แสงจากโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานของห้องอาหารในคฤหาสน์เงาจันทราส่งแสงสลัวๆ ไปทั่วทั้งบริเวณ
โต๊ะอาหารยาวที่ทำจากไม้โอ๊กสีเข้มถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบด้วย จานชามสีขาวสะอาดตาและช้อนส้อมเงินที่วางเรียงกันอย่างพิถีพิถัน บรรยากาศในห้องนี้ควรจะดูสงบและหรูหรา แต่ความเงียบที่หนักอึ้งและสายตาที่เย็นชาของนาวินที่จ้องมาจากปลายโต๊ะทำให้ทุกอย่างรู้สึกกดดันราวกับมีพายุซ่อนอยู่ในความสงบนั้นธนิดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา ห่างออกไปเกือบสามเมตร เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีนำมาให้เปลี่ยนหลังจากชุดของเธอเปียกฝน มือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก แม้ว่าจะถูกปลดเชือกที่มัดข้อมือออกแล้ว แต่รอยแดงที่เกิดจากการรัดแน่นยังคงปรากฏชัดเจน เธอมองไปที่จานอาหารตรงหน้า สเต๊กเนื้อชิ้นหนาที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยและมันบดสีครีมที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม น่ากินอยู่ไม่น้อย แต่เธอไม่มีอารมณ์จะแตะมันเลยสักนิด
รอบห้องอาหาร ลูกน้องของนาวินสามคนยืนนิ่งราวกับรูปปั้น แต่ละคนสวมเสื้อสูทสีดำและถือปืนกลสั้นที่แนบชิดกับลำตัว สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ธนิดาและประตูทางเข้าหลักของห้องราวกับพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ เสียงฝนที่ตกลงมาจากด้านนอกยังคงดังแว่วเข้ามาเป็นระยะๆ ผสมกับเสียงลมหอนที่พัดผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ปิดม่านกำมะหยี่สีแดงเข้มไว้แน่นหนา
“กินสิ” นาวินพูดขึ้นเป็นคนแรกหลังจากความเงียบที่ยาวนาน เขาตัดสเต๊กชิ้นหนึ่งเข้าปากด้วยท่าทีสงบ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องมาที่เธอไม่วางตา
“ฉันไม่หิว” ธนิดาตอบกลับสั้นๆ เธอพยายามไม่ให้เสียงของเธอสั่น แต่ความโกรธและความกลัวที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจทำให้เธอต้องกำมือแน่นใต้โต๊ะ
นาวินวางส้อมลงบนจานช้าๆ เสียงโลหะกระทบกับเซรามิกดังขึ้นเล็กน้อยในความเงียบ เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้และยกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเธอไม่กิน เธอจะไม่มีแรง และถ้าเธอไม่มีแรง เธอจะตายเร็วขึ้นในโลกแห่งนี้”
“โลกแห่งนี้ที่คุณสร้างขึ้นมาเองงั้นเหรอ” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประชด เธอรู้ดีว่าการพูดแบบนี้อาจทำให้เขาโมโห แต่เธอไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เธอเบื่อที่จะต้องกลัวเขา เบื่อที่จะต้องนั่งนิ่งและยอมรับทุกอย่าง
นาวินยกยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยียบและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม “โลกนี้มีมานานก่อนที่ฉันจะเกิดซะอีก และพ่อของเธอก็เป็นคนเลือกที่จะเข้ามาในโลกนี้เอง”
คำพูดของเขาทำให้ธนิดาชะงัก เธอขมวดคิ้วและมองเขาด้วยความสงสัย “คุณหมายความว่ายังไง”
นาวินวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะและพิงตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาคู่คมของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ “หนี้ 50 ล้านของพ่อเธอไม่ใช่แค่เรื่องการพนันธรรมดา เขาไม่ได้แค่เสียเงินในบ่อนใต้ดินแล้วหนีหายไป เขาถูกบงการโดยคนที่ต้องการล่อฉันออกมา”
“ล่อคุณออกมางั้นเหรอ” ธนิดาถามต่อ ความสับสนเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ “ใครกันที่ต้องการตัวคุณ แล้วพ่อของฉันเกี่ยวอะไรด้วย”
“ศัตรูของฉัน...” นาวินตอบสั้นๆ “เงาจันทราไม่ได้มีแค่พันธมิตร เราเป็นเป้าหมายของแก๊งอื่นๆ ที่อยากครอบครองเมืองนี้ และพ่อของเธออาจเป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมนี้”
ธนิดารู้สึกเหมือนมีบางอย่างกระแทกเข้าใส่หัวใจของเธอ เธอเคยสงสัยในตัวพ่อของเธอมาก่อน เขาเคยหายตัวไปเป็นวันๆ โดยไม่บอกเหตุผล และบางครั้งเขาก็กลับมาพร้อมกับรอยช้ำที่แขนหรือใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าเกินกว่าคนธรรมดาจะเป็น แต่เขาไม่เคยเล่าอะไรให้เธอฟังเลยสักครั้ง เธอเคยคิดว่าเขาคงแค่มีปัญหาการพนัน แต่คำพูดของนาวินทำให้เธอเริ่มสงสัยว่ามันอาจมีอะไรมากกว่านั้น
“คุณโกหก” เธอพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว “พ่อของฉันไม่ใช่คนแบบนั้น เขา...”
