Masukภายในบ้านไม้สภาพเก่าโทรมหลังหนึ่ง ละอองผู้เป็นลูกสะใภ้ที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านในยามบ่ายวันนี้ ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เมื่อไม่พบว่ามีใครอยู่บ้านจึงย่องเบาขึ้นไปบนบ้านเพื่อค้นหาเงินในห้องของสามี แล้วรีบรื้อค้นข้าวของและผ้าห่มหมอนมุ้งในห้อง
ดวงตากลมเบิกโตขึ้นเมื่อพบเงินอยู่ใต้ที่นอนของสามี “นี่แอบมีเงินตั้งหนึ่งพันบาทเชียวหรือ” มุมปากฉีกยิ้มดวงตาทอประกายแวววาว “ดีละ จะได้มีเงินไปต่อทุน”
ว่าแล้วจึงจัดที่นอนสามีไว้ดังเดิมจากนั้นสาวเท้าออกจากห้องนอนโดยเร็ว
“เธอมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงดุดันอันคุ้นเคยเอ่ยถาม
ละอองสะดุ้งโหยงเหลือบมองคนที่ยืนถามเธออยู่ด้านล่าง ในใจพลันร้องว่าแย่แล้ว เท้าที่กำลังจะก้าวลงบันไดพลันเหยียบพลาดเพราะความกลัวระคนตกใจ “ว้าย!” เสียงกรีดร้องพร้อมกลับหงายท้องตีลังกาลงจากบันได ร่างหล่นลงสู่พื้นดินศีรษะตกกระแทกกับหินก้อนใหญ่ที่วางเรียงรายอยู่รอบต้นเล็บครุฑตรงทางขึ้นบันได
“ออง” แก่นคูณเรียกภรรยาด้วยความตกใจพร้อมทิ้งของป่าที่ตนหามาได้ไว้ที่พื้นแล้วรีบถลาเข้าหาร่างที่นอนคอพับอยู่ที่พื้น ศีรษะด้านหลังที่กระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างจังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด เขาตกใจไม่น้อย
แก่นคูณช้อนร่างภรรยาขึ้นแล้วรีบอุ้มไปวางที่แคร่ไม้ไผ่ข้างเรือน
น้อยผู้เป็นแม่ที่พาหลานไปเล่นกับเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลมาก ได้ยินเสียงลูกชายจึงรีบพาหลานทั้งสองกลับมาที่บ้าน “เกิดอะไรขึ้นเหรอคูณ” น้อยเดินกะเผลก ๆ เข้ามาหา
“อองตกบันไดครับ”
“มันกลับมาตั้งแต่เมื่อไร” น้อยเห็นเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากศีรษะละอองก็ตกใจเช่นกัน
“ไม่รู้เหมือนกันครับ น่าจะกลับมาวันนี้” เขาว่า “แม่เฝ้าอองให้ผมหน่อย ผมจะไปตามหมอเผื่อน” แก่นคูณรีบหาผ้าขาวมาปิดแผลเอาไว้
“พ่อครับแม่จะตายไหมครับ” ภาคภูมิลูกชายวัยสี่ขวบเอ่ยถาม
“ไม่ตายหรอก” คูณบอกลูกเสียงขรึม
“ตายได้สิดี” น้อยว่าติดประชด อดโมโหให้ลูกสะใภ้ไม่ได้ หนีจากบ้านสามีไปเป็นปีพอกลับมาวันเดียวก็มีเรื่องเสียแล้ว
“ย่า แม่จะตายเหรอคะ” พอใจลูกสาววัยสามขวบถามย่า ใบหน้าเหยเก ถึงจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับแม่มาก แต่ก็ยังรู้ว่าเป็นแม่
“แม่” แก่นคูณลากเสียงคล้ายตำหนิทำสายตาดุใส่แม่
น้อยจึงถอนหายใจแล้วพูดออก “เออ ไม่พูดก็ได้” ว่าแล้วจึงหันมาพูดปลอบหลานสาว “แม่เอ็งมันไม่ตายง่าย ๆ หรอก แค่หัวแตกเท่านั้น เดี๋ยวหมอเผื่อนมาแม่เอ็งก็ฟื้นแล้ว”
