Masukสายฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำดูเหมือนจะเป็นใจให้กับค่ำคืนแห่งการลักพาตัวครั้งนี้เหลือเกิน เสียงเม็ดฝนกระทบพื้นดินเฉอะแฉะดังกลบทุกสรรพเสียง ทิ้งไว้เพียงเสียงลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มที่โอบอุ้มร่างของเธอไว้อย่างมั่นคง
ธนิดาซุกใบหน้าลงกับแผงอกกว้างที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตเนื้อดี กลิ่นน้ำหอมเย็นๆ ผสมกลิ่นกายชายชาตรีของเขาทำหน้าที่เหมือนยาสลบอ่อนๆ ที่ทำให้สติของเธอพร่าเลือน เธอรู้ว่าเธอควรจะดีดดิ้น ควรจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่ภาพโหดร้ายที่เขาเพิ่งมอบความตายให้กับชายฉกรรจ์สามคนในพริบตาเดียวนั้น ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำ
ผู้ชายคนนี้คือมัจจุราช และเธอไม่มีความกล้าพอที่จะงัดข้อกับเขา
นาวินพาเธอเดินฝ่าสายฝนมาหยุดอยู่ที่รถยนต์คันหรูสีดำสนิท มันจอดซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบหลังพุ่มไม้ใหญ่ ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังหมอบรอเจ้านาย รถเบนท์ลีย์ เบนเทก้า (Bentley Bentayga) คันใหญ่ดูขัดแย้งกับสภาพแวดล้อมซอมซ่อของย่านนี้อย่างสิ้นเชิง หยดน้ำฝนเกาะพราวไปทั่วตัวถังรถที่มันวาว สะท้อนแสงฟ้าแลบแปลบปลาบดูน่าเกรงขาม
ลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนเฝ้ารถรีบกางร่มคันใหญ่เข้ามารับ แต่นาวินเพียงแค่ปรายตามองเป็นเชิงสั่งให้เปิดประตูก่อนจะวางร่างบางของธนิดาลงบนเบาะหนังสีครีมหนานุ่มที่เบาะหลังอย่างเบามือ เบากว่าที่เธอคาดคิดไว้มาก
"นั่งนิ่งๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวเพิ่ม"
เสียงทุ้มสั่งเรียบๆ ก่อนที่เขาจะปิดประตูรถขังเธอไว้ในโลกส่วนตัวของเขา แล้วเดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับ
ภายในรถเงียบสงัด ตัดขาดจากเสียงพายุภายนอกอย่างสิ้นเชิง เครื่องปรับอากาศถูกปรับอุณหภูมิให้อุ่นขึ้นเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ ธนิดานั่งตัวลีบติดประตู กอดตัวเองแน่นด้วยความหนาวสั่นจากเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม และความหวาดกลัวที่ยังไม่จางหาย
นาวินสตาร์ตเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มแผ่วเบาก่อนจะออกตัวไปอย่างนุ่มนวล เขาเหลือบตามองกระจกมองหลัง สบตากับดวงตากลมโตที่ฉายแววตื่นตระหนกของเธอ
"อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ธนิดา" เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ มือข้างหนึ่งบังคับพวงมาลัยอย่างชำนาญ อีกข้างหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่วางอยู่คอนโซลกลางโยนไปให้เธอที่เบาะหลัง
"เช็ดผมซะ เดี๋ยวจะเป็นปอดบวมตายไปก่อนที่ฉันจะได้รหัสผ่าน"
ธนิดารับผ้าขนหนูมาอย่างเก้ๆ กังๆ กลิ่นหอมสะอาดจากผ้าทำให้เธอเผลอสูดหายใจเข้าลึกๆ "คุณ... คุณจะพาฉันไปไหน"
"กลับบ้าน" เขาตอบสั้นๆ
"บ้านคุณเหรอ?"
"บ้านของฉัน... และจะเป็นคุกของเธอ นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป"
คำว่าคุกหลุดออกมาจากปากเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศแต่มันกลับกรีดลึกลงไปในใจคนฟัง ธนิดากัดริมฝีปากแน่นจนห่อเลือด
"ทำไมต้องเป็นฉัน... พ่อฉันทำอะไรให้คุณกันแน่" เธอถามเสียงเครือ ความน้อยใจในโชคชะตาตีตื้นขึ้นมาจุกที่อก "ฉันไม่เคยรู้เรื่องธุรกิจของพ่อ ไม่เคยรู้เรื่องรหัสผ่านบ้าบออะไรนั่นเลย!"
