บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ตงหยางหน้านิ่งเอาแต่นั่งตักข้าวใส่ปาก ไร้แม้บทสนทนา ทำเอาบรรยากาศพลอยอึดอัดอยู่เล็กน้อย ส่วนซิงเหยียนเธอเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะพูดหรือถามอะไร ทั้งๆ คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือคนที่เธอต้องแต่งงานด้วย ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะพาอึดอัดจริงๆ ตงฉินเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้านิ่งราวหุ่นยนต์ของพี่ชาย ก่อนที่ตัวเขาจะเป็นคนเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ งานแต่งจะจัดขึ้นตอนไหน” เชื่อเถอะว่าคนที่ แทบสำลักอาหารที่ทานคือซิงเหยียน ส่วนตงหยางหน้านิ่งเขาชะงักก็จริงแต่ก็ทำนิ่งต่อ จนน้องชายต้องเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “พี่ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า ผมถามว่าพี่จะแต่งงานกับเหยียนเหยียนตอนไหน” ใบหน้าที่นิ่งยิ่งกลัวสายน้ำที่ไม่ไหวติงนั้น ช้อนสายตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ตัวเขาจะวางช้อนและส้อมลงที่จานใบหรู หยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบดื่มด้วยท่าทางสง่า จากนั้นก็หันมามองใบหน้าสวยที่เอาแต่นั่งก้มหน้า “เดือนหน้า คงไม่ช้าไปใช่ไหมซิงเหยียน?” น้ำเสียงเยือกเย็น พร้อมสายตาที่แฝงความโหดร้ายทำเอาซิงเหยียนไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา เธอตอบเขาอย่างตะกุกตะกัก “มะ ไม่ช้าหรอกค่ะ เร็วไปด้วยซ้ำ” “ดี! ฉันจะสั่งคนให้มาดูแลเธอและพาเธอไปลองชุด” “อ้าว ทำไมพี่ไม่พาเหยียนเหยียน ไปละครับ” เสียงที่แทรกขึ้นนั้น ทำเอาสายตาคู่ที่ไม่เป็นมิตรหันมามองน้องชายเพียงคนเดียวของเขา ก่อนที่ประโยคอันแสนเจ็บปวดจะหลุดออกมาจากปากเจ้าของร่างสูง “ฉันไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระหรอกนะ!” พรึ่บ พูดจบก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วสาวเท้ายาวออกจากโต๊ะอาหารทันที พร้อมทิ้งประโยคนั้นไว้ให้ซิงเหยียนจุกอก “เหยียนเหยียน เธออย่าสนใจคำพูดพี่ใหญ่เลย เขาก็เป็นแบบนี้แหละ” เธอรู้ว่าเขาเป็นแบบนั้น แต่เขาน่าจะคิดบ้างว่าเธอกำลังจะแต่งงานใช้ชีวิตคู่ หากไม่ชอบเธอแล้วทำไมถึงยอมแต่ง “พี่ฉิน ฉันไม่เป็นไรค่ะ ทานเถอะเดี๋ยวอาหารเย็นจะไม่อร่อย” เธอพยายามจะกลบเกลื่อน ไม่อยากให้สิ่งที่น่าสมเพชที่สุดต้องไหลออกมาต่อหน้าตงฉิน หากจะถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรนั้นมันก็คงเจ็บ การแต่งงานที่เขามองว่าไร้สาระ หากจะเป็นแบบนั้นไม่ต้องแต่งเสียดีกว่า เวลาผ่านไปค่อนข้างจะเร็วมาก อย่างที่ตงหยางพูดไว้ เขาจัดการส่งคนมาช่วยซิงเหยียนเพื่อพาไปร้านชุดเจ้าสาว มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เธอจะต้องทำคือลองชุด เพราะเขาบอกเธอว่าที่เหลือเขาจัดการเอง ร้านอาหาร คนที่นัดไว้ว่าจะมาทานข้าวด้วยกันวันนี้ก็คือ ซูซ่าน เธอเป็นเพื่อนของซิงเหยียนตั้งแต่เรียนมัธยมจนกระทั่งมหาวิทยาลัย และที่นัดทานข้าวกันวันนี้เป็นเรื่องที่ซิงเหยียนเธออยากปรับทุกข์ในใจกับเพื่อนเท่านั้น “เหยียนเหยียน มานานแล้วเหรอ” เสียงที่โพล่งมาก่อนตัว จนซิงเหยียนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าต้องเงยหน้าขึ้นมามอง พร้อมรอยยิ้มหวานส่งให้เพื่อน “ฉันพึ่งมาไม่นาน” ซูซ่านเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งฝั่งตรงข้ามของซิงเหยียน รอยยิ้มตาหยีแสดงความมีสุขเมื่อเห็นใบหน้าของเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา “ทำไมอยู่ๆ อยากนัดมาทานข้าวละ หรือว่าเจ้าบ่าวของเธอไม่ว่างเลยนัดฉันแทน” ประโยคของซูซ่านทำเอาใบหน้าผ่องที่มีรอยยิ้มเมื่อครู่ ต้องหุบยิ้ม สีหน้าของเธอบึ้งตึงลงเล็กน้อย มันแสดงถึงความเศร้าที่เกาะกินในหัวใจ ที่นัดเพื่อนมาวันนี้ ก็เพราะเรื่องงานแต่งที่จะถึงไม่กี่วันข้างหน้า “ทำไมเธอทำหน้าแบบนั้น ดูเหมือนคนไม่มีความสุขเลยนะ” “ก็เพราะเรื่องแต่งงานนี้แหละที่ฉันนัดเธอออกมาทานข้าวด้วย อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เป็นวันมงคล แต่พี่หยางเขาไม่เคยสนใจเรื่องงานเลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไม คุณปู่ถึงอยากให้ฉันแต่งงานกับเขา” เสียงพ่นลมดังพรืดใหญ่ ซูซ่านรับรู้ถึงความรู้สึกเพื่อนที่มีต่อตงหยาง แม้ว่าชายหนุ่มคนนั้นจะไม่ได้มองซิงเหยียนอยู่ในสายตาก็ตาม ทว่า ความรักที่มันแอบเกิดขึ้นในใจสมัยซิงเหยียนตั้งแต่อยู่มอปลาย เหมือนจะมั่นคงตลอดมา “เหยียนเหยียน คุณปู่กู้คงอยากให้เธอสมหวังกับความรัก และท่านคงคิดดีแล้ว” “แต่พี่หยางเขาไม่เคยรักฉันสักนิด พี่หยางก็มองฉันเป็นศัตรูเสมอมา” “นั่นเพราะคุณนายหลี่ต่างหากละ เมื่อก่อนตงหยางก็ไม่ได้เกลียดเธอนี่เพียงแต่เขาไม่พูดเท่านั้น แต่ที่เกลียดเธอเพราะแม่เขาเป่าหูหรอก หาว่าเธอทำพ่อเขาตาย แต่เขาจะรู้ไหมความจริงคืออะไรกันแน่” “ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ต่อให้เรื่องจริงเป็นแบบไหน พี่หยางเขาก็เกลียดฉันไปแล้วละ” ระหว่างที่นั่งคุยกันในร้าน เมนูของทางร้านก็ถูกเปิดออก ดวงตาคู่หวานของซิงเหยียนกวาดมอง ก่อนที่เธอจะสั่งเมนูที่อยากทาน ส่วนซูซ่านก็เช่นกัน บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างที่จะสบายดูไม่แออัดจากผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ หรือเพราะร้านนี้ถูกตั้งอยู่รอบนอกเมืองมีต้นไม้ให้ความร่มรื่น ต่างจากเขตเมืองที่ผู้คนแออัดจนรู้สึกว่าจะทานอะไรก็ไม่คล่องตัว หลังจากที่นั่งทานมื้อเที่ยงกันแล้ว ซิงเหยียนเธอก็เล่าให้ซูซ่านฟังเรื่องที่เธอพึ่งไปลองชุดโดยไม่มีว่าที่เจ้าบ่าวไปด้วย และสิ่งที่เขาพูดเมื่อหลายวันก่อนก็ทำเอาเธอเองแอบน้อยใจอยู่บ้าง หลังจากที่นั่งทานและพูดคุยกันอยู่สักพัก ซิงเหยียนเธอก็ขอแยกกับเพื่อนตรงนั้น โดยมีคนขับรถของทางบ้านมารอรับอยู่แล้ว ไม่ต้องลำบากนั่งแท็กซี่ แม้ว่าเธอเองจะเป็นแค่ผู้อาศัยเมื่อครั้งคุณปู่ยังอยู่ แต่ท่านก็ไม่เคยให้เธอนั่งรถคันอื่นสักครั้ง นอกจากรถที่บ้านเท่านั้น และยิ่งตอนนี้เธอมีฐานะเป็นถึงเจ้าของบ้านอีก บ้านตระกูลกู้ กว่าจะกลับมาถึงคฤหาสน์หรูได้ ก็เกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้ว ที่ช้าก็เพราะแวะซื้อของใช้ส่วนตัว แต่เมื่อมาถึงก็เห็นว่ารถประจำตัวของตงหยางจอดอยู่ เพียงสายตาเหลือบไปมองก็เหมือนจะแปลกใจอยู่บ้าง ปกติแล้วตงหยางจะไม่กลับบ้านเร็วขนาดนี้ ร่างเล็กบอบบางเดินเข้ามาในคฤหาสน์หรู พร้อมข้าวของส่วนตัวที่เธอซื้อเข้ามาใช้ เวลานี้เหล่าแม่บ้านหลายคนก็ต่างให้ความเคารพเธอ เพราะเธอคือเจ้าของบ้านคนใหม่ที่ไม่ใช่คุณนายหลี่ แต่หลายคนก็ยังมองเธอว่า เธอเป็นกิ้งก่าได้ทอง ฮุบสมบัติของตระกูล เธอมันก็แค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น