ได้ยินแม่พูดดังนั้นแก่นคูณจึงรีบวิ่งไปที่บ้านหมอเผื่อนทันที หมอเผื่อนเป็นหมอที่เคยอยู่ในป่ากับพวกคอมมิวนิสต์ ตอนนี้ได้ลาออกจากพรรคคอมมิวนิสต์แล้วและได้ออกมาเป็นหมอในหมู่บ้านผักหนามแห่งนี้
ขณะที่น้อยกับหลานกำลังนั่งเฝ้าร่างของละอองอยู่ไม่ห่าง ชั่วขณะหนึ่งร่างของเธอก็ผวาเฮือกขึ้นมาคราหนึ่ง พร้อมกับลืมตาขึ้น
“ว้าย!” น้อยตกใจรีบลุกขึ้นจากแคร่ คว้าหลานทั้งสองเข้ามากอดไว้
แต่เพียงครู่เดียวดวงตาคู่นั้นก็ปิดลงอีกครั้ง ร่างของเธอค่อย ๆ สงบลง และไม่ได้เคลื่อนไหวอีก มีเพียงผ้าขาวใต้ศีรษะที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด
แก่นคูณไปไม่ถึงสิบห้านาทีก็วิ่งกลับมาพร้อมกับหมอเผื่อน หมอเผื่อนรีบตรวจอาการของละอองทันที เขารีบทำแผลพร้อมทั้งฉีดยาลดปวดให้หนึ่งเข็ม อีกทั้งยังจ่ายยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบให้อีกสองชุด
“มันปลอดภัยแล้ว ไม่เกินพรุ่งนี้มันก็ฟื้น” ถึงชีพจรจะเต้นแผ่ว แต่หมอเผื่อนเคยเจอพวกทหารคอมมิวนิสต์ที่อาการหนักมากกว่านี้ แต่ก็รอดมาได้ทุกคน
“ค่ารักษาเท่าไรเหรอหมอ”
“สองร้อยบาท ยาที่ฉันฉีดให้เมียเอ็งเป็นยาดี มันจึงค่อนข้างราคาแพง” เผื่อนกล่าว
น้อยเค้นเสียงหึในลำคอก่อนกล่าวออก “มาวันแรกก็ผลานเงินสะแล้ว”
“นี่อองเพิ่งกลับมาเหรอ” เผื่อนถาม
“ก็เออน่ะสิ หนีจากลูกจากผัวไปเป็นปีเพิ่งกลับมาเอาวันนี้ พอกลับมาก็ก่อเรื่องอีก เฮ้อ! มันเวรกรรมอะไรของไอ้คูณมันนะ”
คูณเหลือบมองหน้าลูกทั้งสองที่ดูคล้ายจะร้องไห้ที่เห็นย่าว่าให้แม่ตนจึงพูดขึ้นว่า “พอได้แล้วแม่” เขาหันไปพูดกับหมอเผื่อน “หมอรอก่อนนะ ฉันจะขึ้นไปหยิบเงินมาให้”
“อืม!”
แก่นคูณรีบสาวเท้าขึ้นบันไดเพื่อไปหยิบเงินให้หมอเผื่อน แต่เมื่อเปิดที่นอนขึ้นกลับพบแต่ความว่างเปล่า ดวงตาเขากระตุกรุนแรง พร้อมกับขบกรามแน่น ก่อนหมุนตัวออกไปจากห้องนอน
ลงมาแล้วจึงพูดกับแม่ “แม่มีเงินไหม ฉันขอยืมก่อนได้ไหม”
“ทำไมเหรอ”
“ฉันหาเงินไม่เจอ”
น้อยจ้องหน้าลูกชายด้วยสายตาจับผิด แต่ก็ยอมหยิบเงินให้ลูกชาย “ทั้งเนื้อทั้งตัวแม่มีแค่สามร้อย” น้อยพูดเสียงเศร้าที่ต้องควักเงินจ่ายค่ายาให้ลูกสะใภ้เนรคุณคนนี้
แก่นคูณรับเงินมาแล้วส่งให้หมอเผื่อน “ขอบคุณมากครับหมอ”
“เออ คืนนี้มันอาจจะมีไข้ เอ็งก็เอายาที่ฉันให้ไว้ให้มันกิน”
“ครับ”
หมอเผื่อนกลับไปแล้ว แก่นคูณจึงหันไปจัดการกับของป่าที่ตนหามาได้ ลูกทั้งสองนั่งเฝ้าแม่อยู่ไม่ห่าง น้อยจึงเดินมาหาลูกชาย พลางกล่าวออก “เอ็งจะเอายังไงกับมัน”
“ให้อองฟื้นขึ้นมาก่อนครับ”
“ครั้งนี้เอ็งต้องเด็ดขาดแล้วนะคูณ เอ็งจะใจอ่อนเหมือนกับครั้งที่ผ่านมาไม่ได้แล้วนะ เมื่อไรเอ็งจะเลิกเป็นควายสักที” น้อยพูดด้วยความโมโห รวมครั้งนี้ก็ครั้งที่สี่แล้วที่ละอองหนีจากลูกชายของเธอไป แต่ทุกครั้งก็ไปไม่รอด และก็ต้องกลับมาตายรัง แต่เธอจะไม่ยอมให้มีครั้งต่อไปอีกเป็นอันขาด ในฐานะแม่จะไม่ให้เธอรู้สึกสงสารลูกกับหลานได้หรือ
