ซ่งอวี่ถงพานางเดินลัดเลาะมายังท้ายหมู่บ้านและเดินต่อไปเพียงไม่ถึงหกลี้[1] ก็มาถึงตีนเขาแล้ว แม้ระยะทางจะดูไม่ได้ไกลเกินไปแต่รูปร่างที่อวบอ้วนของนางนั้นกลับทำให้นางรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าคนปกติถึงสามเท่า
เมื่อมองขึ้นไปบนหุบเขาบรรยากาศตรงหน้าช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมากแต่เมื่อหันไปมองใบหน้าของซ่งอวี่ถงกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น หรือว่าเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้วนะถึงไม่ได้ดูหวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย
“ท่านพี่ พวกเราต้องเดินเข้าไปอีกไกลหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่หรอกอีกไม่ถึงหนึ่งลี้[2] ก็ถึงแล้วล่ะเมื่อวานข้าทำลอบดักสัตว์เอาไว้ มาครั้งนี้ก็เพียงแค่เข้าไปตรวจดูเผื่อโชคดีอาจจะได้หมูป่าหรือกระต่ายป่ามาสักตัว”
“งั้นหรือ”
มู่อิงเถาไม่ได้คิดเช่นนั้นนางอยากได้สมุนไพรบางอย่างเพราะเมื่อวานที่คลองท้ายหมู่บ้าน นางได้ยินสะใภ้หยวนที่อยู่บ้านถัดไปจากนางสามหลังบอกว่าบนหุบเขานั้นนอกจากจะมีสัตว์ป่าแล้วยังมีสมุนไพรล้ำค่าอีกนับไม่ถ้วน
ด้วยนิสัยที่ชื่นชอบสมุนไพรมาก่อนเช่นนี้นางย่อมอยากได้มาไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน
ซ่งอวี่ถงไม่ได้สนใจนางอีกเขาเดินขึ้นไปบนหุบเขาอย่างคล่องแคล่ว จนขาสั้นๆ ของมู่อิงเถาเดินตามแทบไม่ทัน
‘นี่ลิงฮุย’
‘.....’
‘เจ้าบ้าลิงฮุย!’
‘ข้าได้ยินนะ หากเจ้ายังเรียกชื่อข้าผิดไปอีกครั้งเดียวล่ะก็ข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกต่อไปเลย’
‘ก็ได้ๆ ท่านหลิงฮุยเจ้าคะข้าอยากรู้ว่าบนหุบเขาแห่งนี้มีสมุนไพรอย่างที่คนเขาว่าหรือไม่’
‘ไม่มี’
“จริงหรือ!”
“อะไรหรือ”
ซ่งอวี่ถงหันหลังมาถามนางด้วยใบหน้ามึนงง เขาคิดว่าตั้งแต่เดินขึ้นหุบเขามานี้ก็ยังไม่ได้พูดสิ่งใดกับนางออกไปเลยแม้เพียงคำเดียว
‘แล้วนางกำลังพูดกับใคร’
“อะ เอ่อ คือว่าข้าพูดคนเดียวน่ะเจ้าค่ะไม่มีอะไรหรอก”
“งั้นหรือ”
“อืม”
‘นางสะใภ้หยวนผู้นั้นกล้าหลอกข้าได้อย่างไรกันนะหรือนางชอบแต่งเรื่องหลอกชาวบ้านหรืออย่างไร ที่บอกว่าสามีขึ้นเขามาล่าสัตว์ได้หลายตัวคงเป็นเรื่องโกหกด้วยสินะ’
“ใกล้ถึงหรือยังเจ้าคะ”
“ใกล้ถึงแล้วล่ะข้างหน้าเป็นลำธารที่เชื่อมต่อลงไปยังคลองท้ายหมู่บ้านของเราพวกสัตว์ป่าน้อยใหญ่มักจะเข้ามากินน้ำที่ลำธารข้าถึงได้วางกับดักเอาไว้ตรงนั้น ข้าจะลองไปตกปลาเสียหน่อยเจ้ารออยู่ตรงนี้นะไม่ต้องลงไปกับข้า”