นาวินเหยียบเบรกชะลอรถเมื่อถึงทางแยก เขาหันหน้ามามองเธอตรงๆ เป็นครั้งแรก แสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางสาดส่องเข้ามาในรถ เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมคายที่ดูดุดันแต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าจางๆ
"ความไม่รู้ไม่ได้ช่วยให้เธอรอดพ้นจากความผิดหรอกนะ" แววตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย “พ่อของเธอขโมยข้อมูลสำคัญของเงาจันทราไป ข้อมูลที่สามารถล้มกระดานธุรกิจของฉันได้ทั้งกระดาน และคนที่อยากได้มันไม่ได้มีแค่ฉัน"
เขาเว้นจังหวะ สายตาเลื่อนไปมองรอยช้ำที่มุมปากของเธอ “ไอ้สวะพวกนั้นที่ฉันเพิ่งเป่าสมองกระจุย พวกมันเป็นแค่ปลายแถว ถ้าฉันไม่ไปรับเธอมาป่านนี้เธอคงกลายเป็นศพไร้ชื่อ หรือไม่ก็ถูกส่งไปขายในซ่องชายแดนเพื่อรีดความลับแล้ว"
ธนิดาหน้าซีดเผือด คำพูดของเขาโหดร้ายตรงไปตรงมา แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้
"แปลว่า... คุณช่วยชีวิตฉันไว้เหรอ" เธอถามเสียงเบาหวิว
นาวินแค่นหัวเราะในลำคอ หันกลับไปมองถนนเบื้องหน้า “อย่าสำคัญตัวผิด ฉันแค่เก็บรักษากุญแจดอกสำคัญเอาไว้ต่างหาก ถ้ากุญแจดอกนี้พังไป ฉันคงเปิดหีบสมบัติไม่ได้"
รถยนต์หรูเคลื่อนตัวผ่านความมืดมิดของค่ำคืน มุ่งหน้าออกจากตัวเมืองอันวุ่นวายเข้าสู่เส้นทางที่เปลี่ยวร้างขึ้นเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าทึบที่ดูน่ากลัวภายใต้เงาฝน แต่ธนิดากลับรู้สึกว่าความน่ากลัวภายนอกนั้น เทียบไม่ได้เลยกับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอ
เขาดูสงบนิ่ง เยือกเย็น แต่พร้อมจะระเบิดและทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าเหมือนภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง กำแพงสูงตระหง่านที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ประตูเหล็กดัดลวดลายวิจิตรขนาดมหึมาค่อยๆ เลื่อนเปิดออกต้อนรับผู้เป็นเจ้าของ เผยให้เห็นอาณาจักรที่ซ่อนตัวอยู่ภายใน
คฤหาสน์เงาจันทรา
บ้าน ไม่สิ! มันคือปราสาทขนาดย่อมที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนสวยที่ถูกจัดแต่งอย่างดี แสงไฟสีนวลตาที่เปิดสว่างไสวไปทั่วอาคารสไตล์ยุโรปทำให้มันดูงดงามราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย แต่กำแพงสูงลิบและกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่แทบทุกมุมตึก กลับตะโกนก้องว่าที่นี่คือป้อมปราการที่ยากจะเจาะเข้าไปและยากยิ่งกว่าที่จะหนีออกมา
รถจอดสนิทที่หน้าบันไดหินอ่อนกว้างขวาง นาวินดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ ก่อนจะเดินมาเปิดประตูฝั่งของเธอ
"ลงมา"
ธนิดาก้าวขาที่สั่นเทาลงจากรถ ความหนาวเย็นจากลมฝนปะทะผิวอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ได้ยืนอยู่บนโคลนตม หากแต่เป็นพื้นหินอ่อนราคาแพง
ทันใดนั้น หญิงวัยกลางคนในชุดแม่บ้านเรียบร้อยก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารับพร้อมกับร่มคันใหญ่ และชายฉกรรจ์ในชุดสูทอีกนับสิบคนที่ยืนเรียงแถวต้อนรับอย่างเป็นระเบียบ
"นายท่านกลับมาแล้ว" เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมเพรียง
นาวินไม่สนใจใคร เขาคว้าข้อมือเล็กของธนิดาไว้แล้วออกแรงดึงเบาๆ ให้เดินตามเขาเข้าไปด้านใน
