มู่อิงเถาเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ให้ซ่งอวี่ถงสองสามอย่างเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยนางจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตั้งใจจะไปดูอาการของเด็กชายเสียหน่อย แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องประตูก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยแล้ว
ที่ข้างเตียงนอนของเด็กชายตัวน้อยนั้นมีซ่งอวี่ถงที่คอยเช็ดเนื้อตัวให้เขาอย่างเบามือด้วยความอ่อนโยน
“ดูเหมือนหงเอ๋อจะไม่ทรมานมากเท่าใดแล้วนะเจ้าคะ”
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น อีกสองวันข้าจะเข้าเมืองไปสำนักบัณฑิตขอลาหยุดสักเจ็ดวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”
“ไม่ต้องหรอก พวกข้าอยู่ได้”
“แต่หงเอ๋อบาดเจ็บเพียงนี้หากว่าบ้านนั้นมาระรานพวกเจ้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ได้หรอกข้าไม่ไว้ใจ”
“ทำมาก็ทำกลับสิ”
แม้ซ่งอวี่ถงจะเห็นวีรกรรมของนางแล้วแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดีจะทิ้งพวกนางไว้ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร แต่ก่อนก็ยังมีพี่รองและพี่สะใภ้รองอยู่ด้วยแต่วันนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้วที่เป็นที่พึ่งสำหรับนางและหลานชายคนนี้
“ข้าอยู่ได้น่า”
ซ่งอวี่ถงส่ายหน้าให้นางเบาๆ
“วันที่ข้าเข้าเมืองข้าจะลองไปถามเช่าบ้านดูด้วย”
“เช่าบ้าน? ในเมืองนั้นน่ะหรือ”
“ใช่แล้ว ให้พวกเจ้าไปอยู่ที่นั่นด้วยข้าจะได้หายห่วง”
“ไม่เอาน่าท่านพี่ จะไปเช่าให้เปลืองเงินทำไมกัน”
“แต่ที่นี่ก็คือที่ดินร้างสักวันพวกเราก็ต้องย้ายออกไปอยู่ดี”
“เงินในบ้านของเราก็เหลือเพียงน้อยนิดไม่ใช่หรือหากท่านนำไปเช่าบ้านอีกแล้วพวกเราจะกินอยู่อย่างไรต่อไปกันเล่า”
“ไว้ค่อยหาเพิ่มทีหลังก็ยังได้”
เขาตอบนางสั้นๆ ก่อนจะหันไปจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นหลานชาย มู่อิงเถามองไม่ออกเลยว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นเขากำลังคิดอะไรอยู่หรือจะเป็นเพราะความกดดันจากทางบ้านหรือไม่นะที่ทำให้เขากลายเป็นคนร้ายกาจไปได้ จะทำอย่างไรดีให้ชีวิตของนางอยู่รอดไปจนกว่าจะได้กลับบ้านกัน
“พรุ่งนี้ข้าคงต้องขึ้นเขาอีกครั้ง”
“ขึ้นเขา?”
“อืม ไปหาของป่ามาขายเพิ่มอีกเสียหน่อยข้าต้องเก็บเงินเอาไว้มากๆ จะได้พาพวกเจ้าไปอยู่ด้วยให้เร็วที่สุด”
ไม่รอให้นางได้ถามสิ่งใดอีกเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยิบเอาท่อนฟืนที่ตัดไว้มาก่อกองไฟ ความร้อนจากเปลวไฟทำให้นางเริ่มอบอุ่นขึ้นเสี้ยวหน้าคมคายของเขามีช่วงหนึ่งที่นางเห็นความดุดันที่ฉายชัดออกมาเพียงครู่เดียว ครู่เดียวเท่านั้น
‘ให้ตายสิอยู่กับตัวร้ายเช่นนี้ชีวิตของข้าจะอยู่รอดไปได้สักกี่วันกันนะ’
“ข้าง่วงแล้วท่านนอนเป็นเพื่อนหงเอ๋อแล้วกันนะ”
“อืม”
มู่อิงเถาเดินขึ้นไปนอนบนเตียงอีกฝั่งหนึ่งนางหันไปจ้องมองบุรุษหนุ่มผู้นั้น เขาเพียงแค่นอนลงบนเตียงข้างกายเด็กชายก่อนจะใช้แขนแกร่งก่ายหน้าผากตนเองเท่านั้นความเงียบทำให้นางคิดว่าเขาคงจะหลับไปแล้ว
มู่อิงเถาหันหลังให้คนทั้งคู่ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเพราะความเหนื่อยล้าทำให้นางเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
ซ่งอวี่ถงลืมตาขึ้นก่อนจะค่อยๆ ลงจากเตียงแล้วเดินย่องไปที่เตียงของนางจังหวะฝีเท้าของเขาช่างเบายิ่งนัก
เขายืนจ้องมองใบหน้าของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาด้วยแววตาที่แปลกไปจากเดิมความรู้สึกบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่ภายในใจ 'เหตุใดต้องเป็นนาง!'