มีคนเดินเข้ามารับของในมือเธอ โดยที่เธอไม่ได้เรียกใช้ ทำเอาซิงเหยียนเองก็ไม่ชินเท่าไหร่นัก“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันถือเองได้”“ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้คุณนายเหยียนเป็นถึงเจ้าของบ้าน แถมกำลังจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ ก็ต้องขึ้นมาเป็น คุณนายกู้เหยียน แบบนี้เราก็ต้องให้ความเคารพ”ที่เธอไม่พูดเพราะไม่คิดว่าคำนั้นจะต้องได้ใช้ต่างหาก ซิงเหยียนเธอยืนเงียบ ทว่า เธอคงไม่รู้ว่ามีคนที่ยืนมองเธออยู่ที่ด้านบน บริเวณชั้นสองที่เป็นชานระเบียงวนรอบตัวอาคารแห่งนี้เมื่อมีเด็กรับใช้ในบ้านช่วยถือของ ซิงเหยียนเธอก็เดินขึ้นมาที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อครั้งที่คุณปู่ยังอยู่เธอก็ถูกปรนนิบัติเหมือนหลานคนอื่นๆ ที่พักของเธอจึงอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน“หน้าระรื่นเชียว คงจะดีใจที่ถูกยกยอปอปั้นให้เป็นคุณนายเหยียนสินะ!!”น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น จนซิงเหยียนต้องระงับฝีเท้าที่จะเก้าไปข้างหน้า แม้ว่าจะไม่ได้มองว่าใครเป็นคนพูด แต่น้ำเสียงนี้เธอจำได้ขึ้นใจ“พี่หยาง!”“ตกใจ ดีใจ หรือเสียใจละ ที่เห็นหน้าว่าที่สามี”“เปล่าค่ะ เพียงแต่ฉันแปลกใจทำไมวันนี้พี่กลับบ้านเร็วได้”ตงหยางยังไม่ได้ตอบ แต่เขากับสาวเท้ามาที่เธ
เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความหลังจากนั้นก็จับร่างเล็กของซิงเหยียนหันไปที่โต๊ะทำงาน พร้อมมือของเขาเอื้อมไปจับเอกสารมาวางต่อหน้าเธอ เขาจับมือซิงเหยียนเหมือนจะบังคับให้เธอเซ็นให้ได้“พี่หยาง นี่มันมัดมือชกเลยนะ พี่จะทำอะไร”“หนึ่งปี ฉันให้เวลาเธอหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากที่เธอมีลูกให้ฉัน สมบัติที่เธอได้ก็ต้องยกให้ลูกทั้งหมด ส่วนเธอฉันจะให้เงินสักก้อนเพื่อไปตั้งหลัก!!”“พี่บ้าหรือเปล่า ฉันไม่เซ็น”“หากเธอไม่เซ็น ฉันจะจับเธอปล้ำตรงนี้!!”เหตุการณ์เหมือนจะอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าเรื่องบ้าอะไรกันที่เธอต้องมาเจอ การแต่งงานที่มีสัญญาเป็นข้อผูกมัด แถมสัญญานั้นยังร่างเงื่อนไขบ้าๆ ของทายาทตระกูลดังไว้อีกซิงเหยียนเธอพยายามที่จะขัดขืนก็จริง แต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือ แววตาของตงหยางที่มองเธอด้วยความคาดคั้น“ระหว่างเซ็นสัญญา กับให้ฉันเล่นงานเธอจนเธอไม่เหลืออะไร เธอจะเอายังไงซิงเหยียน ใช้สมองน้อยๆ ของเธอคิดสิ ระหว่างที่เธอแต่งงานกับฉันหนึ่งปีเธอจะสุขสบาย แค่มีลูกให้ฉัน เธอก็จะได้เงินอีกมากมาย เพื่อไปใช้ชีวิตใหม่ ซิงเหยียนเธอคงไม่อยากเป็นบุคคลเร่ร่อนใช่ไหม”คำพูดทุกคำกรอกลงที่ข้างหูของเธอ จ
ตะลึงงันอยู่เล็กน้อย รอยสักอันน่าเกรงขามที่โชว์อยู่บนท่อนแขนเกร็ง ตาเธอจดจ้องจนไม่ละไปไหน ที่พึ่งเคยเห็นเพราะเขาไม่เคยใส่เสื้อแขนสั้นแม้จะอยู่ที่บ้านก็ตามที“เธอมองอะไร”แค่เขาตวัดสายตาดุมาใส่เธอ ซิงเหยียนก็ต้องรีบหลบ จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เปล่งเสียงออกมาถาม“ค่ะคือ ทำไมพี่ถึงมีรอยสัก?”“ก็แค่รอยสัก ฉันรู้ว่าคุณปู่ไม่ชอบก็เลยไม่มีใครรู้ ส่วนเธอ จะรู้หรือเห็นมันก็ไม่สำคัญเท่าไหร่”เขาตอบคำถามของเธอ แค่นั้นโดยไม่ได้ใส่อารมณ์อะไร มันรู้สึกได้แค่ความว่างเปล่า ที่เขามีให้ซิงเหยียนร่างเล็กค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น หมายจะเดินไปถอดชุดในห้องน้ำ เธอรู้ดีว่าตรงนี้มีเขาอยู่ หากจะถอดก็คงไม่ได้สะดวก แต่พรึ่บมือหนารั้งไปที่เอวคอด ก่อนจะจับไหล่ของเธอ การกระทำของเขาเหมือนจะรูดซิปที่อยู่ด้านหลัง แต่เสียงของซิงเหยียนก็ต้องร้องขึ้น“พี่หยาง พี่จะทำอะไร”“ฉันรู้สึกว่าเธอ กำลังจะถ่วงเวลา ก็แค่ชุดราตรีชุดเดียวทำไมถึงถอดยากเย็นขนาดนั้น”ยังไม่ทันที่มือของเขาจะรูดซิปด้านลงหลง ซิงเหยียนก็ใช้แรงที่มีของเธอพลิกตัวกลับมาแล้วผลักอกเขาเข้าเต็มแรง“ฉันจะถอดเอง ยังไงเราก็แต่งกันแล้ว พี่ใจเย็นหน่อยได้ไหม” เขาพ่นลมแรงๆ ทำ
