ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่รถยนต์สีดำคันใหญ่อย่างเบนท์ลีย์ รุ่นเบนเทก้า พาธนิดามุ่งหน้าสู่จุดหมายที่เธอไม่อาจคาดเดาได้ เสียงเครื่องยนต์ดังครืดคราดผสมกับเสียงหยดน้ำที่กระทบกระจกรถ ทำให้ภายในรถเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด
นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ สายตาของเขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้ ใบหน้าคมเข้มของเขาถูกแสงจากไฟถนนที่สาดส่องเข้ามาเป็นระยะๆ เน้นให้เห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่มุมคิ้วซ้าย ซึ่งธนิดาเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก
เธอขยับตัวเล็กน้อยบนเบาะหนังสีดำที่เย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างของเธอถูกมัดไว้หลวมๆ ด้วยเชือกไนลอนสีดำ ซึ่งลูกน้องของนาวินผูกไว้ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกจากบ้านไม้เก่าของเธอ ความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือจากการถูกกระชากยังคงอยู่ แต่เธอพยายามไม่แสดงออกมาให้เขาเห็น เธอหันไปมองนาวินอีกครั้ง พยายามหาคำตอบจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา แต่สิ่งที่เธอได้กลับมามีเพียงความเงียบงันที่สร้างความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นในใจของเธอ
“นี่เราจะกำลังจะไปไหนกัน” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้หนักแน่น แต่ความสั่นเทาในน้ำเสียงของเธอก็ยังหลุดออกมาเล็กน้อย
นาวินหันหน้ามามองเธอช้าๆ ดวงตาคู่คมของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับพยายามอ่านความคิดของเธอ “ที่ที่เธอจะได้พิสูจน์ว่าตัวเองมีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ” เขาตอบสั้นๆ น้ำเสียงของเขาเย็นเยือกเหมือนสายฝนที่กำลังตกลงมาด้านนอก
ธนิดากัดริมฝีปากแน่น เธออยากจะโต้กลับ อยากจะถามเขาว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเธอ แต่คำพูดทั้งหมดกลับติดอยู่ที่ลำคอ เธอรู้ดีว่าการขัดขืนในตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เธอได้แต่ก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ถูกมัด และพยายามสงบสติเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้
รถยนต์เคลื่อนตัวผ่านถนนที่มืดมิดเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดมันก็ชะลอความเร็วลงและเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนตัวที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูงตระหง่าน ประตูเหล็กขนาดใหญ่เปิดออกอัตโนมัติ เผยให้เห็นคฤหาสน์ขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขียวขจี แสงไฟจากตัวอาคารสาดส่องออกมาเป็นวงกว้าง ทำให้ธนิดาเห็นโครงสร้างของมันได้ชัดเจน คฤหาสน์นี้ไม่ใช่บ้านธรรมดา มันดูเหมือนป้อมปราการมากกว่า ด้วยกำแพงสูง หอคอยเล็กๆ ที่มุมอาคาร และกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ทุกหนแห่ง
“ที่นี่คือที่ไหน?” เธอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“บ้านของฉัน” นาวินตอบสั้นๆ “และจากนี้ไป มันจะเป็นคุกของเธอด้วย”
รถหยุดลงหน้าประตูทางเข้าหลัก ลูกน้องของนาวินสองคนรีบลงจากรถและเปิดประตูให้เขา เขาก้าวลงจากรถด้วยท่าทีสง่างามราวกับเจ้าของอาณาจักร ก่อนจะหันกลับมาสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พาเธอไปที่ห้องพักชั้นบน ล็อกประตูให้แน่น”