แก่นคูณทำเพียงเก็บงำคำพูดเอาไว้ เก็บของป่าเสร็จจึงเดินขึ้นบ้านไป ผู้เป็นแม่ได้แต่ถอนหายใจตามหลัง เมื่อไรลูกชายของเธอจะตาสว่างสักที
“อาบน้ำก่อนดีไหม” เนื้อตัวลูกชายค่อนข้างมอมแมมกว่าทุกวัน เสื้อและกางเกงยังเปื้อนดินโคลนดูท่าถนนหนทางน่าจะลื่นจริง ๆ น้อยจึงรู้สึกเป็นห่วง เกรงว่าเขาจะเหนียวเหนอะหนะตามตัวแล้วกินข้าวไม่อร่อย“ไม่เป็นไรครับแม่” เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกกับแม่รอกินข้าวนาน จึงพูดออกไปเช่นนั้น“งั้นล้างมือล้างเท้าก่อน”“ครับ”ละอองลุกไปยกถาดอาหารมาอย่างรู้หน้าที่ ภาคภูมิกับพอใจเดินไปช่วยแม่หิ้วกระติบข้าวเหนียว ทุกคนนั่งล้อมวงกันบนเสื่อกก และเริ่มลงมือกินอาหาร“แม่ตำน้ำพริกปลาอะไรเหรอครับ อร่อยดี” แก่นคูณถามแม่ วันนี้ฝีมือการทำอาหารของแม่อร่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“แม่ไม่ได้ทำ”“เหรอครับ” แก่นคูณอึ้งไปครู่หนึ่ง งั้นก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากละออง ปกติเธอไม่กินปลาเขาจึงไม่รู้ว่าเธอจะทำน้ำพริกอร่อย“วันนี้แม่ไม่ได้เข้าครัว” เป็นครั้งแรกที่ลูกสะใภ้ทำเองหมดทุกอย่างเหมือนกันคราแรกน้อยคิดว่าลูกชายแสร้งพูดเธอจึงลองกินดู แต่มันกลับอร่อยอย่างที่เขาว่าจริง ๆ เธอจึงนั่งกินข้าวอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไร จากไปเป็นปี เพิ่งรู้ว่าลูกสะใภ้ไปฝึกทำอาหารมาด้วย ก็ดียังรู้จักปรับตัวละอองก็กินทุกอย่างที่ตนเองทำเช่นกัน รวมถึงป้อนข้าวลูกกั
ละอองเดินไปยังลำธารที่มีน้ำใสไหลลงมาจากภูเขา ชาวบ้านเรียกภูเขาลูกนี้ว่าภูโน ซึ่งเป็นภูเขาที่สามีของเธอเข้าไปหาของป่าตอนนี้เธอใช้ถังตักน้ำเพื่อไปนั่งซักผ้าในร่ม ซักเสร็จล้างให้สะอาดแล้วจึงถือตะกร้าผ้ากลับไปตากที่บ้าน หลังจากตากผ้าเสร็จจึงไปตักน้ำในลำธารมาใส่โอ่งไว้สำหรับอาบและล้างสิ่งของ ไม่ลืมที่จะนำมีดมาด้วย ละอองเห็นบอนขึ้นอยู่ข้างริมธารเธอรู้ว่ามันเป็นบอนหวานจึงตัดกลับไปด้วย เสร็จจากตักน้ำใช้ก็ไปตักน้ำดื่มข้าง ๆ บ้านยายเมี้ยน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดกันไป และบ่อน้ำดื่มแห่งนี้คนในหมู่บ้านก็ใช้ร่วมกัน ทั้งหมู่บ้านจะมีบ่อน้ำดื่มอยู่สามบ่อ และบ่อนี้ก็อยู่ใกล้บ้านเธอตักน้ำดื่มเสร็จละอองจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว น่าจะใกล้ห้าโมงเย็นแล้วกระมัง ตอนทำความสะอาดครัวเธอเห็นฟืนอยู่บนบ้านไม่กี่ดุ้นเท่านั้น พอมองเข้าไปใต้ถุนบ้านก็ไม่มีฟืนเหลืออยู่แล้ว ละอองจึงตัดสินใจผ่าฟืนก่อนจะไปนึ่งข้าวมือเรียวยาวลากฟืนท่อนยาวท่อนหนึ่งที่สามีแบกลงมาจากภูเขา จากนั้นจึงใช้มีดอีโต้หั่นครึ่งให้สั้นลงอีก ก่อนจะนั่งลงบั่นฟืนท่อนใหญ่ให้ได้อีกท่อนละสามดุ้น ขณะที่บั่นฟืนอยู่นั้นล