มู่อิงเถาครึ่งหลับครึ่งตื่น นางรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ออกเหมือนมีใครบางคนกำลังบีบคอของนางอย่างไรอย่างนั้น แต่แล้วความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะขาดอากาศหายใจก็เบาบางลงใบหน้าที่กำลังขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดก็คลายลงเรื่อยๆ รู้สึกถึงความอบอุ่นเคลื่อนขึ้นมาจนถึงลำคอ
นางพยายามปรือตาขึ้นมามองดูกลับพบเพียงภาพที่เลือนลางเห็นเป็นเพียงรูปร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผู้นั้นที่เดินกลับไปยังเตียงนอนอีกฝั่งแล้วล้มตัวลงนอนในนาทีต่อไป
‘เมื่อครู่มันอะไรกันความรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตายนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่า!’
มู่อิงเถาพยายามข่มตาลงนอนแต่ก็ไม่สามารถสลัดความคิดบ้าๆ นั่นออกไปจากหัวของนางได้
‘ลิงฮุย เจ้าอยู่หรือไม่’
‘ลิงฮุย เจ้าบ้าลิงฮุยเอ้ยเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้กลับพึ่งพาอะไรไม่ได้เอาเสียเลย ให้ตายสิแล้วข้าจะหลับตาลงไปได้อย่างไรนะ’
-เช้าวันต่อมา-
“อะ อาสะใภ้เหตุใดขอบตาของท่านถึงได้…”
“อะไรหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับข้าคงตาไม่ดีเอง”
มู่อิงเถาไม่สนใจเด็กน้อยผู้นั้นนางหันไปมองบุรุษหนุ่มที่กำลังเก็บของลงตะกร้าสะพายหลังก่อนที่เขาจะก้มหน้าก้มตามัดเชือกกับซี่ไม้หลายชิ้นเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างๆ ขะมักเขม้น เมื่อรู้สึกถูกจ้องมองเขาก็หันหน้ามามองจนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อะ เอ่อ ท่านทำอะไรอยู่งั้นหรือ”
“ทำลอบดักปลา”
“ท่านทำเป็นหรือ”
“ข้าเป็นลูกชาวนานะเครื่องมือพวกนี้ล้วนทำเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว”
“น่าทึ่งเสียจริง”
มู่อิงเถาเดินไปนั่งลงข้างๆ เขาก่อนจะจ้องมองลอบดักปลาที่ซ่งอวี่ถงทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินของสิ่งนี้เพราะชาติที่แล้วของนางๆเองก็เคยได้ยินมาบ้างแต่นั่นก็เป็นวิถีชีวิตของคนชนบทไม่ใช่ในเมืองหลวงปักกิ่งที่นางอาศัยอยู่แน่นอนว่านางไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน
“ท่านพ่อของข้าเคยสอนให้ใช้นกจับปลา”
“นกจับปลา?”
