ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์
ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…
เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติ
ร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”
“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล
“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”
“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง
“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”
“...สารเลว”
“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบขึ้นมา ก่อนร่างกำยำจะค่อย ๆ เดินอ้อมไปข้างหลังของขลุ่ย ปลายแหลมคมจ่อเข้าซอกคอตวัดไปมาช้า ๆ
มือใหญ่อาศัยจังหวะที่อีกคนกำลังกลัวเกรง ตวัดปลายลิ้นไล้เลียแผ่นหลังชื้นเหงื่อที่เต็มไปด้วยรอยแตกนูนจากการถูกเฆี่ยน ร่างผอมบางชะงักเพื่อขืนตัวออก แต่กลับขยับไปไหนไม่ได้ เพราะมีอาวุธจ่ออยู่ตรงคอหอย
“รู้ตัวหรือเปล่า ว่าชื่อของมึงทำให้กูนึกถึงใครบางคนขึ้นมา”
“งั้นก็ไปหาเขาสิ”
“ถ้ากูตามหาเจอคงเก็บไว้ข้างตัวแน่ แต่เสียดายเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้น่ะสิ”
“มึงคงเหี้ยเกินเยียวยา จนไม่มีใครอยากอยู่ด้วยสินะ” ขลุ่ยแสยะยิ้มมองตอบ
“ผิดแล้ว...เพราะกูเจอเขาตอนเด็ก ๆ พอโตขึ้นก็ต้องแยกย้าย และไม่เคยมีโอกาสได้เห็นต่างหากล่ะ”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าเขามาเจอมึงตอนนี้ก็คงไม่อยากอยู่ด้วยหรอก!”
“แล้วใครว่ากูจะแคร์ละ…หืม จับมาขังไว้ข้างกายเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว” เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวขลุ่ยก็แทบสำรอกออกมาแทนคนคนนั้นทันที
“...”
“อ๋อ อีกอย่างชื่อของมึงเหมือนเขาเลยล่ะ มันเลยเป็นเหตุผลให้กูรู้สึกพออกพอใจ แถมมึงเองยังดื้อรั้น จนกูนึกสนุกเลยทีเดียว”
“...โรคจิต” ขลุ่ยแค่นเสียงด่าอมงอย่างขยะแขยง
ร่างกำยำยืดกายเต็มความสูง พร้อมเทกระเป๋าที่มีอุปกรณ์หลากหลายลงมา ขลุ่ยมองอย่างตื่นตระหนก เพราะนับจากวินาทีนี้ไม่รู้ต้องเจอกับอะไรจากชายโหดผู้นี้บ้าง
อิฐกระตุกยิ้มเย็น ดึงรั้งข้อเท้าของคนที่กำลังถอยกายหนีอย่างทุรนทุราย เชือกหนังเส้นหนาพอสมควรถูกหยิบยกขึ้นมามัดเอาไว้แน่น ควบคู่กับกุญแจถูกคล้องเอาไว้ตรงหน้า
“จะทำอะไร! ปล่อยกู!”
อิฐไม่สนเสียงด่ากราด รีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาจนเปลือยเปล่าเช่นเดียวกับร่างที่กำลังคลานหนีอย่างไร้หนทางสู้ ก่อนใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงกดทับเข้าควบคุมไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน
“...ลูกหนี้ที่ยอมทำตามว่าง่ายคนเมื่อวานหายไปไหนแล้วล่ะ อย่าลืมสิ...พ่อของมึงอยู่ในมือกูนะ” คำขู่ของคนที่กำลังคร่อมตัวอยู่ มันมากพอจะทำให้ขลุ่ยหยุดดีดดิ้นและยอมศิโรราบ
เพี้ยะ!
“หันหลัง!” ร่างผอมบางสั่นเทา กัดฟันแน่น พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอลงไปเงียบ ๆ
ปลายหัวเข่าของขลุ่ยสัมผัสพื้นเย็น ๆ ส่วนอิฐกลับมองดูราวกับเป็นภาพสวยงาม อีกทั้งยังรู้สึกว่าตัวเขาสามารถควบคุมคนตรงหน้าได้แล้ว
ร่างกำยำเปลือยเปล่าไม่รอช้า หยิบแส้คู่กายเข้าควบกลางลำตัว พร้อมสอดแทรกท่อนแข็งขืนเพียงพรวดเดียวเท่านั้น
“อึก!!!!...” คงไม่ต้องบอกว่าเจ็บปวดแค่ไหน ช่องทางที่เพิ่งผ่านสงครามหนักหน่วง หนำซ้ำยังไม่ทันหายดีก็ถูกทะลวงเข้ามาอีกรอบ
มือใหญ่ของอิฐที่ยังว่างอยู่กระชากเส้นผมของขลุ่ย ดึงให้เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสีดำขลับเย็นชาไร้ความปรานี จับจ้องคนใต้ร่าง ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงวัตถุที่เขาใช้เพื่อระบายอารมณ์
“อย่าเกร็งสิวะ”
ฟึ่บ! เพี้ยะ!