“เขาเป็นอะไร?!” นาวินขัดขึ้นทันควัน “เป็นพ่อที่ดีงั้นเหรอ? หรือเป็นแค่คนที่ทิ้งลูกสาวไว้กับหนี้ก้อนโตแล้วหายตัวไป” เขาหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้น “เธอไม่ได้รู้จักพ่อของเธอดีเท่าที่เธอคิดหรอก”
ธนิดากำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ความโกรธและความสับสนปะปนกันอยู่ในใจของเธอ เธออยากจะเถียงกลับ อยากจะบอกเขาว่าเขาคิดผิด แต่ลึกๆ แล้วเธอก็รู้ว่ามีบางอย่างในคำพูดของเขาที่อาจเป็นความจริง เธอก้มหน้าลงและพยายามกลั้นน้ำตาที่เริ่มเอ่อขึ้นมาในดวงตา
ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรต่อ เสียงระเบิดดังสนั่นจากด้านหน้าคฤหาสน์ก็ทำให้ทุกคนในห้องอาหารสะดุ้งสุดตัว
ตูม!
พื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย โคมระย้าบนเพดานสั่นไหวจนแสงจากคริสตัลกระพริบวูบวาบ ลูกน้องทั้งสามคนในห้องยกปืนขึ้นทันทีและวิ่งไปที่ประตู นาวินลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทีที่ยังคงสงบ แต่ใบหน้าของเขาเริ่มตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น?!” เขาตะโกนสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
หนึ่งในลูกน้องวิ่งกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “นายท่าน! แก๊งเสือดาวบุกมา! พวกมันระเบิดประตูหน้าและกำลังเข้ามาในเขตคฤหาสน์แล้ว!”
“เสือดาวเหรอ?” นาวินพูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องทันที “เรียกกำลังเสริมมาเดี๋ยวนี้! และพาเธอไปซ่อนตัว” เขาชี้มาที่ธนิดาด้วยสายตาที่เฉียบคม
ลูกน้องคนหนึ่งรีบวิ่งมาที่ธนิดาแล้วจับแขนเธอเพื่อลากเธอออกจากห้อง แต่ธนิดาสะบัดแขนออกด้วยความโมโห “ฉันไม่ไป!” เธอตะโกน “ถ้าฉันต้องตายที่นี่ ฉันจะไม่หนีไปซ่อนตัวเหมือนหนูไร้ค่าหรอกนะ!”
นาวินหันมามองเธอด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร เสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัง! ปัง! ปัง!
สิ้นเสียงก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนก่อนจะตามมาด้วยคำสั่งตะโกนของลูกน้องที่เริ่มปะทะกับศัตรู
“ถ้าเธออยากตายก็ตามใจ” นาวินพูดสั้นๆ ก่อนจะหยิบปืนพกสีเงินจากเอวของเขาและวิ่งออกไปที่ประตู
ธนิดามองตามหลังเขาไปด้วยหัวใจที่เต้นรัว เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะนั่งนิ่ง เธอต้องทำอะไรสักอย่าง
สายตาของเธอเหลือบไปเห็นปืนพกอีกกระบอกที่วางอยู่ใต้โต๊ะอาหาร คงเป็นของลูกน้องคนหนึ่งที่วางทิ้งไว้ เธอรีบก้มลงหยิบมันขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ปืนนั้นเย็นและหนักกว่าที่เธอจำได้จากสมัยที่พ่อสอนเธอยิง แต่ความรู้สึกคุ้นเคยเริ่มกลับมาในมือของเธอ เธอปลดเซฟตี้และถือมันแน่น ก่อนจะวิ่งตามนาวินออกไปจากห้อง
เมื่อเธอมาถึงโถงทางเข้าหลักของคฤหาสน์ เธอเห็นภาพที่วุ่นวายและน่าสะพรึงกลัว ประตูหน้าถูกระเบิดจนพังยับ เศษไม้และโลหะกระจัดกระจายไปทั่วพื้น กลุ่มชายชุดดำที่สวมหน้ากากสีแดง พวกนั้นคงเป็นคนของแก๊งเสือดาว กำลังยิงปะทะกับลูกน้องของนาวิน กลิ่นควันปืนและเลือดลอยคละคลุ้งในอากาศ เสียงปืนดังสนั่นราวกับสงครามขนาดย่อม
นาวินยืนอยู่กลางโถง เขายิงปืนพกของเขาด้วยความแม่นยำที่น่ากลัว ศัตรูสองคนล้มลงทันทีเมื่อกระสุนเจาะเข้าที่หน้าอกและศีรษะ แต่ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป และลูกน้องของเขาค่อยๆ ถูกล้มลงทีละคน
ธนิดาเห็นชายคนหนึ่งในชุดแดงแอบเล็งปืนมาที่นาวินจากด้านข้าง เธอไม่คิดอะไรนานกว่านั้น เธอยกปืนขึ้นและเหนี่ยวไกทันที
ปัง!