"ยินดีต้อนรับสู่กรงทองของเธอ ธนิดา" เขากระซิบเสียงพร่าที่ข้างหูเธอขณะเดินผ่านประตูไม้สักบานใหญ่เข้าไป "อยู่ที่นี่ทำตัวให้ว่าง่าย แล้วฉันสัญญาว่าเธอจะมีชีวิตที่สุขสบาย จนลืมไปเลยว่าเคยมีอิสรภาพ"
ธนิดาเงยหน้ามองแผ่นหลังกว้างของเขาที่เดินนำหน้า หัวใจของเธอบีบรัดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหวาดกลัว สับสน และปลอดภัยอย่างประหลาด
ประตูบานใหญ่ปิดลงเบื้องหลัง เสียงกลอนล็อกดังกริ๊กเป็นสัญญาณปิดตายโลกใบเดิมของเธออย่างสมบูรณ์
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้น
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอครางอ
แสงแดดยามเช้าตรู่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งสีขาวเข้ามาตกกระทบเตียงนอนนุ่ม สร้างลวดลายของแสงเงาที่ดูอบอุ่นและสงบเงียบ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนหน้าบ้านและเสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบา เป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับบ้านพักริมทะเลแห่งนี้นาวินลืมตาตื่นขึ้นก่อนใครตามความเคยชิน เขานอนตะแคงเท้าแขนมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของธนิดาเปรียบเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดที่ขับกล่อมจิตวิญญาณอันแข็งกระด้างของเขาให้อ่อนโยนลงปลายนิ้วหนาเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกแก้มใสของภรรยาอย่างเบามือ เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ใครจะเชื่อว่าอดีตหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่เคยมองโลกเป็นสีเทาหม่น จะมานอนยิ้มให้กับคนรักในยามเช้าแบบนี้"อือ..." ธนิดาขยับตัวเล็กน้อย ครางงัวเงียในลำคอเมื่อถูกรบกวน เธอกะพริบตาถี่ๆ ปรับโฟกัส ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานเมื่อเห็นใบหน้าของสามีเป็นสิ่งแรกของวัน"อรุณสวัสดิ์ค่ะ... คุณบาริสต้า" เสียงหวานแหบพร่าเล็กน้อยจากการเพิ่งตื่น"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนาย" นาวินก้มลงจูบหน้าผากมนหนักๆ "ตื่นสายนะวันนี้ เมื่อคืนโดนกวนดึกไปหน่อยเหรอ?"ธนิดาหน้าแดงซ่าน นึกถึงกิจกรรมรักท่ามกลางสายฝนเมื
ท้องฟ้าเหนือทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึน เมฆฝนก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมจนบดบังแสงจันทร์ที่เคยสุกสกาว เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นดังมาจากขอบฟ้าไกลๆ ก่อนที่สายฝนเม็ดหนาจะเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโกรธเกรี้ยวใครมานับร้อยปีภายในห้องนอนชั้นสองของบ้านพักริมทะเล บรรยากาศกลับแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง แสงไฟสีส้มสลัวจากโคมไฟหัวเตียงสร้างความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย กลิ่นเทียนหอมอโรมากลิ่นวานิลลาลอยอบอวลจางๆ ผสมกับเสียงเม็ดฝนกระทบกระจกหน้าต่างที่กลายเป็นดนตรีขับกล่อมยามค่ำคืนธนิดานั่งกอดเข่าอยู่บนม้านั่งบุนวมริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปในความมืดมิดที่มีเพียงเส้นสายของน้ำฝน เธอสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของนาวินที่ยาวคลุมลงมาถึงต้นขา เผยให้เห็นขาเรียวสวยที่ซ่อนอยู่ในเงามืด"คิดอะไรอยู่..."เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวเธอจากด้านหลัง นาวินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาสวมเพียงกางเกงนอนขายาวเปลือยท่อนบน อวดมัดกล้ามสวยงามที่มีหยดน้ำเกาะพราว ผมเปียกชื้นลู่ลงมาปรกหน้าผากทำให้เขาดูเด็กลงและเซ็กซี่อย่างร้ายกาจนาวินวางคางลงบนไหล่เล็ก สูดดมกลิ่นหอมของสบู่ที่ติดอยู่บนผิวกายเธอ "หรือเธ