ทั้งจากแส้และการกระแทกกระทั้นของร่างกำยำที่มีน้ำหนักมากกว่าถาโถม จนรู้สึกรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ขลุ่ยค่อย ๆ รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเลือนราง ก่อนลำตัวที่เคยแข็งขืนจะไหลราบลงกับหน้าพื้นเย็นเหยียบสลบไป
อิฐสังเกตได้ถึงความผิดปกติ พลันเหลือบมองคนที่แน่นิ่งไปแล้วด้วยความหงุดหงิด เพราะอารมณ์ยังคงค้างเติ่งและปวดหนึบเพื่อหาทางระบายอยู่
“...แม่งเอ๊ย จนได้สินะ”
.
.
.
“ฮือ…ฮือ…คุณอิฐผมเจ็บ” ร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่มปริศนาผู้เคราะห์ร้าย ถูกจับมาระบายความใคร่แทนคนที่เพิ่งสลบไปและทำให้อารมณ์ของเขายังคงคั่งค้างคาอยู่
อิฐไม่คิดสนใจเสียงร้องไห้น่ารำคาญนั่น กายกำยำเอาแต่กระแทกร่างตรงหน้าเพื่อหวังจะปลดปล่อยให้จบ ๆ ไปสักที และพยายามนึกว่าใต้อาณัติคือเด็กอ่อนปวกเปียกที่เพิ่งถูกเขาทารุณจนสลบไป
“อ่าส์…” เสียงที่แสดงให้เห็นว่าการระบายความใคร่และอัดอั้นจบลงแล้ว ชายหนุ่มปริศนารีบยันกายนั่งอยู่ตรงปลายเตียง มองคนที่ลุกออกไปไม่แยแส
อิฐสวมเสื้อคลุมสีขาวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ขาข้างหนึ่งพาดขึ้นสูง พลางหยิบบุหรี่บนโต๊ะขึ้นจุดบนผิวปาก สูดลมหายใจลึกแล้วพ่นออก ก่อนหางตาจะเหลือบมองชายหนุ่มปริศนาที่กำลังนั่งร้องไห้จนหน้าตาดูแทบไม่ได้
“...ออกจากเกาะไปซะ!! ส่วนหนี้ที่ติด กูจะถือว่าแลกกับเรื่องเมื่อกี้แล้วกัน” น้ำเสียงแม้จะราบเรียบ แต่กลับแฝงเอาไว้ซึ่งแรงกดดันทางอ้อม
“ขะ…ขอบคุณครับ”
อิฐถอนหายใจทันที ก่อนกายกำยำจะลุกขึ้นจากเก้าอี้พ่นควันบุหรี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ให้ลอยละล่องหายไปในอากาศและขบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ภาพของขลุ่ยที่สลบไปต่อหน้าต่อตาทำให้เขาอดคิดถึงความรุนแรงที่เคยเจอมาสารพัดในอดีต
คำพูดของผู้เป็นพ่อผุดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทั้งที่อยากลืมแทบขาดใจ ตั้งแต่ยังเด็กมักถูกสอนให้จดจำว่าความอ่อนโยนไร้ซึ่งอำนาจ ยศ และขาดความน่าเชื่อถือ กลับกันสายตานิ่งเรียบ มือที่หนักแน่น และความเจ็บปวดต่างหากที่จะทำให้คนยอมศิโรราบ
ทุกครั้งที่เสียงหวดดังขึ้นแนบเนื้อกายของเขาซ้ำ ๆ จนเจ็บแสบ เขาจึงเรียนรู้ว่าหากไม่อยากเป็นฝ่ายถูกกระทำก็ต้องเป็นฝ่ายควบคุมเสียเอง...