“ใช่ แต่ว่าพักนี้จับนกว่ายากกว่าจับปลาเสียแล้ว”
“ฮ่าๆๆ จริงหรือนี่”
“เสร็จแล้วล่ะ เจ้ารอข้าอยู่ที่บ้านข้าจะขึ้นเขาเสียหน่อย”
“ข้าไปด้วย”
“ไม่ได้ แล้วใครจะดูหงเอ๋อกันเล่า”
เวลานี้หงเอ๋อก็เจ็บป่วยอยู่หากนางเป็นอะไรขึ้นมาอีกคนมีหวังเขาคงต้องหยุดพักการเรียนต่อไปอีกหลายวันเป็นแน่
“ท่าอาสามข้าอยู่ได้ขอรับท่านปิดประตูให้แน่นหนาก็พอแล้ว น่าแปลกที่วันนี้ข้ากลับไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าเมื่อวานนี้แล้ว”
“จริงหรือ”
“ใช่ขอรับ”
“หรือจะเป็นเพราะยาที่อาสะใภ้สามประคบให้ข้าก็เป็นได้ไหนจะยาที่ท่านอาซื้อมาให้ข้าอีก ข้าอยู่ได้พวกท่านรีบไปเถอะข้าไม่อยากให้ท่านอาขึ้นเขาเพียงลำพังมีอาสะใภ้อยู่ด้วยข้าก็อุ่นใจแล้ว”
ซ่งหงอี้ยิ้มให้ซ่งอวี่ถงเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็คลายใจลงไปอย่างมาก
“ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“ขอรับ”
“ไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
เพราะที่ผ่านเซี่ยอิงอิงต้องไปเรียนปักผ้าตามที่มารดาเลี้ยงของนางต้องการจึงไม่มีเวลามาพบปะสนทนากับมู่อิงเถานั่นเอง วันนี้ทั้งวันนางจึงมาอยู่เฝ้าพูดคุยกับมู่อิงเถาจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น เมื่อถึงเวลากลับบ้านดูสาวน้อยผู้นั้นจะอาลัยอาวรณ์นางอยู่ไม่น้อยมู่อิงเถาออกมาส่งนางที่หน้าประตูจวนทั้งยังโบกมือลาให้เด็กสาวเมื่อรถม้าของนางพ้นจากระยะสายตาแล้วก็ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งพูดขึ้นมาว่า“นั่นแม่นางเซี่ยนี่นา นางมาทำไมหรือขอรับอาสะใภ้”“หืม หงเอ๋อเจ้าเองหรอกหรือหายไปไหนมาข้าไม่เจอเจ้าเลยตั้งแต่ที่เข้าเมืองหลวง”“ข้าไปฝึกเรียนวรยุทธ์มาน่ะขอรับอาสะใภ้ ไม่ใช่สิพระชายา”“เรียกข้าว่าอาสะใภ้แบบเดิมน่ะดีแล้ว”“ไม่ได้หรอกขอรับตอนนี้ท่านเป็นถึงพระชายาแล้วจะให้เรียกแบบเดิมได้อย่างไรกัน”“ตามใจเจ้าเถอะ แล้ววันนี้ไม่มีเรียนงั้นหรือ”“ท่านอาจารย์ให้ข้าหยุดได้สิบวันขอรับ ข้าจึงรีบเดินทางมาหาพวกท่าน”“ดีเลยเช่นนั้นช่วงเวลาสิบวันนี้ก็ทำตัวให้ว่างล่ะพวกเราจะไปเที่ยวกัน”“เที่ยว?”“อืม”“ไปไหนขอรับ”หมู่บ้านต้าไห่ เมืองเป่ยเย่-บ้านตระกูลซ่ง-“ท่านแม่ท่านรู้มานานแล้วเช่นนั้นหรือ ที่ท่านไม่อยากให้ข้าไป
-เจ็ดวันผ่านไป-เมื่องานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพระชายารัชทายาทและองค์ชายน้อยมาถึงในวังหลวงก็ดูจะครึกครื้นกันยิ่งนักบรรดาเหล่าขุนนางและฮูหยินของพวกเขาต่างก็ทยอยเดินเข้ามาในงานกันเรื่อยๆขณะที่มู่อิงเถาเดินอยู่เคียงข้างกับเยี่ยอ๋องอยู่นั้นก็ได้ยินขุนนางที่ยืนจับกลุ่มกันกำลังซุบซิบนินทานางอยู่แม้จะพูดคุยกันด้วยเสียงอันเบาแต่กับคนที่มีวรยุทธ์แล้วนั้นย่อมได้ยินชัดทุกถ้อยคำ“ท่านอ๋องผู้นี้ช่างเก่งกาจและมีบุญบารมีมากเหลือเกินแต่น่าเสียดายที่ชายาของเขานั้นกลับเป็นหน้าเป็นตาให้เขาไม่ได้”“จริงดังที่ใต้เท้ากล่าวสตรีผู้นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาไหนเลยจะส่งเสริมท่านอ๋องได้กัน”“บุตรสาวของใต้เท้าซู ‘ซูม่านอวี้’ ผู้นั้นท่านว่าเป็นอย่างไรนางพึ่งผ่านวัยปิ่นปักไปได้ไม่นานทั้งยังไม่มีคู่ครองอีกด้วยดูเหมือนว่า….”