก จากนั้นก็จับข้อเท้าที่ได้รับบาดเจ็บของเธอเอาไว้ “เป็นอะไรไป? บาดเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?”เวินเหลียงน้ำตาคลอพลางพยักหน้าอย่างเจ็บปวดฟู่เจิงช่วยหยิบยามาให้เธอ เปิดผ้าก๊อซบนเท้าออกใหม่อีกครั้ง หลังทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อย ๆ นวดเบา ๆ จากนั้นค่อยทายาที่เย็นเฉียบไปด้านบนอีกทีหนึ่ง ในตอนนี้เองความเจ็บปวดถึงได้ทุเลาลงไม่น้อยฟู่เจิงวางยาทากลับลงไป สีหน้าเคร่งขรึม “เวินเหลียง ฉันไม่มีมีวันยอมให้เธอลาออก ต่อไปอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก”เวินเหลียงถอนหายใจ กลัดกลุ้ม
จากมุมกล้องและระดับความละเอียดของภาพถ่ายแล้วนั้น เวินเหลียงมองเพียงแค่แวบเดียวก็มั่นใจได้ทันทีว่าพนักงานภายในเป็นคนทำในสายตาของแอคปั่นข่าวนี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญในสายตาของพวกเขาก็คือ ในภาพแอบถ่ายของฉู่ซืออี๋การแต่งตัวและการแต่งหน้าดูแปลกพิลึกเป็นพิเศษการแต่งหน้าเพื่อเน้นบุคลิกของฉู่ซืออี๋ โหนกแก้มเด่นเกินไป จากน้อยแต่มากเรียบแต่โก้เปลี่ยนเป็นดูดุร้ายโหดเหี้ยม จงใจวาดขอบริมฝีปากที่แดงก่ำและอวบอิ่มให้ดูโฉบเฉียว เผยบุคลิกของพี่สาวออกมา ทว่าในความไม่เจตนาได้ตัดระยะห่างระหว่างริมฝีปากบนและกระจับปากให้สั้นลงไป เผยความเยาว์วัยออกมาสองสามส่วน เห็นได้ชัดว่าไม่เข้ากันเลยสักอย่าง ยังมีคิ้วที่เขียนจนตรงและแข็งทื่อเกินไป ถูกเหล่าแฟนคลับวิจารณ์กันเป็นอย่างมากเช่นกันหลังภาพภ่ายเหล่านั้นถูกปล่อยออกมา แอคปั่นข่าวก็ต้องลงความเห็นชมแอมบาสเดอร์ของเอ็มคิวในครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัยคอมเมนต์แย่ ๆ พลั่งพลูเข้ามาพวกที่โห่ร้องก่อนใครก็คือแฟนคลับของหลินเยียนหรัน พวกเขาดีใจที่ได้เห็นความล้มเหลวของฉู่ซืออี๋ จากนั้นก็มาคอมเมนต์ใต้แอ็กเคานต์ทางการของเอ็มคิวว่า “ใครใช้ให้พวกคุณไม่เลือกเยียนหรันล่
ของที่อยู่ในกล่องถูกเทออกมาไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นอะไร ทว่ามีสีแดงและสีขาวสลับกัน เลือดเนื้อเปรอะเปื้อน ดูแล้วน่าคลื้นไส้เป็นอย่างมากของเหลวสีแดงสด กระจายไปทั่วพื้น มีกลิ้นเหม็นเน่าคละคลุ้งออกมาป้าหวังเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เธอตั้งสติกลับมาได้ก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “คุณผู้หญิงคุณไม่ต้องกลัวไปนะคะ ฉันจะทำความสะอาดของพวกนี้เดี๋ยวนี้เองค่ะ”“ไม่ต้องทำความสะอาดค่ะ รีบแจ้งตำรวจเถอะค่ะ” เวินเหลียงเอามือปิดจมูก แล้วโซซัดโซเซลงมาจากเตียง “ได้ค่ะ ฉันจะไปแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้ คุณผู้หญิงอยากให้โทรบอกคุณผู้ชายด้วยไหมคะ?”เวินเหลียงชะงักไปครู่หนึ่ง “เขากำลังไปทำงานนอกสถานที่ ไม่ต้องบอกคุณผู้ชาย”“ค่ะ”ป้าหวังรีบแจ้งตำรวจให้ทำการตรวจสอบ ทางตำรวจมาด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด จัดการเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ และทำการบันทึกสอบปากคำกับเวินเหลียงและป้าหวัง แสดงทีท่าว่าจะสืบทราบสาเหตุได้ในไม่ช้าหลังตำรวจจากไป ป้าหวังถึงได้รีบจัดการห้องรับแขก พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำหอมปรับอากาศอย่างต่อเนื่องกลอุบายนี้มันง่ายเกินไปแล้วไม่นานตำรวจก็ตรวจสอบหาข้อมูลของพนักงานส่งพัสดุได้ผ่านกล้องวงจรปิดและบันทึกการเข้าออกข