อีกฟากเสือกำลังช่วยหายาและเช็ดตัวเพื่อให้ไอร้อนจากพิษไข้ในตัวของขลุ่ยบรรเทาลง ขณะเดียวกันเสือยื่นปลายนิ้วแตะตรงจมูก สังเกตลมหายใจ ก่อนเบาใจลงเมื่อเห็นว่าคนที่นอนแน่นิ่งยังคงมีชีวิตอยู่
“ไอ้ขลุ่ย! เอ๊ย!…ตื่นสิวะ ไม่งั้นกูจะเรียกคนมาทำศพแล้วนะ” ทั้งเสียงตะโกนและจากแรงเขย่าทำให้คนที่สลบไปต้องหรี่ตาขึ้นมามองดู
“...พี่เสือ” ขลุ่ยแม้น้ำเสียงแหบแห้ง แต่ยังคงพยายามเอ่ยปากพูดคุย
“กินยา แล้วพักผ่อนยาว ๆ ไป ส่วนเรื่องของนายหัวมึงไม่ต้องห่วง เขาคงไม่มายุ่งกับมึงอีกสักพักแหละ” เสือเอ่ยเพื่อให้ขลุ่ยสบายใจ จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดอะไรให้ปวดหัว ส่วนวันข้างหน้าเป็นยังไงอย่าเพิ่งคิดเลย เอาวันนี้ให้รอดก่อนดีกว่า
พลบค่ำระหว่างที่อิฐกำลังสะสางและตรวจตราความเรียบร้อยภายในถ้ำ เพราะอีกไม่กี่วันก็ใกล้ถึงฤดูเก็บเกี่ยวและเตรียมส่งออกแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้นับว่าสำคัญยิ่ง เนื่องจากมักมีคู่แข่งหรือพวกคิดไม่ซื่อลักลอบขโมยอยู่บ่อยครั้ง จนต้องออกคำสั่งเพื่อให้มีคนงานคอยคุ้มกันเสมอ เพื่อป้องกันเหตุและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างเข้มงวด
ก๊อก ๆ ๆ
“นายหัวครับ ข้อมูลที่ให้ไปสืบได้มาแล้วครับ” เสียงของทัพดังขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลส่งให้
“อืม มึงออกไปได้แล้ว” อิฐรับซองมาจากลูกน้องโดยไม่สนใจหันมอง
“ครับ นายหัว” ทัพโค้งตัวเล็กน้อย ก่อนเดินออกจากห้องไป
ร่างกำยำเอนกายพิงพนักค่อย ๆ ใช้นิ้วหมุนปลายเชือกให้คลายหลุดออกมา ก่อนดึงเอกสารข้างในขึ้นมาเปิดดูด้วยสีหน้าราบเรียบ ทันใดนั้นแววตาที่เคยนิ่งงันพลันกระตุกวูบราวกับตื่นตะลึง เมื่อเห็นภาพที่แนบมา พร้อมปรากฏรายชื่อและประวัติทั้งหมดยืนยันทุกอย่างชัดเจน
นายขลุ่ยทอง วงศาคำ
เพียงวูบเดียวปลายมุมปากกลับยกยิ้มสูง ความพึงพอใจฉายชัดเป็นประกายในแววตา
“...ที่แท้ก็อยู่แค่เอื้อมนี่เอง” มือใหญ่เคาะลงบนโต๊ะทำงานเป็นจังหวะเนิบช้า คล้ายกำลังครุ่นคิดด้วยสีหน้าแยบยลและเจ้าเล่ห์
ร่างผอมบางขดขาเกร็งอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้แลดูซูบซีดและอ่อนล้า เนื่องจากบาดแผลจากการถูกลงโทษซ้ำ ๆ อย่างสาหัสสากรรจ์ขลุ่ยประสานสองฝ่ามือบีบเอาไว้แน่น ก่อนค่อย ๆ หลับตาลงเพื่อหวังจะบรรเทาความเจ็บปวดตรงนี้ลงไปบ้าง…เสียงกุกกักดังเล็ดลอดจากข้างนอก ทำให้ขลุ่ยจำต้องเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองด้วยความหวาดระแวง ก่อนรีบถอยกายห่างไปข้างหลังอัตโนมัติร่างกำยำคุ้นเคยเดินมาคนเดียว พร้อมกระเป๋าสีดำปริศนาในมือ ก่อนนั่งลงยอง ๆ พลางรวบใบหน้าที่กำลังมองเขาราวกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมา“ไง อยู่ตรงนี้เหงาหรือเปล่า”“...มึงมันเหี้ย” เสียงอ่อนระโหยพูดอย่างเดือดดาล“จุ๊ ๆ จากนี้มึงคือทาสของกูเท่านั้น…”“ตอนเด็กครอบครัวของมึงไม่ได้สั่งสอนเหรอวะ! ว่าอย่าใช้ความรุนแรงกับคนอื่นแบบนี้!” อิฐที่กำลังรูดซิปก้มมองหาอุปกรณ์ในกระเป๋าเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกจี้จุดให้ย้อนนึกถึงอดีตอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง“เรื่องของกู ไม่ต้องมาสะเออะจะดีกว่านะ…”“...สารเลว”“หึ เดี๋ยวมึงก็รู้ว่าความรุนแรงแบบนี้ จะสั่งสอนให้มึงเชื่องได้แค่ไหน ดูจากตอนนี้ก็พอเป็นคำตอบได้แล้วนะ” มีดสั้นถูกหยิบข