เยี่ยอ๋องที่หยุดเดินกะทันหันก็ทำให้มู่อิงเถางุนงงไปไม่น้อย“มีอะไรหรือเจ้าคะ”เยี่ยอ๋องไม่ตอบนาง เขาหันหลังกลับไปจ้องมองขุนนางกลุ่มนั้นก่อนจะชำเลืองมองไปด้วยแววตาที่น่ากลัวยิ่งนักทำเอาใจของคนที่พบเห็นใจสั่นไหวไม่น้อย“ใต้เท้าผู้นี้พูดถึงชายาของข้าอยู่กระนั้นหรือ”“อะ เอ่อกระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะท
มู่อิงเถาไม่มีอารมณ์เดินเที่ยวเล่นต่อแล้วนางเลือกที่จะกลับจวนก่อนจะเดินหนีเขาเพื่อกลับไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว“เจ้าเดินช้าๆ หน่อยสิเดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาไม่หยุดฟังเขาพูด นางเดินต่อไปด้วยย่างก้าวที่เร็วขึ้นเหมือนไม่ต้องการที่จะเดินอยู่เคียงข้างเขาอย่างไรอย่างนั้น จนซ่งอวี่ถงต้องเร่งฝีเท้าขึ้นไปประชิดจนถึงตัวของนางก่อนจะคว้าแขนเล็กนั้นเอาไว้มั่น“อิงเอ๋อข้าบอกว่าอย่าเดินเร็วอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็หกล้มหรอก”“ท่านสนใจด้วยหรือ”“เป็นอะไร”มู่อิงเถาหลับตาลงก่อนจะพยายามสงบจิตใจที่ว้าวุ่นของนาง‘ใช่นางเป็นอะไรไป พักนี้ก็ยังไม่เข้าใจตนเองเท่าใดนักก็แค่สตรีคนนั้นคนเดียวนางจะคิดอะไรมากกัน’“ท่านมีอะไรจะพูดกับข้า”“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“พูดตรงนี้ก็ได้”ซ่งอวี่ถงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางมืออีกข้างของเขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะจับไปมือของนาง มู่อิงเถาคิดอยากจะสะบัดออกแต่ซ่งอวี่ถงกับจับมือของนางเอาไว้แน่น“อยู่นิ่งๆ สิ”“ท่านจะทำอะไร”ซ่งอวี่ถงไม่ตอบเขาชำเลืองมองนางเล็กน้อยก่อนจะหยิบของสิ่งนั้นมาสวมที่นิ้วมือของนาง‘นี่มันแหวนที่ข้าไปจำน
-ท้องพระโรง-มู่อิงหลันเคยเป็นหนึ่งในกุ้ยเหรินของฮ่องเต้มู่หรงฉีนางเคยร่วมมือกับเสียนเฟยมารดาขององค์ชายใหญ่ลอบทำร้ายอดีตฮองเฮา แต่ถูกเสียนเฟยโยนความผิดให้นางทั้งหมดจึงถูกขับไล่ออกจากวังหลวงนางจึงได้คิดการก่อเรื่องราวใหญ่โตจนนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เสียนเฟยที่ก่อนหน้านี้ถูกลดอำนาจกักขังเพียงในตำหนักของตนแต่เมื่อถูกเยี่ยอ๋องรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาและปรากฎว่าเป็นนางที่เป็นคนบงการให้สังหารอดีตฮองเฮาจึงได้ถูกฮ่องเต้ตัดสินให้จองจำในตำหนักเย็นจากนั้นเป็นต้นมาซูเฟยพระมารดาของรุ่ยอ๋องเองก็มีความผิดฐานยุยงส่งเสริมและเคยมอบกองกำลังของสกุลซูแก่องค์ชายใหญ่นางจึงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่เมืองเล่อซีแดนตะวันตกกับรุ่ยอ๋องโอรสของนางที่เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้วนั่นเองฮ่องเต้น่าจะระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้วถึงได้ส่งองค์ชายสามรุ่ยอ๋องไปก่อนแล้วจึงส่งซูเฟยให้ตามเขาไปทีหลัง