“ไม่เอา ข้าขอลงไปด้วย”
“ไม่ได้ที่ตรงนั้นมีเปลือกหอยมากมายหากเจ้าเดินไปเช่นนี้ได้เหยียบมันเข้าอย่างแน่นอน”
“แต่ข้าใส่รองเท้าอยู่นะ”
“รองเท้าบางเพียงนี้ไม่มีทางรอดแน่ เจ้ารออยู่ที่นี่ดีแล้ว”
“ข้าโตแล้วนะแล้วข้าเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำไร่ทำนามาก่อนท่านกลัวอะไร”
มู่อิงเถาดูเหมือนจะเข้าใจในความคิดเขา นางจึงเอ่ยออกมาเพื่อให้เขาวางใจลง
“ข้าจะนั่งดูอย่างเดียวไม่ลงไปในน้ำด้วยอย่างแน่นอนข้าสัญญา”
“เฮ้อ…ก็ได้”
สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะดื้อรั้นไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วหากคัดค้านนางไปก็คงไร้ประโยชน์เป็นแน่
ซ่งอวี่ถงกล่าวตอบนางก่อนจะเดินลงไปในน้ำใช้ลอบดักปลาที่เขาทำขึ้นเพื่อจับปลาที่กำลังแหวกว่ายไปมาอย่างละลานตา
“น่าแปลกไม่มีใครมาจับไปเลยหรืออย่างไรนะ”
“ด้านในหุบเขาบริเวณนี้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาหรอก”
“ทำไมล่ะ”
“นานมาแล้วเคยมีคนพบเสือเข้าน่ะพวกเขาถูกฆ่าตายไปสามศพจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาลึกถึงเพียงนี้”
“แล้วเหตุใดท่านถึงพาข้าเข้ามาล่ะ”
ซ่งอวี่ถงไม่ตอบเขาเพียงแค่ชายตามองมาที่นางเท่านั้นก่อนจะก้มลงเก็บปลาที่เข้ามาติดในลอบดักปลาขึ้นมาใส่ในถังใส่ปลาเอาไว้
‘สายตาแบบนั้นคืออะไร? คงไม่ใช่ว่าอยากให้นางพบเจ้าเสือตัวนั้นหรอกนะ’
“ไปกันเถอะ”
“ไปไหน”
“ไปดูลอบดักสัตว์”
ซ่งอวี่ถงเดินอ้อมไปยังลอบดักสัตว์ที่เขาวางเอาไว้ไม่ไกลจากลำธารนี้มากนัก มู่อิงเถาจำใจต้องเดินตามหลังเขาไปเมื่อไปถึงบริเวณนั้นก็เห็นสัตว์ป่าตัวใหญ่อวบอ้วนที่ขาติดกับดักของซ่งอวี่ถงอยู่ มันน่าจะนอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจไปแล้ว
‘หมูป่าตัวใหญ่กว่าครึ่งตัวของนาง ลอบดักสัตว์สองชิ้นที่วางไว้ไม่ไกลจากกันดักมันได้ถึงสองตัว!’
‘แค่ตัวเดียวก็ว่าหายากแล้วแต่นี่ได้ถึงสองตัวช่างโชคดีอะไรเช่นนี้นะ’
ตัวที่ใหญ่ยักษ์ของพวกมันพาลทำให้บุรุษตรงหน้านางวิตกกังวลไม่น้อย
‘จะเอากลับไปอย่างไรดีนะตัวของมันน่าจะหนักราวๆ หนึ่งร้อยกิโลได้ แล้วมีถึงสองตัวก็แสดงว่าเขาต้องแบกน้ำหนักร่วมสองร้อยกิโลไว้บนหลัง เป็นเช่นนี้มีหวังหลังของเขาคงรับน้ำหนักไม่ไหวเป็นแน่’
“ฮึบ!”
“หืม”
“อะ อิงเอ๋อ!”