รับรู้ได้ว่าร่างเล็กที่นอนใต้ร่าง ทักท้วงขอลมหายใจที่ขาดหาย ตงหยางถอดถอนจูบอันเร่าร้อนนั้นออก พร้อมทั้งสบตาเธอที่นอนจ้องหน้าเขา“ทำไมไม่ขัดขืนซะละ หรือว่ารอเวลานี้มานาน”“พี่หยาง ฉันแต่งงานกับพี่ จะช้าหรือเร็วเรื่องแบบนี้ก็ต้องเกิด ฉันขัดขืนพี่ได้ด้วยเหรอ”เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เพราะมันเป็นเรื่องจริง หากจะว่าไปแล้ว ซิงเหยียนเธอคือผู้หญิงที่สวยน่ารัก หากเรื่องที่เกิดกับพ่อไม่ใช่เธอเป็นคนต้นเหตุ เขาเองก็คงไม่เกลียดเท่านี้“แล้วอย่ามาร้องหาความยุติธรรมทีหลังแล้วกัน!”อุณหภูมิในร่างไต่ระดับขึ้นตามอารมณ์กระตุ้น เสื้อผ้าจากที่เคยปกปิดร่างกายก็ลงไปกองอยู่ที่พื้น ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าของซิงเหยียนหรอกนะ กางเกงที่เหลืออยู่ตัวเดียวบนร่างของตงหยางก็ถูกถอดแล้วกองอยู่ด้วยคืนเข้าหอที่ไร้ความหวานครั้งนี้ เธอรู้ดีว่าทุกการกระทำของเขา ทำลงไปเพื่อธุรกิจเบื้องหน้า แต่อย่างนั้นก็ยอมให้เขากระทำตามอำเภอใจ แม้จะเป็นครั้งแรกที่เจ็บปวด แต่ซิงเหยียนก็พยายามที่จะข่มอาการนั้นไว้ สิ่งที่เธอทำได้คือฝากรอยเล็บลงที่แผ่นหลังของตงหยางเท่านั้นรุ่งเช้า ลืมตาตื่นในยามเช้า ตอนนี้เธอรู้ดีว่าไม่ได้หลับนอนที่บ้านของตระกูลกู้
“เจียวมิ่ง เรื่องที่ฉันสั่ง นายจัดการหรือยัง”“จัดการแล้วครับคุณชายใหญ่”“ดี!! เย็นนี่ฉันจะสั่งสอนพวกมันเอง”เสียงเข้มโพล่งขึ้น ดวงตาทอประกายกล้าอย่างโหดเหี้ยม เมื่อนึกถึงพวกคนพาลที่ใส่ร้ายโรงงานผลิตของเขา ช่วงที่คุณปู่ล้มป่วย#โกดังร้างแห่งหนึ่ง“ปล่อยกู พวกมึงเป็นใครจับตัวกูมาทำไม!”คนที่ถูกมัดแขนไขว้หลัง พร้อมผ้าสีดำปิดตา ทว่า เสียงร้องตะโกนด่าทอก็ยังไม่หยุด เขาเป็นนักเลงหางแถว ที่ว่าจ้างให้คนเข้าไปผสมเครื่องดื่มในโรงงาน จนล็อตนั้นไม่สามารถส่งออกได้แถมยังเสียหายหลายล้านบาทเมื่อก่อน เป็นผู้จัดการโรงงาน แต่เพราะติดการพนันจนโงหัวไม่ขึ้น เรื่องฉ้อโกงจึงเกิด เมื่อถูกจับได้จึงถูกดำเนินคดี แถมถูกไล่ออก และนั่นทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากตึก ตึกเสียงฝีเท้าหนักกระแทกลงพื้น ชายคนนั้นเงียบเสียงก่อนจะเงี่ยหูฟัง แม้ว่าดวงตาถูกปิดสนิท แต่ก็พอเดาได้ว่าใครเป็นคนจับเขามาพรึ่บวินาทีที่ผ้าปิดตาเปิดออก ใบหน้าหล่อคม ความสูงราวร้อยเก้าสิบ ยืนเด่นเป็นสง่า ทว่าสีหน้าดันเฉยชาไร้ความรู้สึก“คุณตงหยาง ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมขอโทษ”“ตอนนี้ คิดขอโทษไม่สายไปหน่อยเหรอ เรื่องที่แกทำมันทำให้ฉันเสียเวลา เสียเงินไป
เสียงพูดคุยดูน่าสนุกสนาน จนทำเอาร่างสูงที่ได้ยินเสียงต้องเดินเข้ามาภายในห้องอาหาร เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มนั่งยิ้มอยู่กับน้องชาย สายตาก็ฉายแววดุดันขึ้นมา“กี่ทุ่มกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมถึงมานั่งยิ้มร่าอยู่ที่นี่”เสียงทุ้มนั้น มันเรียกสายตาของคนทั้งสองต้องหันไปที่ทางเข้าห้อง เมื่อเห็นว่ามีร่างสูงหน้านิ่งยืนอยู่ ตงฉินก็รีบทักพี่ชายทันที“พี่หยาง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นได้ยินเสียงรถ มานั่งก่อนสิ ผมเองก็พึ่งมาถึง เหยียนเหยียนก็เลยเป็นธุระตั้งโต๊ะให้”เขาฟาดสายตาไปมองคนที่นั่งตรงข้าม แต่ก็ไม่ได้สาวเท้าไปหา แต่สิ่งที่พูดขึ้นนั้น“ฉันเหนื่อย แกจะกินก็กิน ฉันจะขึ้นไปพัก”เขาพูดเท่านั้นก็เดินหันหลัง เพียงแค่เห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตร ซิงเหยียนเธอก็พอจะรู้หน้าที่“พี่ฉิน ฉันต้องขึ้นข้างบนแล้ว พี่นั่งทานคนเดียวได้ใช่ไหม”“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก ห่วงตัวเองเถอะ ดูหน้าเขาสิ เป็นมิตรกับใครที่ไหน”อาจจะจริงที่ตงฉินพูด เขาเองก็พอรู้นิสัยพี่ชายดี รู้ว่าพี่ชายนิสัยได้แม่มาเต็มๆระหว่างที่เท้าของซิงเหยียนเดินขึ้นบันได เธอเองก็ใช้ความคิดต่างๆ นานา ไม่รู้ว่า คนในห้องจะหาเรื่องอะไรเธออีกแอ็ดดเพียงแค่ประตูห้องเปิ