แก่นคูณเดินออกจากห้องนอนด้วยความรู้สึกสับสนเล็กน้อย วันนี้เขาได้พูดทุกอย่างที่เขาอยากพูดออกไปทั้งหมดแล้ว แต่เหตุใดเขาถึงไม่รู้สึกโล่งใจเลยสักนิด ละอองเองก็ดูแปลกไปอย่างน่าประหลาด ปกติถ้าทั้งสองมีปากเสียงกัน เขาผู้เป็นสามีไม่เคยได้อ้าปาก เพราะละอองจะถลึงตาเถียงฉอด ๆ จนคอเป็นเอ็น ไม่มีทางที่เขาจะได้พูดเกินสามคำ และทุกครั้งเธอต้องทำลายข้าวของในบ้านจนพังย่อยยับไปข้างหนึ่ง แต่ครั้งนี้ละอองกลับรับฟังอย่างสงบ ไม่มีตอนไหนที่เธอขึ้นเสียงกับเขาเลยคนนี้ใช่ละอองจริง ๆ หรือแก่นคูณเดินไปไกลแล้ว แต่ก็ยังหยุดคิดเรื่องพฤติกรรมอันสงบเสงี่ยมของภรรยาไม่ได้ หลังจากสามีขึ้นเขาไปแล้ว ละอองมองสำรวจไปทั่วห้อง ข้าวของวางระเกะระกะตามประสาคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำงานทุกอย่างเพื่อครอบครัว คงไม่มีเวลาเก็บกวาดห้องเท่าไรนัก ละอองส่ายศีรษะน้อย ๆ เอาเถอะ! ขอนอนพักเอาแรงสักงีบก่อน แล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงาน เพราะตอนนี้รู้สึกปวดหัวเหลือเกิน ใครจะคาดคิดว่าจะได้เกิดใหม่เร็วปานนี้ มิหนำซ้ำยังต้องมารับกรรมที่ตนไม่ได้ก่อ แต่คิดในแง่ดีเข้าไว้ อย่างไรร่างนี้ก็ไม่เจ็บป่วยเหมือนในชาติก่อน เธอยังกินข้าวอร
แก่นคูณรับเงินมาแล้วจึงตัดสินใจพูดคำที่คิดว่าไตร่ตรองมาดีแล้วออกไป “วันจันทร์เราจะไปหย่ากัน” วันนี้วันศุกร์ อีกทั้งละอองยังบาดเจ็บ ให้เธอได้พักผ่อนสองวันจากนั้นค่อยไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยละอองทำปากเอ่ออ่าจะพูดอยู่หลายคราเพราะไม่รู้จะพูดคำใดออกไป ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากสามี สามีแค่วันเดียวอีกต่างหาก ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดคำนี้เลยนี่นา แล้วทำไมความซวยถึงได้มาตกอยู่ที่เธอเล่า“ฉัน…” คิดจะพูดต่อแต่เขาก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน“ฉันทนเธอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเห็นฉันเป็นตัวอะไร อยากมาก็มา อยากไปตอนไหนก็ไป เธอไม่สงสารลูกบ้างเหรอ” แก่นคูณยังพูดเสียงราบเรียบและควบคุมโทนเสียงให้สงบเพราะเกรงว่าลูกกับแม่จะได้ยิน “อีกอย่างเธอเคยเห็นหัวแม่ฉันบ้างไหม เธอเห็นแม่เป็นอะไร ไปไม่เคยลามาไม่เคยไหว้ ฉันเป็นลูกแท้ ๆ ฉันยังไม่กล้าทำเหมือนเธอเลย” ไม่เห็นหัวเขาเขาไม่ว่า แต่นี่ทุกครั้งที่ลูกสะใภ้หนีไปและกลับมาบ้าน แม่ของเขาไม่เคยบ่นเคยว่าลูกสะใภ้สักคำ มีครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่สี่แล้วที่เธอทำเช่นนี้ และเป็นครั้งที่เธอจากไปนานที่สุด แม่ของเขาก็เลยทนไม่ได้จึงได้ว่ากล่าวลูกสะใภ้ออกไปทุกครั้งที่ละอองหนีไป เข