กระสุนเจาะเข้าที่ไหล่ของชายคนนั้น เขากรีดร้องและล้มลงกับพื้น นาวินหันมามองเธอด้วยความตกตะลึงชั่วขณะ แต่เพียงวินาทีต่อมา ศัตรูอีกคนก็พุ่งเข้ามาที่เธอด้วยมีดในมือ
“ระวัง!” นาวินตะโกนก่อนจะยิงศัตรูคนนั้นล้มลงทันทีที่มันเข้าใกล้เธอ
ธนิดาหายใจถี่ เธอยังคงถือปืนแน่นและมองไปยังนาวินที่ยืนหอบอยู่ไม่ไกล เสียงปืนเริ่มเงียบลงเมื่อลูกน้องของนาวินที่เหลือจัดการศัตรูที่รอดชีวิตได้ เขาเดินเข้ามาหาเธอช้าๆ สายตาของเขาที่มองเธอเปลี่ยนไปจากเดิม มันเปลี่ยนจากความเย็นชาเป็นความสนใจ
“เธอยิงปืนเป็นด้วยเหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ผสมด้วยความประหลาดใจ
“พ่อเคยสอนฉันตอนเด็ก” เธอตอบสั้นๆ หัวใจของเธอยังเต้นรัวจากอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่าน
นาวินมองเธออยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “น่าสนใจ” เขาพูดพึมพำ “บางทีเธออาจจะมีประโยชน์มากกว่าที่ฉันคิด”
เขาหันหลังและสั่งลูกน้องให้เก็บกวาดสถานที่ แต่ในใจของธนิดากลับเต็มไปด้วยคำถาม เธอเพิ่งช่วยชีวิตเขา และเขาก็ช่วยชีวิตเธอ แต่คำพูดของเขาเกี่ยวกับพ่อของเธอยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ถ้าพ่อของเธอถูกบงการจริง ใครกันที่อยู่เบื้องหลัง และทำไมเธอถึงต้องถูกดึงเข้ามาในเกมนี้
ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักนอกคฤหาสน์ ขณะที่ธนิดายืนนิ่งท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและควันปืน เธอรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ในอนาคตอย่างแน่นอน
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอคราง
เสียงฝนที่เคยตกหนักทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางเบาที่เกาะอยู่บนใบไม้และกลิ่นดินเปียกที่ยังลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศธนิดานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ห้องพักของเธอเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง เธอเพิ่งกลับจากการสอบปากคำของนาวินที่ห้องทำงานของเขา ชายหน้านิ่งเย็นชาที่ตอนนี้เริ่มเผยความรู้สึกซ่อนเร้นบางอย่างออกมาทีละน้อยก๊อก ๆ ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มต่ำของนาวินดังขึ้นธนิดาหันกลับไปมอง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง ปลดกระดุมบนออกสองเม็ด ผมเปียกชื้นเล็กน้อยจากการเดินฝ่าฝนมาจากห้องด้านหลังคฤหาสน์เธอไม่ตอบ… แต่ก็ไม่ปฏิเสธการมาของเขาเช่นกันเขาเดินเข้ามาใกล้ จนกลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ กับกลิ่นฝนผสมกันลอยคลุ้งในอากาศระหว่างคนทั้งสอง“คุณมาทำไม” เธอถามเสียงแผ่ว“เพราะคืนนี้ฉันไม่อยากนอนคนเดียว” เขาตอบด้วยสายตาจริงจังอย่างน่าประหลาด “และฉันก็แน่ใจว่าเธอก็ไม่อยาก…”เธอหันหน้าหนี แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุด“อย่ามาทำเหมือนรู้จักฉันดี”“แต่ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้…”ไม่ทันให้เธอได้ตั้งคำถาม ร่างสูงของน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องลอดผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้องนอน กลิ่นไอฝนจากค่ำคืนยังคงหลงเหลือในอากาศ แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลและอบอุ่น ร่างสูงของนาวินขยับตัวเบา ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆเขาหันไปมองคนข้างกายที่ยังคงหลับตาพริ้ม ใบหน้าของธนิดาดูสงบอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ผมยาวสยายอยู่บนหมอน ผิวขาวเนียนชวนสัมผัส และริมฝีปากบางที่ขยับเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดีนาวินยกมือขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านโครงหน้าละมุนละไมของเธอด้วยความทะนุถนอม“สวยเหลือเกิน...” เขาพึมพำเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจธนิดาขยับเล็กน้อย