ยิ่งกว่าจุกอก ยิ่งกว่าโดนหักหน้า ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนแล้วที่จะพูดออกมา ความหมายคือหญิงสาวเป็นแค่ที่ระบายอารมณ์และเครื่องปั๊มลูกให้เขา แค่จะนอนร่วมเตียงอีกฝ่ายยังไม่ให้ ค่าของตัวเธอมันอยู่ที่ไหนกันอดกลั้นจนที่สุด ใบหน้าหวานแต่แววตาแฝงด้วยความเศร้า ไม่อยากจะร้องไห้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเขา ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องสมเพช แค่พินัยกรรมที่เขียนระบุว่าให้แต่งงาน ก็คิดว่าทุกอย่างน่าจะดีกว่านี้เสียอีกซิงเหยียนหยิบได้แค่หมอนใบใหญ่ แล้วเดินมาที่โซฟาตัวยาวภายในห้อง ชุดนอนกระโปรงสีขาวลายลูกไม้น่ารัก สะบัดพลิ้วเวลาที่เธอสาวเท้าไปข้างหน้า เมื่อรู้ตัวเองว่าต้องนอนที่โซฟาก็วางหมอนใบใหญ่ลงไป แอบชำเลืองมองร่างสูงเล็กน้อยแต่ตงหยางไร้หัวใจเกินกว่าจะสนใจมองภรรยาด้วยซ้ำ แถมยังล้มตัวลงนอนอย่างไม่มีเยื้อใยอีกต่างหากเธอค่อยๆ นอนราบลงไปก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา วินาทีนั้นไฟในห้องก็ถูกดับจนมืดมิด ความคิดชั่ววูบก็ลอยเข้ามาในหัวของซิงเหยียนเหยียนเหยียน ก่อนที่ปู่จะตายปู่อยากให้มีใครสักคนที่ดูแลเธอได้ หากปู่ไม่อยู่แล้ว ก็อยากให้เธอได้มีที่พึ่งคำนั้นลอยเข้ามาทำเอาน้ำตาของซิงเหยียนไหลลงมาอาบแก้ม คนที่ดูแลเธอ
“คุณผู้หญิงไม่ต้องทำก็ได้ค่ะ”“ได้ไง ให้ฉันช่วยเธอเถอะ อยู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร”“แต่ตอนนี้คุณเป็นเมียคุณชายใหญ่ เป็นเจ้าของบ้าน มันไม่เหมาะสมที่จะมาช่วยแม่บ้านเช็ดถูนะคะ”สาวใช้ที่นับถือซิงเหยียนก็ยังไม่อยากให้ทำ แต่บางคนที่อยู่กับคุณนายหลี่ดันมองว่าร่างเล็กเข้ามายุ่งแถมยังเบ้ปากใส่ แต่หญิงสาวชินแล้วและไม่อยากจะมีปากเสียงกับแม่สามี ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิด หลี่น่าเดินเข้ามา พร้อมสายตาเหยียดหยัน“หากเธอว่างนัก ก็รู้จักออกไปทำงานบ้างสิ หรือคิดว่าที่มีอยู่ไม่ต้องทำมาหากิน คิดจะเอาเปรียบลูกชายฉันเหรอ ตงฉินกับตงหยางมีหุ้นน้อยกว่าเธอ แต่ก็ยังออกไปทำงาน โธ่ๆ น่าสงสาร”การประชดของหลี่น่าพร้อมสายตาที่บ่งบอกว่าเธอเกลียดซิงเหยียนเข้าไส้ ส่วนหญิงสาวไม่รู้จะโต้ตอบอะไร ทำได้อย่างเดียวคือเงียบ ไม่ใช่ว่าคนที่เด็กกว่าไม่อยากตอบกลับเพียงแต่ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้นตลอดทั้งวัน ซิงเหยียนคิดถึงคำพูดของหลี่น่า คุณปู่แบ่งหุ้นให้เธอมากว่าสองแม่ลูกจริง ขนาดตงหยางที่เป็นประธานก็ยังน้อยกว่า ทว่าหญิงสาวเป็นภรรยาเขา หุ้นผัวเมียรวมกันก็มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วเมื่อความคิดเกิดขึ้น สิ่งแรกที่คิดได้คื
มือหนาเทเหล้าลงคอไปก็หลายแก้วจนดวงตาคู่คมแดงก่ำจนได้ที่ ตอนนี้ฤทธิ์เหล้าที่ตงหยางดื่มเข้าไปก็น่าจะเรียกว่ามึนเมาเล็กน้อย เขาพยายามลุกออกจากที่นั่นแล้วมุ่งหน้ากลับบ้านพักของตัวเอง เมื่อมาถึงก็เปิดประตูแทรกร่างเข้าไปซิงเหยียนเผลอหลับด้วยอาการเมื่อยล้า ตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว คงจะเป็นปกติของการพักผ่อนชายหนุ่มทอดสายตามาที่เตียงนอน เมื่อเห็นร่างภรรยานอนอยู่ก็รุดเข้าไปแล้วนั่งลงบนขอบเตียง ก่อนจะเหวี่ยงขาขึ้นไปเพื่อแทรกร่างลงในผ้าห่มพร้อมกับสอดมือเข้าไปโอบกอดซิงเหยียนฮึ!เสียงของเธอดังขึ้นพร้อมลืมตาขึ้นมอง เมื่อจะเอี้ยวตัวหันมาก็ได้กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมด“พี่หยาง พี่ดื่มเหล้ามาอีกแล้วเหรอ”“นิดหน่อย”นิดหน่อยของเขา แต่ดูเหมือนจะมากสำหรับเธอ“ไปอาบน้ำก่อนไหม พี่จะได้สร่าง”“ซิงเหยียน ทำไมเธอถึงคิดอยากหย่ากับฉัน”“ฉันว่าพี่เมาแล้ว ไปอาบน้ำก่อนดีไหม”แทนที่จะลุกไปอาบน้ำ แต่สิ่งที่ตงหยางทำคือโผตัวขึ้นคร่อมร่างของซิงเหยียนจนมิด ลมหายใจที่พ่นออกมามีแต่กลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปหมด“พี่หยาง ลุกไปอาบน้ำก่อนสิ”“ทำไม ถ้าไม่อาบนอนกับเธอไม่ได้หรือไง”เธอเม้มปากอิ่มแน่นขนัด คำว่านอนได้ไหม หากจะขัดก็คงไม่มีผลอยู่ดี