ละอองใช้มือเปิบข้าวเหนียว แล้วจิ้มลาบกระต่ายเข้าปาก หยิบผักกาดนกเขาลวกม้วนแล้วส่งเข้าปากตาม คำที่สองก็กินอีก ครั้งนี้เด็ดยอดผักแว่นอวบสดม้วนให้เรียบร้อยแล้วส่งเข้าปากเช่นกัน โอย! ไม่เคยกินลาบกระต่ายป่าที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย จากนั้นสายตามองไปยังกบทอดเกลือตัวใหญ่ กบภูเขาเธอก็ไม่เคยกินเหมือนกัน เคยกินแต่กบตามทุ่งนาและตามร้านขายอาหารป่าเท่านั้น วันนี้กบภูเขาทอดสีเหลืองน่ากินจริง ๆ ละอองหยิบต้นขาของกบขึ้นมาฉีกเนื้อแปะลงบนคำข้าวเหนียวของตน แล้วจิ้มน้ำจิ้มแจ่วในถ้วยเล็ก สองมือประคองคำข้าวเข้าปากอย่างทะนุถนอมแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ความนัวของปลาร้าในน้ำจิ้มบวกกับความเผ็ดนิดเปรี้ยวหน่อยของน้ำมะขามเปียก ทำให้ละอองกินกบทอดอย่างเอร็ดอร่อย สีหน้าของเธอดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง อาหารแบบนี้คิดถึงโลกเดิมที่จากมาสุด ๆแก่นคูณกับน้อยนั่งมองละอองตาค้าง ก่อนหน้าละอองไม่เคยกินอาหารพวกนี้มาก่อน ถ้าทำอาหารอย่างหนึ่งเธอจะกินอีกอย่าง มีปลาจะกินไข่ ไม่กินผักตามท้องไร่ท้องนา ไม่กินกบเขียด ไม่กินปลาสดนอกจากปลาตากแห้งและต้องเป็นปลาขาวอย่างเดียว และไม่กินของป่าทุกชนิดนอกจากเห็ดป่าเท่านั้น อีกอย่างเธอไม่กินปล
คืนนั้นหลังจากแก่นคูณป้อนยาภรรยาเสร็จจึงอุ้มเธอขึ้นไปนอนในห้องด้วยกัน เพราะบ้านหลังนี้มีเพียงสองห้องนอน คือห้องของเขากับห้องของแม่เท่านั้น ซึ่งลูกทั้งสองจะนอนกับแม่อยู่แล้ว เขาให้ภรรยานอนด้านใน ส่วนเขานอนด้านนอก แก่นคูณนั่งมองภรรยาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนดับตะเกียงเจ้าพายุ แล้วล้มศีรษะลงนอน กายขยับออกห่างจากภรรยามากกว่าที่เคยเป็น วันต่อมาแก่นคูณตื่นแต่เช้าเพื่อมานึ่งข้าวแทนผู้เป็นแม่ เกือบปีมาแล้วที่แม่มีอาการปวดเข่าปวดขา ต้องคอยซื้อยามากินอยู่เสมอ เหตุผลที่แม่ยังไม่หายขาดก็เพราะเขาไม่มีเงินซื้อยามาให้แม่กินอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม่เดินเหินไม่ค่อยสะดวก และเดินไปไหนไกล ๆ ไม่ค่อยได้ แต่แค่เลี้ยงหลานอยู่บ้านสองคนแม่ก็เหนื่อยมากแล้ว ตะวันเริ่มสาดแสงออกมาจากปลายเขาลูกใหญ่ ภาคภูมิกับพอใจจึงเดินออกไปหาพ่อที่อยู่ในครัว ซึ่งเป็นพื้นที่ค่อนข้างโล่งติดกับลานอเนกประสงค์ที่ใช้สำหรับนั่งเล่น กินข้าว และรับแขกไปในตัว ด้านหน้าเป็นชานบ้านและมีบันไดสำหรับขึ้นลง “พ่อครับ แม่ฟื้นหรือยังครับ” ภาคภูมิถามพ่อ “ยัง” “ผมไปหาแม่นะครับ”