ค่ำคืนที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง ไร้เมฆหมอกบดบัง ดวงจันทร์กลมโตทอแสงสีนวลสาดส่องลงบนผืนน้ำทะเลจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับดุจเพชรนับพันเม็ด เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวดังเป็นจังหวะขับกล่อมธรรมชาติให้หลับใหล แต่สำหรับคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งสวมแหวนหมั้นกันหมาดๆ รัตติกาลนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นนาวินจูงมือธนิดาเดินลัดเลาะไปตามชายหาดที่เงียบสงบ ห่างไกลจากบ้านพักและร้านกาแฟของพวกเขาออกมาพอสมควร จนกระทั่งถึงเวิ้งอ่าวเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยโขดหินธรรมชาติ เป็นมุมส่วนตัวที่มีเพียงหาดทราย สายลม และแสงจันทร์"คุณพาฉันมาเดินไกลขนาดนี้ จะแอบพาไปฆ่าหมกทรายหรือเปล่าคะเนี่ย" ธนิดาแกล้งแซว ทำลายความเงียบนาวินหยุดเดิน หันมามองเธอด้วยสายตาพราวระยับที่ทำให้ธนิดารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขารั้งเอวบางเข้ามาแนบชิด จนหน้าอกนุ่มหยุ่นของเธอเบียดกับแผงอกแกร่งของเขา"ฆ่าหมกทรายมันเชยไป..." เขากระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากเธอ “พามากินไปชมวิวไป น่าจะเหมาะกว่า"ธนิดาหน้าแดงซ่าน ตีอกเขาเบาๆ "คนทะลึ่ง! ที่โล่งแจ้งขนาดนี้ใครจะไปยอม...""ไม่มีใครหรอก แถวนี้เป็นเขตส่วนตัวของเรา" นาวินไม่พูดเปล่า เขาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวอ
เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวละเอียดดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคล้าคลอไปกับเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านกาแฟเล็กๆ สไตล์มินิมอลริมทะเล กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดลอยอบอวลผสมผสานกับไอเค็มของทะเล สร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่แต่ลงตัวอย่างน่าประหลาดป้ายไม้เหนือประตูร้านสลักคำว่า The Moonlight ตัวอักษรหวัดๆ แต่สวยงามฝีมือเจ้าของร้านภายในเคาน์เตอร์บาร์นาวินในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาดตากับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มกำลังขะมักเขม้นกับการเทนมลงในถ้วยกาแฟเพื่อทำลาเต้อาร์ต แม้ใบหน้าจะยังคงความคมเข้มดุดันตามแบบฉบับอดีตมาเฟีย แต่แววตาที่จ้องมองฟองนมนั้นกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจและอ่อนโยนจนน่าเอ็นดู"เบี้ยวอีกแล้วค่ะคุณบาริสต้า"เสียงใสๆ ดังขึ้นจากโต๊ะมุมร้าน ธนิดาละสายตาจากบัญชีรายรับรายจ่ายในแท็บเล็ต เงยหน้าขึ้นมองผลงานศิลปะในถ้วยกาแฟของสามีแล้วหลุดขำออกมา "นั่นรูปหัวใจหรือรูปก้อนเมฆคะเนี่ย"นาวินถอนหายใจพรืด วางเหยือกนมลงแล้วยกมือเท้าเอว "ยากกว่ายิงปืนอีก ฉันว่าฉันเหมาะกับการชงกาแฟดำเพียวๆ มากกว่านะ""ไม่ได้ค่ะ" ธนิดาลุกเดินมาหาเขาที่เคาน์เตอร์ เอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้เขาเรียบร้อย "คุณบอกเองว่าจะเปิดร