เปลือกตาค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสบกับเขา รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากทันทีที่เห็นเขาอยู่ข้างกาย“ตื่นนานแล้วเหรอคะ”“พึ่งตื่น... แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้มองเธอมาตลอดทั้งคืนเลย”เธอหลับตาอย่างเขินอาย ก่อนจะยิ้มหวานให้เขา นาวินขยับเข้าไปใกล้ โอบร่างบางของเธอไว้ในอ้อมกอด ลมหายใจอันอบอุ่นของเขาลูบไล้ผ่านลำคอเธอ“เมื่อคืนฝันดีไหมครับ”“ค่ะ ฉันฝันว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดไป...”เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา“แล้วถ้า
เสียงฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดตั้งแต่หัวค่ำ ฟ้าร้องครืน ๆ ดังลั่นท้องฟ้า บรรยากาศรอบบ้านพักของธนิดาที่นาวินกลับมาซ่อมแซมให้จนสามารถกลับมาอยู่อาศัยได้อีกครั้งท่ามกลางป่าเขาเต็มไปด้วยไอหมอกเย็นจัด ไฟดับทั่วบริเวณ มีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มเล็กที่นาวินจุดไว้กลางโต๊ะไม้หน้าระเบียงบ้าน สะท้อนเงาไหวระริกบนผนังไม้เก่า ๆธนิดานั่งกอดเข่ามองฝนอย่างเงียบ ๆ ผมยาวสยายเล็กน้อยจากแรงลมที่พัดผ่าน ระเบียงไม้เก่าเปียกชื้นเล็กน้อยจากละอองฝนที่สาดเข้ามา เธอห่มผ้าคลุมไหล่ไว้แน่น ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องไปยังม่านฝนผ่านบานหน้าต่างตรงหน้านาวินเดินออกมาพร้อมผ้าห่มผืนใหญ่ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มันคลุมตัวเธอเพิ่มอีกชั้น มือหนาสัมผัสไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกัน“กลัวฟ้าร้องเหรอ” เขาถามเสียงเบาเธอส่ายหน้าเบา ๆ“เปล่าค่ะ... แค่รู้สึกเหงานิดหน่อย” ธนิดาตอบตามตรง เพราะฝนที่กำลังตกมันทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆเสียงฝนยังคงตกหนัก เสียงฟ้าร้องสลับมาเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกโอบล้อมด้วยความเงียบงันและความเปียกชื้น แต่ภายในบ้านกลับอบอุ่นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าจะมีเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ตาม“ตอนเด็ก ๆ เวลาฝนต
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านอย่างอ่อนโยน แสงจันทร์สีเงินทอดตัวลงมาบนผิวทะเลที่ระยิบระยับเป็นประกาย เงาของสองร่างสะท้อนอยู่บนผืนทรายขาวสะอาด ท่ามกลางเสียงคลื่นซัดฝั่ง ธนิดายืนมองทะเลด้วยแววตาที่สงบ ในอ้อมแขนของชายผู้เป็นทั้งรักและความเจ็บปวดของเธอนาวินโอบเธอไว้จากด้านหลัง มือหนากระชับรอบเอวบางแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปอีก“เธอรู้ไหม... ฉันกลัวที่สุด ว่าจะไม่มีโอกาสได้บอกรักเธออีก” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู น้ำเสียงนั้นมีทั้งความโหยหาและอ่อนแอปนกันอยู่ธนิดาหันมา เงยหน้ามองเขาในระยะใกล้ ใกล้เสียจนเธอมองเห็นความสั่นไหวในดวงตาคมเข้มคู่นั้นเธอเอื้อมมือขึ้น ลูบแก้มเขาเบา ๆ“ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว และจะไม่ไปไหนอีก... ไม่ว่าชีวิตคุณจะเต็มไปด้วยความอันตรายแค่ไหน ฉันก็จะอยู่ข้างคุณเสมอ คุณนาวิน”คำพูดนั้นราวกับปลดล็อกบางอย่างในหัวใจของเขา ชายหนุ่มโน้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จูบนั้นก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น มันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เย้ายวน และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เก็บกดมานาน มันเป็นความโหยหาที่เขาตามหามาโดยตลอดมือหนาของเขาเลื่อนจากเอวบางลงมายังก้นเนียนนุ่มของอีกฝ่าย ก่อนที่จะออกแรงบ