“มองข้าทำไม? ท่านแบกอีกตัวนะเจ้าคะหมูป่าตัวนั้นดูเหมือนจะเล็กกว่าตัวนี้เล็กน้อยท่านคงไหวอยู่แล้ว”
“เจ้าอย่าแบกเลยส่งมาให้ข้าเถอะมันหนักนะ”
“ข้าแข็งแรงออกปานนี้หมูตัวแค่นี้สบายมากอยู่แล้ว อีกอย่างท่านต้องถือถังใส่ปลาด้วยนะจะให้ข้ามองดูท่านแบกทั้งหมดนี้กลับบ้านเพียงลำพังได้อย่างไร”
“แต่ว่ามันหนัก…”
“กลับบ้านกันได้แล้วเจ้าค่ะ”
มู่อิงเถามองค้อนเขาก่อนจะเดินนำหน้าไปอย่างสบายใจ
‘จะหนักอะไรเพราะตั้งแต่นางแอบกินผลไม้ในมิติวิเศษก็รู้สึกว่าร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หมูป่าร้อยกว่าโลแค่นี้นางแบกได้สบายอยู่แล้ว’
“ทำไมไม่เดินเล่า ท่านไม่กลับบ้านแล้วหรือ”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีในนามไม่ออกเดินเสียทีมู่อิงเถาก็หันไปเอ่ยปากเรียกเขา
“กะ กลับสิ”
“ได้หมูป่าตั้งสองตัวหากเอาไปขายคงได้เงินไม่น้อยเลย อีกอย่างขาหมูตัวนี้ข้าจองไว้ก่อนเลยนะเจ้าคะ”
มู่อิงเถาคิดแล้วน้ำลายก็แทบไหลออกมาทันที คากิที่กินบ่อยๆ ในยุคที่จากมาวันนี้คงได้สมปรารถนาแล้ว
นางออกเดินไปยังตีนเขาอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางความงุนงงของซ่งอวี่ถง
‘หมูป่าก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ เลย เขาที่เป็นบุรุษร่างกายย่อมแข็งแรงกว่านางยังแบกขึ้นแล้วเดินได้ช้ากว่าปกติ แล้วนางเล่าแบกได้อย่างไรกันนะทั้งยังเดินอย่างสบายๆ เช่นนั้น ช่างแข็งแรงเสียจริง’
- - - - - - - - - -
[1] 6 ลี้ = 3 กิโลเมตร
[2] 1 ลี้ = 0.5 กิโลเมตร(500เมตร)
เพราะที่ผ่านเซี่ยอิงอิงต้องไปเรียนปักผ้าตามที่มารดาเลี้ยงของนางต้องการจึงไม่มีเวลามาพบปะสนทนากับมู่อิงเถานั่นเอง วันนี้ทั้งวันนางจึงมาอยู่เฝ้าพูดคุยกับมู่อิงเถาจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อถึงเวลากลับบ้านดูสาวน้อยผู้นั้นจะอาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อยมู่อิงเถาออกมาส่งนางที่หน้าประตูจวนทั้งยังโบกมือลาให้เด็กสาวเมื่อรถม้าของนางพ้นจากระยะสายตาแล้วก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า“นั่นแม่นางเซี่ยนี่นา นางมาทำไมหรือขอรับอาสะใภ้”“หืม หงเอ๋อเจ้าเองหรอกหรือหายไปไหนมาข้าไม่เจอเจ้าเลยตั้งแต่ที่เข้าเมืองหลวง”“ข้าไปฝึกเรียนวรยุทธ์มาน่ะขอรับอาสะใภ้ ไม่ใช่สิพระชายา”“เรียกข้าว่าอาสะใภ้แบบเดิมน่ะดีแล้ว”“ไม่ได้หรอกขอรับตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาแล้วจะให้เรียกแบบเดิมได้อย่างไรกัน”“ตามใจเจ้าเถอะ แล้ววันนี้ไม่มีเรียนงั้นหรือ”“ท่านอาจารย์ให้ข้าหยุดได้สิบวันขอรับ ข้าจึงรีบเดินทางมาหาพวกท่าน”“ดีเลยเช่นนั้นช่วงเวลาสิบวันนี้ก็ทำตัวให้ว่างล่ะพวกเราจะไปเที่ยวกัน”“เที่ยว?”“อืม”“ไปไหนขอรับ”หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่-บ้านตระกูลซ่ง-“ท่านแม่ท่านรู้มานานแล้วเช่นนั้นหรือ ที่ท่านไม่อยากให้ข้าไป