…เด็กนั่นบอบบางเป็นบ้าคำจำกัดความที่อิฐมอบให้กับคนที่เพิ่งพบเจอไม่นาน หน้าตาสะสวยขนาดนั้น ผิวก็ขาวราวหยวก แถมตรอกซอยที่อยู่อาศัยก็ไม่ได้ปลอดภัยหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีนัก แต่กลับไม่เคยผ่านใครมาเสียอย่างนั้น หนำซ้ำยังอ่อนปวกเปียกอีกต่างหาก อิฐสูบม้วนบุหรี่เข้าปอดลึก ๆ ก่อนจะปล่อยควันและปาลงบนผืนทรายอย่างไม่คิดใส่ใจ ร่างกำยำสวมเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงลำลองสบาย ๆ ดวงตาสีดำขลับถอดมองไปยังชายหาดที่เขาเป็นเจ้าของ พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต ใบหน้าของเด็กอวบอ้วนคนหนึ่งไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังคงฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำพอ ๆ กับอดีตอันแสนเลวร้ายที่อยากจะลืมมันให้สิ้นซากผ่านไปหลายชั่วโมงพระอาทิตย์ที่เคยทอแสงสว่างเจิดจ้า บัดนี้ได้หม่นลงเพื่อเตรียมเข้าสู่ความมืดมิด ขลุ่ยที่ต้องระหกระเหินมาใช้ชีวิตในบ้านพักที่ตั้งเรียงกันอยู่ แต่ยังคงมีพื้นที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน“นี่ที่นอนของมึง ส่วนห้องน้ำอยู่ตรงนู้น” เสือที่นำทางมาส่งถึงที่พัก พลางชี้นิ้วไปยังข้างหลัง“ขอบคุณครับ” ร่างผอมบางเดินด้วยท่าทีทุลักทุเลเข้ามา ท่าทางเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ“งั้นมึงวางสัมภาระลง เดี๋ยวกูพาไปทานข้าว ไหวหรือเปล่า” “...
ขลุ่ยเดินทางมาด้วยเรือเพื่อข้ามฟากมายังอีกฝั่งของเกาะ ซึ่งอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้แห่งเดียวกัน เพียงแต่ที่ตรงนี้จะถูกตัดขาดการจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เพราะค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากแหล่งชุมชนพอสมควรนั่นก็เท่ากับว่าโทรศัพท์ก็แทบจะไร้ประโยชน์ ก่อนออกมาขลุ่ยก็ไม่ลืมเอาเงินที่ตนเองมีอยู่ทั้งหมดยกให้กับพ่อ และไม่ลืมฝากฝังป้าข้างบ้านในชุมชนเดียวกันช่วยดูแลอีกทาง“เอ๊ย! ถึงแล้ว ส่วนนี่สัญญามึง เซ็นซะ!” ขลุ่ยมองแผ่นกระดาษสีขาวที่มีตัวหนังสือเป็นข้อ ๆ ระบุอยู่ พลางกวาดตาดูรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจรดปลายปากกาเซ็นลงไปใบหน้าเรียวยาวได้รูปมองเรือที่จอดเทียบท่า พร้อมคนงานหน้าตาโหด ๆ ยืนอยู่เรียงราย ความรู้สึกตอนนี้แทบอยากจะกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดที่ไม่มีทางเลือกมากนักระหว่างคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าพอดี หลาย ๆ คนต่างให้ความเคารพ และคาดว่าอาจเป็นนายของที่นี่“กูชื่อเสือ เป็นลูกน้องของนายหัว เดี๋ยวกูจะพามึงไปหานาย ทำตัวให้ดี ๆ ล่ะ”“ครับ” “ส่วนพวกมึงก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ! งานไม่เสร็จไม่ต้องแดกข้าว!” เสือพูดพลางกวาดตามองดูคนงานและลูกน้องบางส