ธนิดาถูกดึงตัวลงจากรถอย่างแรง เธอสะดุดเล็กน้อยเมื่อเท้าของเธอสัมผัสพื้นหินอ่อนที่เปียกชื้นจากฝน ลูกน้องคนหนึ่งจับแขนเธอแน่นและพาเธอเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ขณะที่อีกคนเดินตามหลังพร้อมปืนกลสั้นที่เล็งมาที่เธอตลอดเวลา
ภายในคฤหาสน์นั้นกว้างขวางและหรูหราเกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้ พื้นปูด้วยหินอ่อนสีดำเงาวับ เพดานสูงตระหง่านประดับด้วยโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่ส่งแสงระยิบระยับไปทั่วทั้งห้องโถง บันไดวนขนาดใหญ่ที่ทอดตัวขึ้นไปยังชั้นบนดูเหมือนจะถูกแกะสลักจากไม้ชั้นดี แต่ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูสวยงาม ความรู้สึกเย็นชาและตึงเครียดก็ยังคงลอยอยู่ในอากาศ ราวกับว่าคฤหาสน์แห่งนี้ซ่อนความลับบางอย่างที่มืดมิดเอาไว้
เธอถูกพาขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง และเดินผ่านโถงทางเดินยาวที่มีประตูไม้หนักทนปิดสนิทอยู่ทั้งสองฝั่ง เสียงฝีเท้าของลูกน้องนาวินดังก้องไปทั่วโถงทางเดินนั้น ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกพาไปสู่ห้องขังมากกว่าห้องพัก ในที่สุดพวกเขาก็หยุดลงหน้าประตูบานหนึ่ง ลูกน้องคนที่จับแขนเธอผลักเธอเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูและล็อกมันจากด้านนอกทันที
ธนิดามองไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กจนเกินไป เตียงนอนขนาดคิงไซส์ถูกจัดวางไว้กลางห้อง ผ้าปูที่นอนสีเทาเข้มดูสะอาดและเรียบร้อย หน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นป่าด้านนอกถูกปิดด้วยม่านกำมะหยี่สีดำหนา และมีโต๊ะไม้เล็กๆ พร้อมเก้าอี้ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง แต่สิ่งที่ทำให้เธอสะดุดตามากที่สุดคือกล้องวงจรปิดตัวเล็กที่ติดตั้งอยู่มุมเพดาน มันกำลังหมุนช้าๆ และส่งแสงแดงกระพริบเป็นระยะๆ
“เขาคิดจะจับตาดูฉันตลอดเวลางั้นเหรอ” เธอพึมพำกับตัวเอง ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธออีกครั้ง เธอเดินไปที่ประตูและพยายามบิดลูกบิด แต่มันไม่ขยับเลยสักนิด เธอทุบประตูสองสามครั้งด้วยความโมโห แต่ไม่มีเสียงตอบกลับจากด้านนอก
ในขณะที่เธอกำลังหาทางออกอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากด้านนอกประตู เธอถอยหลังไปสองสามก้าว และเตรียมตัวเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะเข้ามา ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขายังคงสวมเสื้อโค้ตสีดำเปียกฝน แต่ตอนนี้เขาได้ถอดหมวกออกแล้ว ทำให้เธอเห็นผมสีดำสนิทที่เปียกชุ่มและถูกปัดไปด้านหลังอย่างเรียบร้อย
“เธอจะต้องอยู่ที่นี่” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “จนกว่าหนี้ 50 ล้านบาทของพ่อเธอจะถูกชดใช้”
“แล้วถ้าฉันหาเงินไม่ได้ล่ะ” ธนิดาถามกลับทันควัน เธอพยายามมองเข้าไปในดวงตาของเขาเพื่อหาความเมตตาสักนิด แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงความว่างเปล่า
“ถ้าเธอหาไม่ได้...” เขาหยุดพูดชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้เธอจนเธอรู้สึกถึงกลิ่นน้ำฝนและบุหรี่ที่ติดมากับตัวเขา “เธอจะต้องทำงานให้ฉัน จนกว่าฉันจะพอใจ หรือจนกว่าฉันจะเบื่อเธอ”
“คุณหมายความว่ายังไง ทำงานอะไร?” เธอถามต่อ แม้ว่าในใจของเธอจะเริ่มเดาคำตอบได้แล้ว
นาวินยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม “เงาจันทราไม่ใช่แค่แก๊งธรรมดา เราเป็นเจ้าของเมืองนี้ การค้ายาเสพติด การพนันใต้ดิน ทุกอย่างอยู่ในมือของฉัน และถ้าเธออยากมีชีวิตอยู่ต่อ เธอจะต้องพิสูจน์ว่าเธอมีประโยชน์กับฉัน”
ธนิดารู้สึกถึงความหนาวเย็นที่วิ่งผ่านกระดูกสันหลังของเธอ เธอเคยได้ยินเรื่องเล่าจากพ่อของเธอเกี่ยวกับแก๊งมาเฟียที่ควบคุมเมืองนี้ แต่เธอไม่เคยคิดว่ามันจะโหดร้ายและมืดมิดขนาดนี้ เธออยากจะปฏิเสธ อยากจะบอกเขาว่าเธอไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ แต่เมื่อเธอนึกถึงร่างของลุงสมชายที่นอนจมกองเลือด คำพูดทั้งหมดก็หายไปจากปากของเธอ
“ฉันจะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน” เธอถามออกไปแทน
“นานเท่าที่ฉันต้องการ” นาวินตอบ “หรือจนกว่าฉันจะได้เงินครบ”
เขาหันหลังและเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ประตูถูกปิดและล็อกอีกครั้ง ทิ้งเธอไว้ในความเงียบที่หนักอึ้ง เธอทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มือของเธอกำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกลืนเข้าไปในเงามืดที่ไม่มีวันสิ้นสุด และนาวินคือเงาที่ใหญ่ที่สุดในนั้น
หลังจากที่เธอนั่งนิ่งอยู่นานหลายนาที เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น ธนิดาสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดแม่บ้านสีเทาเข้ม เธอมีใบหน้าที่ดูอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความลึกลับ ดวงตาของเธอเล็กและคม มองมาที่ธนิดาด้วยสายตาที่พิจารณา
“ฉันชื่อมณีค่ะ” หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ฉันจะดูแลความสะดวกของคุณธนิดาที่นี่ค่ะ”
ธนิดามองมณีด้วยความระแวง เธอสังเกตเห็นว่าแขนของมณีมีรอยแผลเป็นยาวที่มองเห็นได้ลางๆ ใต้แขนเสื้อที่เลิกขึ้นเล็กน้อย “ดูแลฉันหรือจับตาดูฉันกันแน่” เธอถามออกไปโดยไม่สนใจว่าจะฟังดูหยาบคายหรือไม่
มณียิ้มบางๆ แต่ไม่ตอบคำถาม เธอวางถาดอาหารที่มีข้าวต้มร้อนๆ และน้ำเปล่าลงบนโต๊ะเล็กๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลง ธนิดาสังเกตเห็นว่าเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็ว ความสงสัยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ มณีอาจไม่ใช่แค่แม่บ้านธรรมดาอย่างที่เธอพูด
ไม่นานหลังจากนั้น ชายอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู เขาสูงและผอม มีผมสั้นสีน้ำตาลเข้มที่ถูกหวีเรียบไปด้านหลัง เขาสวมเสื้อสูทสีดำเหมือนลูกน้องคนอื่นๆ แต่ท่าทางของเขาดูสงบและเย็นชากว่า เขายืนนิ่งและมองมาที่ธนิดาด้วยสายตาที่แทบจะไม่กะพริบ
“ผมชื่อภูมิครับ” เขาแนะนำตัวสั้นๆ “ผมเป็นคนสนิทของนายท่าน ถ้ามีอะไร คุณธนิดาแจ้งผมได้นะครับ”
“ค่ะ” ธนิดาพยักหน้ารับ แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ภูมิพูดน้อยเกินไป และสายตาของเขาที่จับจ้องเธอตลอดเวลาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกประเมิน เธอจำได้ว่านาวินเคยพูดถึงการทรยศในบทสนทนากับลูกน้องคนหนึ่งขณะที่เธอถูกพาขึ้นรถ และเธอเริ่มสงสัยว่าคนในคฤหาสน์แห่งนี้อาจไม่ได้ภักดีต่อเขาทุกคน
เมื่อประตูปิดลงอีกครั้ง ธนิดานั่งลงบนเตียงและมองไปที่ถาดอาหาร เธอไม่มีอารมณ์จะกินอะไร แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอต้องรักษากำลังไว้ เธอหยิบช้อนขึ้นมาและตักข้าวต้มเข้าปากช้าๆ รสชาติของมันจืดชืดราวกับสะท้อนถึงชีวิตของเธอในตอนนี้