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพระชายารัชทายาทและองค์ชายน้อยมาถึงในวังหลวงก็ดูจะครึกครื้นกันยิ่งนักบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานกันเรื่อยๆขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเยี่ยอ๋องอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันกำลังซุบซิบนินทานางอยู่แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าวสตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ‘ซูม่านอวี้’ ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วยดูเหมือนว่า….”เยี่ยอ๋องที่หยุดเดินกะทันหันก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เยี่ยอ๋องไม่ตอบนาง เขาหันหลังกลับไปจ้องมองขุนนางกลุ่มนั้นก่อนจะชำเลืองมองไปด้วยแววตาที่น่ากลัวยิ่งนักทำเอาใจของคนที่พบเห็นใจสั่นไหวไม่น้อย“ใต้เท้าผู้นี้พูดถึงชายาของข้าอยู่กระนั้นหรือ”“อะ เอ่อกระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะท
มู่อิงเถาไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวเล่นต่อแล้วนางเลือกที่จะกลับจวนก่อนจะเดินหนีเขาเพื่อกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว“เจ้าเดินช้าๆ หน่อยสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาไม่หยุดฟังเขาพูด นางเดินต่อไปด้วยย่างก้าวที่เร็วขึ้นเหมือนไม่ต้องการที่จะเดินอยู่เคียงข้างเขาอย่างไรอย่างนั้น จนซ่งอวี่ถงต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปประชิดจนถึงตัวของนางก่อนจะคว้าแขนเล็กนั้นเอาไว้มั่น“อิงเอ๋อข้าบอกว่าอย่าเดินเร็วอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ท่านสนใจด้วยหรือ”“เป็นอะไร”มู่อิงเถาหลับตาลงก่อนจะพยายามสงบจิตใจที่ว้าวุ่นของนาง‘ใช่นางเป็นอะไรไป พักนี้ก็ยังไม่เข้าใจตนเองเท่าใดนักก็แค่สตรีคนนั้นคนเดียวนางจะคิดอะไรมากกัน’“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“พูดตรงนี้ก็ได้”ซ่งอวี่ถงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางมืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะจับไปมือของนาง มู่อิงเถาคิดอยากจะสะบัดออกแต่ซ่งอวี่ถงกับจับมือของนางเอาไว้แน่น“อยู่นิ่งๆ สิ”“ท่านจะทำอะไร”ซ่งอวี่ถงไม่ตอบเขาชำเลืองมองนางเล็กน้อยก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นมาสวมที่นิ้วมือของนาง‘นี่มันแหวนที่ข้าไปจำน
-ท้องพระโรง-มู่อิงหลันเคยเป็นหนึ่งในกุ้ยเหรินของฮ่องเต้มู่หรงฉีนางเคยร่วมมือกับเสียนเฟยมารดาขององค์ชายใหญ่ลอบทำร้ายอดีตฮองเฮา แต่ถูกเสียนเฟยโยนความผิดให้นางทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกจากวังหลวงนางจึงได้คิดการก่อเรื่องราวใหญ่โตจนนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เสียนเฟยที่ก่อนหน้านี้ถูกลดอำนาจกักขังเพียงในตำหนักของตนแต่เมื่อถูกเยี่ยอ๋องรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาและปรากฎว่าเป็นนางที่เป็นคนบงการให้สังหารอดีตฮองเฮาจึงได้ถูกฮ่องเต้ตัดสินให้จองจำในตำหนักเย็นจากนั้นเป็นต้นมาซูเฟยพระมารดาของรุ่ยอ๋องเองก็มีความผิดฐานยุยงส่งเสริมและเคยมอบกองกำลังของสกุลซูแก่องค์ชายใหญ่นางจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เมืองเล่อซีแดนตะวันตกกับรุ่ยอ๋องโอรสของนางที่เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเองฮ่องเต้น่าจะระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้วถึงได้ส่งองค์ชายสามรุ่ยอ๋องไปก่อนแล้วจึงส่งซูเฟยให้ตามเขาไปทีหลัง นับว่าเขายังมีคุณธรรมมากพอไม่คิดสังหารลูกเมียไปจนหมดสิ้นเรื่องราวในราชวงศ์ซับซ้อนและน่ากลัวดังที่เยี่ยอ๋องหรือก็คือซ่งอวี่ถงเคยพูดเอาไว้นั่นเอง เขาจึงไม่มีความคิดอยากที่จะมาเหยียบที่แห่งนี้เลยสักเพียงนิดหากไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องที่มารด
การเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงนั้นใช้เวลาถึงสิบวันเต็มเมื่อครั้งที่นางหนีจากเมืองเป่ยเย่ไปยังเมืองฉางอันใช้วิธีล่องเรือไปนั่นก็ทรมานปวดมวนท้องไปตลอดเส้นทางแล้ว มาครั้งนี้การที่ต้องมานั่งอยู่บนรถม้าก็ยิ่งทำให้นางปวดระบมไปทั้งตัวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว“อดทนหน่อยนะอีกไม่กี่ลี้ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”“ข้าทนได้”“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าเพิ่งกลับมาก็ไม่เชื่อเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่”“ที่ข้าปวดเนื้อปวดตัวนั่นไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ”“พูดอะไร”เขาจ้องมองนางเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือเขาแค่คิดไม่ทันกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่บีบๆ นวดๆ ให้นางเพื่อให้อาการปวดเกร็งนั้นผ่อนคลายลงแต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้น“พอแล้วๆ น้ำหนักมือของท่านมากเกินไปมันทำให้ข้าเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก”“ข้าทำเบามือสุดๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาหันขวับไปจ้องมองใบหน้าใสซื่อของคนด้านข้าง“เบากระนั้นหรือเมื่อคืนวานไม่ใช่ท่านเป็นคนบอกข้าเองหรอกหรือว่าจะทะนุถนอมข้า แต่เหตุไฉนถึงได้เอาแต่ใจตนเองเช่นนั้นเห็นร่องรอยบนตัวข้าหรือไม่ยังดีที่เย่หยุนฟางเอาแต่ตามติดคุณชายเซี่ยนางถึงไม่ทันได้สังเกตมิเช่นนั้นข้าคงได้
สวนไผ่ที่ตั้งอยู่หลังบ้านเล็กๆ ริมทะเลสาบของนางนั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวชอุ่มที่สั่นไหวไปตามแรงลมเสียงใบไผ่เสียดสีกันดังเป็นจังหวะ เมื่อก่อนนางมักมาเดินเล่นและพักผ่อนในที่แห่งนี้เป็นประจำหลังอาหารมื้อบ่ายมู่อิงเถาตั้งใจจะนอนพักสักงีบแต่ไม่ว่าอย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจหลับตาลงได้จึงออกมาเดินเล่นรับลมในที่แห่งนี้ก่อนที่สองเท้าจะพาตนเองเดินทอดน่องไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนักมู่อิงเถาเข้าไปนั่งเล่นที่ศาลาไม้มองเห็นเรือไม้ลำเล็กที่ถูกผูกเอาไว้ที่ท่าน้ำ น่าจะเป็นเรือที่ซ่งอวี่ถงจัดหามานั่นเอง“อากาศเย็นเพียงนี้ยังออกมาเดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อหนาๆ มาด้วยนะ”‘ตะ ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย’ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกก่อนจะคลุมไปที่ไหล่บางของนาง ความอบอุ่นของเสื้อคลุมที่เพิ่งถอดออกจากตัวของเขาและกลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเสียอย่างนั้นปากของเขาก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่มีหยุด‘บ่นเป็นตาแก่ไปได้’“เมื่อก่อนท่านไม่เห็นบ่นเช่นนี้เลยนะ”“นั่นมันเมื่อก่อน”พูดจบก็นั่งลงข้างๆ นางจ้องมองใบหน้าหวานนั้นไม่วางตา“เมื่อก่อนข้านั้นโง่เขลายิ