กลับมาที่ห้องแล้วก็พาตัวของซิงเหยียนมานั่งลงที่ปลายเตียง จากนั้นก็รื้อกระเป๋าหายามาทาให้ เขานิ่งมากไม่พูดไม่จาไม่ถามเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำว่าจริงหรือเปล่า แต่คนที่ถามดันเป็นซิงเหยียน“พี่คิดว่าฉันทำร้ายเธอหรือเปล่า”“แล้วเธอทำหรือเปล่า”ดวงตานิ่งราวกับว่าตงหยางไร้ความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนซิงเหยียนไม่รู้จะพูดอะไร หากแต่พูดไปแล้วเขาอาจจะหาว่าเธอโกหกก็ได้“เงียบทำไมล่ะ เล่ามาสิ”“ฉันจะเล่าไม่เล่า มันก็ไม่มีความหมายหรอกเพราะคนชั้นต่ำอย่างฉันคำพูดมันไม่มีค่าอยู่แล้ว”“อย่าประชดสิ”“ไม่ได้ประชด...โอ๊ย”“เจ็บเหรอ”“ไม่เจ็บมั้งคะ รอยแดงขนาดนี้”“อย่าถือสาแม่เลย เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้”คนที่ผิดก็ยังถูกปกป้อง จริงอยู่ว่าหลี่น่าเป็นแม่ของเขา แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ลงโทษเธอตามอำเภอใจ ในเมื่อความจริงตัวเองก็ไม่รู้ แต่ซิงเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอนิ่งแล้วจ้องใบหน้าตงหยางผู้เป็นสามี“พี่หยาง!!”“มีอะไร”“สมมุติว่าวันหนึ่งเราต้องหย่ากัน...”นิ้วเรียวที่เกลี่ยยาบนแก้มนวลชะงักไป จากนั้นก็มองใบหน้าหวานอย่างหาคำตอบ“คิดจะหย่ากับฉันเหรอ”“...”ซิงเหยียนยังคงเงียบ แท้จริงก็ไม่อยากจะเอ่ยถามเรื่
สองสาวเดินออกมาจากบ้านพัก เดินชมบรรยากาศตามแนวทางเดิน ด้านล่างเป็นน้ำสีเขียวมรกต ไม่เพียงเท่านั้น ก็ยังเปลี่ยนกันถ่ายรูปเก็บไว้ จังหวะนั้นเสียงแจ้วๆ พูดไม่หยุดก็ดังขึ้น เธอหันไปมองก็เห็นสามีพาสาวหน้าขาวเดินชมบรรยากาศแทนที่จะเป็นซิงเหยียนที่เดินข้างเขาชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมใส่แว่นตาสีดำสนิท เดินล้วงกระเป๋ากางเกง ใบหน้านิ่งเฉย แต่คนที่พูดไม่หยุดก็คงเป็นคุณหนูจาง“พี่หยาง นั่นภรรยาพี่นี่คะ”เขาเห็นแต่ที่ไม่อยากพูดอะไร เพราะบุคลิกก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว“ท่านประธานกู้ แทนที่จะพาภรรยาเดินเล่น แต่กลับควงคุณหนูตระกูลดังเดินเล่นแทน แล้วบอกว่ามาฮันนีมูนไม่ทราบว่าฮันนีมูนกับใครกันแน่”เป็นเสียงของซูซ่านที่พูดประชด เธออดไม่ได้ที่จะว่าเขาแทนเพื่อน แต่ถูกซิงเหยียนสะกิดไว้ก่อน“เธอเดินเล่นกับเพื่อนได้ใช่ไหม แม่อยากให้ฉันดูแลลี่ถิง กลัวเธอจะเหงา”ซิงเหยียนมองแต่เธอไม่ได้พูด ความรู้สึกตอนนี้เริ่มไม่ดีเอามากๆ เขาบอกว่าจะมาฮันนีมูนกับเธอ แต่ดันเทคแคร์คนอื่น แบบนั้นมันไม่ให้ค่ากันเลยด้วยซ้ำจังหวะที่เธอเงียบ เสียงโพล่งมาจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น“งั้นพี่พาพวกเธอเดินเที่ยวเองแล้วกัน”เสียงของห
สองพี่น้องชวนกันคุยขณะที่เท้าก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ตงหยางที่เดินตามหลังภรรยาได้ยินทุกคำแต่ก็ไม่ได้พูด ส่วนคนที่อยากพูดด้วยก็เหมือนพยายามยิ้มให้เขาแต่คนหน้านิ่งอย่างตงหยางหรือจะมอง“ตงหยาง ดูสิแม่ได้ห้องเบอร์ไหน”ชายหนุ่มหันมามองแม่พร้อมเอื้อมไปหยิบบัตรคีย์การ์ด บ้านพัก เมื่อเห็นว่าหมายเลขไหนก็กวาดสายตามองตามแถวบ้าน แล้วชี้นิ้วให้แม่ดู“ด้านนั้นครับ”“เดินไปส่งแม่หน่อยได้ไหม”“คุณหนูจางคุณรู้จักใช่ไหม”เขารู้ว่าระดับคุณหนูตระกูลจางย่อมรู้อยู่แล้ว การที่แม่นอนห้องเดียวกับเธอก็ไม่มีอะไรน่าห่วง“เราสองคนเป็นผู้หญิงทั้งคู่ แกจะใจดำไม่เดินไปส่งหน่อยเหรอ”เขาเองก็เป็นคนไม่พูดมากและไม่อยากมีปัญหา เมื่อแม่บอกแบบนั้นก็สาวเท้านำปล่อยให้ซิงเหยียนยืนมอง สายตาของเธอแฝงความเศร้าเต็มเปี่ยม ทำไมกัน แม่สามีถึงรังเกียจเพียงนี้ แถมยังพาหญิงอื่นมาประเคนลูกชาย แค่เอาอีกฝ่ายมาร่วม ร่างเล็กก็มองออกแล้ว“เหยียนเหยียน แม่สามีเธอร้ายมาก แล้วยายคนนั้นก็ไม่รู้จักละอาย รู้ทั้งรู้ว่าพี่หยางแต่งกับเธอแล้วยังกล้ามา หน้าตาก็ดีทำไมหาผัวเองไม่ได้หรือไง”“ช่างเขาเถอะซู ฉันคงชินแล้วละ”“ซิงเหยียน เรื่องของเธอพี่ไม่อยากก้าวก่าย
หลายวันผ่านไปอาการของซิงเหยียนดีขึ้น และได้กลับมาทำงานที่แผนกบัตรที่โรงพยาบาลตามเดิม เพราะไม่อยากให้แม่สามีค่อนแคะเธอ เดี๋ยวจะหาว่าป่วยเพื่อไม่อยากทำงาน ส่วนตงหยางก็เข้าบริษัทเหมือนทุกครั้ง แทบจะไม่มีวันหยุดให้กับครอบครัว คำว่าฮันนีมูนคงไม่มีสำหรับภรรยาคนนี้“เหยียนเหยียน ช่วงวันหยุดเราไปพักผ่อนกันไหม”เสียงแจ้วเสนอ ในขณะที่ตัวของซูซ่านเข้ามาหาเพื่อนในช่วงพักกลางวัน คำว่าพักผ่อนทำให้เธอก็อยากไป แต่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหากับคนที่บ้านหรือเปล่า“พักผ่อนเหรอ ที่ไหนล่ะ”“ฉันอยากไปทะเล ลมเย็นๆ น่าจะดีนะ”“ไม่รู้ว่าฉันจะไปด้วยได้หรือเปล่าน่ะสิ”“ทำไมล่ะ”“ก็...”“อย่าบอกนะว่ากลัวพี่หยางไม่ให้ไป”“บางทีเขาอาจไม่สนใจหรอก แต่ก็อยากบอกให้เขารู้ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจจะมีเรื่องตามมาทีหลัง”ซูซ่านก็เหมือนจะเข้าใจเพื่อน เพราะมาเฟียหน้าตายอย่างตงหยางเป็นคนอารมณ์ร้อน หากไม่พอใจก็คงอาละวาด เสียงร่ำลือวงในเธอเองก็พอรู้ ว่าเขาร้ายขนาดไหน“งั้นเธอลองบอกเขาก่อน หากยังไงฉันจะได้ชวนพี่ซางไปด้วย”“อืม”เหมือนจะลำบากใจที่จะบอกว่าอยากไปพักผ่อนกับเพื่อน เธอไม่รู้ว่าตงหยางจะอนุญาตหรือปฏิเสธเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แท
ซิงเหยียนตกใจอยู่เล็กน้อย ต้องแปลกใจว่าเขาไปไหนมาที่ไม่ไปเยี่ยมเธอตั้งแต่เมื่อวาน แต่พอเห็นร่างของหญิงสาวหน้าตาดียืนเคียงข้างแม่สามี ซิงเหยียนยิ่งรู้สึกใจแป้วขึ้นมา“แค่เป็นไข้หวัด ที่จริงเธอน่าจะกินยาก็หายแล้วนะ”“แม่ครับ หากกินยาหายจริง ซิงเหยียนคงไม่หมดสติหรอก ดีเท่าไรแล้วที่มีคนขึ้นไปพบ”เสียงคัดค้านของตงฉินทำเอาผู้เป็นแม่จิปากเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะหันมาทางตงหยาง หมายจะบอกลูกชายให้ขึ้นไปอาบน้ำมากินข้าวเพราะตนมีแขก ทว่า“ไม่ใช่ธุระของนายแล้ว ฉันจะพาซิงเหยียนขึ้นห้องเอง”พูดจบก็รีบมาประคองเมียขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้าน เมื่อมาถึงห้องก็ปล่อยร่างของซิงเหยียน ทว่าสิ่งที่เขาควรถามกลับไม่ถาม แต่สิ่งที่ไม่ควรถามดันพูดขึ้น“เธอป่วยแล้วทำไมต้องให้ตงฉินไปรับ ทำไมเรื่องที่เธอป่วยฉันไม่รู้”“พี่หยาง เมื่อวานพี่ฉินเขาบอกว่าโทร.หาพี่แล้ว แต่พี่ไม่รับ”“ทำไมต้องให้ตงฉินเป็นคนโทร. โทรศัพท์เธอไม่มีหรือไง”“ก็ฉันป่วย พี่ก็ได้ยินที่พี่ฉินบอก ฉันสลบและไปฟื้นที่โรงพยาบาล ตอนนี้โทรศัพท์ฉันก็ยังอยู่ที่บ้าน พี่ฉินพึ่งเอาไปให้เมื่อเช้า”“อ้อ ทุกอย่างเลยเป็นตงฉินสินะ ที่คอยใส่ใจเธอ”“ใช่ค่ะ”“ซิงเหยียน!”“พี่หยาง