คฤหาสน์แห่งนี้ไม่ใช่แค่บ้าน มันคือป้อมปราการของเงาจันทรา ฐานบัญชาการที่เต็มไปด้วยความลับและอันตราย เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่ลอยอยู่ในอากาศ และรู้ดีว่าถ้าเธออยากมีชีวิตอยู่ต่อ เธอจะต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดในโลกนี้ให้ได้
ในใจของเธอเริ่มเกิดคำถามมากมาย มณีและภูมิเป็นเพียงลูกน้องของนาวินจริงหรือไม่ ถูกส่งมาคอยช่วยเหลือเธอจริงหรือเปล่า แล้วนาวินแท้จริงต้องการอะไรจากเธอ ที่สำคัญที่สุดคือพ่อของเธอหายไปไหน และทำไมเขาถึงทิ้งเธอไว้กับหนี้ก้อนโตนี้
ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้งนอกหน้าต่าง ขณะที่ธนิดานั่งนิ่งอยู่ในห้องที่ถูกล็อกแน่นหนา เธอรู้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่เธอต้องเผชิญ และในความมืดมิดของคฤหาสน์แห่งนี้ ความลับที่ซ่อนอยู่กำลังรอให้เธอค้นพบ
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอคราง
เสียงฝนที่เคยตกหนักทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางเบาที่เกาะอยู่บนใบไม้และกลิ่นดินเปียกที่ยังลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศธนิดานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ห้องพักของเธอเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง เธอเพิ่งกลับจากการสอบปากคำของนาวินที่ห้องทำงานของเขา ชายหน้านิ่งเย็นชาที่ตอนนี้เริ่มเผยความรู้สึกซ่อนเร้นบางอย่างออกมาทีละน้อยก๊อก ๆ ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มต่ำของนาวินดังขึ้นธนิดาหันกลับไปมอง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง ปลดกระดุมบนออกสองเม็ด ผมเปียกชื้นเล็กน้อยจากการเดินฝ่าฝนมาจากห้องด้านหลังคฤหาสน์เธอไม่ตอบ… แต่ก็ไม่ปฏิเสธการมาของเขาเช่นกันเขาเดินเข้ามาใกล้ จนกลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ กับกลิ่นฝนผสมกันลอยคลุ้งในอากาศระหว่างคนทั้งสอง“คุณมาทำไม” เธอถามเสียงแผ่ว“เพราะคืนนี้ฉันไม่อยากนอนคนเดียว” เขาตอบด้วยสายตาจริงจังอย่างน่าประหลาด “และฉันก็แน่ใจว่าเธอก็ไม่อยาก…”เธอหันหน้าหนี แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุด“อย่ามาทำเหมือนรู้จักฉันดี”“แต่ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้…”ไม่ทันให้เธอได้ตั้งคำถาม ร่างสูงของน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องลอดผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้องนอน กลิ่นไอฝนจากค่ำคืนยังคงหลงเหลือในอากาศ แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลและอบอุ่น ร่างสูงของนาวินขยับตัวเบา ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆเขาหันไปมองคนข้างกายที่ยังคงหลับตาพริ้ม ใบหน้าของธนิดาดูสงบอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ผมยาวสยายอยู่บนหมอน ผิวขาวเนียนชวนสัมผัส และริมฝีปากบางที่ขยับเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดีนาวินยกมือขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านโครงหน้าละมุนละไมของเธอด้วยความทะนุถนอม“สวยเหลือเกิน...” เขาพึมพำเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจธนิดาขยับเล็กน้อย เปลือกตาค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสบกับเขา รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากทันทีที่เห็นเขาอยู่ข้างกาย“ตื่นนานแล้วเหรอคะ”“พึ่งตื่น... แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้มองเธอมาตลอดทั้งคืนเลย”เธอหลับตาอย่างเขินอาย ก่อนจะยิ้มหวานให้เขา นาวินขยับเข้าไปใกล้ โอบร่างบางของเธอไว้ในอ้อมกอด ลมหายใจอันอบอุ่นของเขาลูบไล้ผ่านลำคอเธอ“เมื่อคืนฝันดีไหมครับ”“ค่ะ ฉันฝันว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดไป...”เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา“แล้วถ้า
เสียงฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดตั้งแต่หัวค่ำ ฟ้าร้องครืน ๆ ดังลั่นท้องฟ้า บรรยากาศรอบบ้านพักของธนิดาที่นาวินกลับมาซ่อมแซมให้จนสามารถกลับมาอยู่อาศัยได้อีกครั้งท่ามกลางป่าเขาเต็มไปด้วยไอหมอกเย็นจัด ไฟดับทั่วบริเวณ มีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มเล็กที่นาวินจุดไว้กลางโต๊ะไม้หน้าระเบียงบ้าน สะท้อนเงาไหวระริกบนผนังไม้เก่า ๆธนิดานั่งกอดเข่ามองฝนอย่างเงียบ ๆ ผมยาวสยายเล็กน้อยจากแรงลมที่พัดผ่าน ระเบียงไม้เก่าเปียกชื้นเล็กน้อยจากละอองฝนที่สาดเข้ามา เธอห่มผ้าคลุมไหล่ไว้แน่น ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องไปยังม่านฝนผ่านบานหน้าต่างตรงหน้านาวินเดินออกมาพร้อมผ้าห่มผืนใหญ่ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มันคลุมตัวเธอเพิ่มอีกชั้น มือหนาสัมผัสไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกัน“กลัวฟ้าร้องเหรอ” เขาถามเสียงเบาเธอส่ายหน้าเบา ๆ“เปล่าค่ะ... แค่รู้สึกเหงานิดหน่อย” ธนิดาตอบตามตรง เพราะฝนที่กำลังตกมันทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆเสียงฝนยังคงตกหนัก เสียงฟ้าร้องสลับมาเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกโอบล้อมด้วยความเงียบงันและความเปียกชื้น แต่ภายในบ้านกลับอบอุ่นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าจะมีเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ตาม“ตอนเด็ก ๆ เวลาฝนต
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านอย่างอ่อนโยน แสงจันทร์สีเงินทอดตัวลงมาบนผิวทะเลที่ระยิบระยับเป็นประกาย เงาของสองร่างสะท้อนอยู่บนผืนทรายขาวสะอาด ท่ามกลางเสียงคลื่นซัดฝั่ง ธนิดายืนมองทะเลด้วยแววตาที่สงบ ในอ้อมแขนของชายผู้เป็นทั้งรักและความเจ็บปวดของเธอนาวินโอบเธอไว้จากด้านหลัง มือหนากระชับรอบเอวบางแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปอีก“เธอรู้ไหม... ฉันกลัวที่สุด ว่าจะไม่มีโอกาสได้บอกรักเธออีก” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู น้ำเสียงนั้นมีทั้งความโหยหาและอ่อนแอปนกันอยู่ธนิดาหันมา เงยหน้ามองเขาในระยะใกล้ ใกล้เสียจนเธอมองเห็นความสั่นไหวในดวงตาคมเข้มคู่นั้นเธอเอื้อมมือขึ้น ลูบแก้มเขาเบา ๆ“ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว และจะไม่ไปไหนอีก... ไม่ว่าชีวิตคุณจะเต็มไปด้วยความอันตรายแค่ไหน ฉันก็จะอยู่ข้างคุณเสมอ คุณนาวิน”คำพูดนั้นราวกับปลดล็อกบางอย่างในหัวใจของเขา ชายหนุ่มโน้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จูบนั้นก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น มันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เย้ายวน และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เก็บกดมานาน มันเป็นความโหยหาที่เขาตามหามาโดยตลอดมือหนาของเขาเลื่อนจากเอวบางลงมายังก้นเนียนนุ่มของอีกฝ่าย ก่อนที่จะออกแรงบ