สิบปีต่อมาภายในงานวัดของจังหวัดทางภาคใต้แห่งหนึ่ง เสียงปี่กลองแหลมสูงแทรกด้วยจังหวะเร่งเร้า รัวเป็นจังหวะสลับหนักและเบากันไป ท่วงทำนองดุดันแฝงไปด้วยความขลัง ดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องร่างที่กำลังร่ายรำอยู่กลางเวทีนายมโนราห์ทั้งชายและหญิงกำลังหมุนเวียนสลับกันทำหน้าที่ของตนเองเพื่อซื้อใจคนที่นั่งดูอยู่ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่ต่างเดินผ่านไปมาทางนี้และทันทีที่เสียงดนตรีและเสียงปรบมือจบลง ทั้งนายและนางรำต่างก็เดินลงมาจากเวที พร้อมกับถอนหายใจกันอย่างโล่งอก“เหนื่อยวะ วันนี้อากาศโคตรร้อนเลย มึงไม่ร้อนหรือไงว่ะ” เป้ว่าพลางถอดเสื้อผ้าพร้อมมองออกไปยังเพื่อนอีกคน“ทำมาตั้งนานแล้ว กูชินแล้วล่ะ”“มึงชิน หรือเพราะไม่มีทางเลือกกันแน่วะ…ไอ้ขลุ่ย” คำพูดของเป้จี้ใจดำขลุ่ยเข้าอย่างจัง“ช่างมันเหอะ สักวันคงดีเองนั่นแหละ” เป้ส่ายหน้า เพราะไม่ว่ากี่ครั้งก็มักจะเห็นเพื่อนสนิทพูดแบบนี้เสมอ“งั้นมึงเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปหาของหน่อย ไม่รู้ตั้งไว้ไหน”“มึงลืมอะไร เดี๋ยวกูช่วยหา”“มือถืออ่ะ แต่ไม่เป็นไร มึงรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูหาเอง แป๊บเดียว” เป้ว่าพลางเดินออกไปจากห้องแต่งตัวที่ตอนนี้
ซ่าาาา!!ยามค่ำคืนท่ามกลางเสียงท้องฟ้าคำราม ฝ่ามือของเด็กชายอายุราวสิบห้าปีคนหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายเพื่อหาหนทางรอดจากคนบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าบิดาฟึ่บ! เพี้ยะ!“...แฮ่ก ผมขอโทษ” อิฐพูดขอร้องซ้ำ ๆ เสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดจากการโดนหวดกลางหลังนับครั้งไม่ถ้วน เพียงเพราะเขาทำข้อสอบไม่ได้ดั่งที่พ่อคาดหวัง“แกจะหนีไปไหน ห๊ะ!...ฉันบอกแกหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำฉันขายหน้าเด็ดขาด แต่นี่อะไรผลสอบแทบจะรั้งท้ายอยู่แล้ว!”อิฐนอนขดตัวอยู่บนพื้น มองผู้บังเกิดเกล้าด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า เขาไม่เข้าใจเลยว่าการทำข้อสอบไม่ได้ตามที่หวังจำเป็นต้องลงโทษกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ!!!“ครั้งหน้าผม…” ร่างที่ยังไม่สูงใหญ่เต็มวัยกำลังเตรียมอ้าปากพูดต่อ แต่กลับได้ยินเสียงมาจากขั้นบันได มองเห็นผู้เป็นแม่รีบสาวฝีเท้าลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับโอบกอดลูกชายไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดหวั่น“คุณทำบ้าอะไร! นี่ลูกของคุณนะ!” เสียงของคุณหญิงวรารัตน์แหลมสูงคล้ายตะคอกขึ้นเล็กน้อยจากความเหลืออด แววตาฉายชัดด้วยทั้งจากความผิดหวังและเจ็บปวดขณะจ้องหน้าผู้เป็นสามีอย่างที่เธอเลือกมาเป็นคู่ชีวิตปึก!“เอานี่ดูซะ! ว่าลูกของเ