“พี่ซาง สรุปฉันออกโรงพยาบาลได้ไหม”น้ำเสียงที่เอ่ยถามคล้ายจะหย่อนยานสักนิด ซิงเหยียนเหมือนคนอมทุกข์ ดวงตาของเธอก็ไม่ค่อยสดใสหรือเพราะหญิงสาวอาจจะป่วยอยู่เลยทำให้ทุกอย่างบนใบหน้าเศร้าตามไปด้วย“หากไม่มีไข้ เดี๋ยวเย็นๆ พี่จะเซ็นเอกสารให้ออก แต่จากนี้ถึงเที่ยงต้องรอดูอาการก่อน โอเคไหม”“ขอบคุณค่ะ”“การได้กลับไปนอนที่บ้านก็ยังอุ่นใจกว่าอยู่ที่นี่ จริงอย่างที่ตงฉินบอกว่าเธอไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร คนที่บ้านคงมีแต่พี่ฉินที่เป็นห่วงเธอรวมทั้งป้าไฉด้วยบรรยากาศภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ดูเหมือนจะปกติ ที่บอกว่าปกติเพราะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เงียบอย่างไรก็เงียบอย่างนั้น ประกอบกับผู้คนในบ้านก็ไม่อยู่ จะมีก็แค่คุณนายหลี่เท่านั้นที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เพราะอายุตอนนี้ก็เข้าวัยอาวุโสหกสิบกลางๆ“อาฟาง เมื่อคืนคุณชายใหญ่กลับบ้านมาหรือเปล่า ไม่ใช่ไปนอนเฝ้านางคนใช้ที่โรงพยาบาลหรอกนะ”“ไม่หรอกค่ะคุณนาย เพราะเมื่อคืนนี้รู้สึกว่าคุณชายใหญ่จะไม่ได้เข้าบ้าน แต่เมื่อเช้าเหมือนคุณชายรองรีบออกบ้านแต่เช้าค่ะ”“ตงฉินเลือดพ่อมันแรงจริงๆ บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง เอาเถอะ ดีแล้วที่ตงหยางไม่กลับเข้าบ้าน”“แล้วเรื่องที่คุณซิงเหยียนป่ว
คำพูดเหมือนจะปลอบใจซิงเหยียนมากกว่า หญิงสาวเห็นแววตาของตงฉินล่อกแล่กอยู่นิดหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตงหยางคงไม่เห็นเธอสำคัญอยู่แล้ว เพราะเขาพูดแบบนั้นตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เธอนอนโรงพยาบาล จะมีแค่พี่ฉินเท่านั้นที่มาเยี่ยม ส่วนตงหยางไม่เคยถามไถ่กันเลยด้วยซ้ำ“แล้วพี่ไม่ไปทำงานหรือไง”“ยายบื้อ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ว ใครเขาทำงานถึงค่ำกันล่ะ”ก็คงจะมี ขนาดสามีเธอป่านนี้ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะมาเยี่ยมเลยสักครั้ง“เหรอคะ”“เอาละ ฉันจะเฝ้าไข้เธอเอง”“พี่ฉิน ฉันว่าพี่กลับไปเถอะ ฉันดีขึ้นมากแล้ว พอช่วยเหลือตัวเองได้ อีกอย่างที่นี่เขามีพยาบาล พี่เองก็ต้องพักผ่อน ฉันไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”ยิ่งพูดก็ยิ่งน่าสงสาร ตงฉินมองหน้าหญิงสาว แม้จะรักซิงเหยียนเหมือนน้องสาว แต่ก็แอบคิดว่าหากพี่ชายดูแลเธอไม่ได้ ตัวเองก็พร้อมที่จะยืนข้างๆ คนตัวเล็ก“ก็ได้ งั้นฉันจะฝากหมอซางไว้แล้วกัน เผื่อมีอะไรให้เขาโทร.หา หมอซางเป็นหมอประจำตัวเธอนะ”“เหรอคะ”ตงฉินลุกขึ้นพร้อมกับจะเอื้อมมือไปลูบที่หัวของซิงเหยียนเหมือนที่เคยกระทำเมื่อครั้งยังเด็ก แต่เธอกลับเอียงหัวออกไปเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เพราะความเหมาะสมของ
รุ่งเช้าร่างกายอิดโรยจากศึกในเมื่อคืน ซิงเหยียนขยับเปลือกตาทีละน้อยก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่น พร้อมกวาดมองโดยรอบบนเพดาน เธอพยุงร่างให้ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้าเพราะรู้สึกปวดตามตัวไปหมด“กี่โมงแล้วเนี่ย”น้ำเสียงเหือดแห้งถามตัวเองก่อนที่จะขยับไปหยิบมือถือที่โต๊ะโคมไฟข้างๆ เมื่อมองดูแล้วก็สายกว่าทุกวัน ทว่า เธอคงไปทำงานไม่ไหวจริงๆแค่มองเวลาก็คิดว่าต้องโทร.ลาป่วยที่แผนก ก่อนจะส่งข้อความบอกคุณหมอซางอีกคนเท้าของซิงเหยียนค่อยๆ หย่อนลงแตะที่พื้น ภายในห้องอันแสนว่างเปล่า แน่นอนว่าคนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็คงออกไปทำงานแล้ว“พี่หยาง พี่มันไร้หัวใจจริงๆ”เธอบ่นให้เขาขณะที่เท้าน้อยๆ กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อร่างเล็กแทรกตัวเข้าไปก็หยุดยืนส่องกระจกสะท้อนเงาตัวเอง“บ้าจริง!”ที่เปล่งออกมาแบบนั้น เพราะรอยคมเขี้ยวที่ฝังอยู่บนตัวเธอมันแดงเป็นจ้ำๆ ไปหมด แถมต้นแขนเล็กยังมีรอยช้ำจากแรงบีบของเขาอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกโชคชะตานี้ว่าอย่างไร แต่สิ่งที่หญิงสาวทำได้คือ ทน!ซิงเหยียนจัดการตัวเองพร้อมทั้งลาป่วยที่แผนก แต่ก็ไม่ลืมบอกผู้บริหารอีกคน กลัวเขาจะผิดหวังในตัวเธอ ที่อุตส่าห์รับเข้ามาทำงานร่างเล็กพยุงร่างต