นับว่าเขายังมีคุณธรรมมากพอไม่คิดสังหารลูกเมียไปจนหมดสิ้นเรื่องราวในราชวงศ์ซับซ้อนและน่ากลัวดังที่เยี่ยอ๋องหรือก็คือซ่งอวี่ถงเคยพูดเอาไว้นั่นเอง เขาจึงไม่มีความคิดอยากที่จะมาเหยียบที่แห่งนี้เลยสักเพียงนิดหากไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องที่มารด
การเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงนั้นใช้เวลาถึงสิบวันเต็มเมื่อครั้งที่นางหนีจากเมืองเป่ยเย่ไปยังเมืองฉางอันใช้วิธีล่องเรือไปนั่นก็ทรมานปวดมวนท้องไปตลอดเส้นทางแล้ว มาครั้งนี้การที่ต้องมานั่งอยู่บนรถม้าก็ยิ่งทำให้นางปวดระบมไปทั้งตัวจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว“อดทนหน่อยนะอีกไม่กี่ลี้ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”“ข้าทนได้”“ข้าก็บอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าเพิ่งกลับมาก็ไม่เชื่อเห็นหรือไม่ว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่”“ที่ข้าปวดเนื้อปวดตัวนั่นไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือ”“พูดอะไร”เขาจ้องมองนางเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูดหรือเขาแค่คิดไม่ทันกันแน่ ชายหนุ่มได้แต่บีบๆ นวดๆ ให้นางเพื่อให้อาการปวดเกร็งนั้นผ่อนคลายลงแต่นั่นกลับยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้น“พอแล้วๆ น้ำหนักมือของท่านมากเกินไปมันทำให้ข้าเจ็บมากกว่าเดิมเสียอีก”“ข้าทำเบามือสุดๆ แล้วนะ”มู่อิงเถาหันขวับไปจ้องมองใบหน้าใสซื่อของคนด้านข้าง“เบากระนั้นหรือเมื่อคืนวานไม่ใช่ท่านเป็นคนบอกข้าเองหรอกหรือว่าจะทะนุถนอมข้า แต่เหตุไฉนถึงได้เอาแต่ใจตนเองเช่นนั้นเห็นร่องรอยบนตัวข้าหรือไม่ยังดีที่เย่หยุนฟางเอาแต่ตามติดคุณชายเซี่ยนางถึงไม่ทันได้สังเกตมิเช่นนั้นข้าคงได้
สวนไผ่ที่ตั้งอยู่หลังบ้านเล็กๆ ริมทะเลสาบของนางนั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวชอุ่มที่สั่นไหวไปตามแรงลมเสียงใบไผ่เสียดสีกันดังเป็นจังหวะ เมื่อก่อนนางมักมาเดินเล่นและพักผ่อนในที่แห่งนี้เป็นประจำหลังอาหารมื้อบ่ายมู่อิงเถาตั้งใจจะนอนพักสักงีบแต่ไม่ว่าอย่างไรหญิงสาวก็ไม่อาจหลับตาลงได้จึงออกมาเดินเล่นรับลมในที่แห่งนี้ก่อนที่สองเท้าจะพาตนเองเดินทอดน่องไปจนถึงทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนักมู่อิงเถาเข้าไปนั่งเล่นที่ศาลาไม้มองเห็นเรือไม้ลำเล็กที่ถูกผูกเอาไว้ที่ท่าน้ำ น่าจะเป็นเรือที่ซ่งอวี่ถงจัดหามานั่นเอง“อากาศเย็นเพียงนี้ยังออกมาเดินเล่นอีกเดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดหรอก เหตุใดถึงไม่ใส่เสื้อหนาๆ มาด้วยนะ”‘ตะ ตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย’ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกก่อนจะคลุมไปที่ไหล่บางของนาง ความอบอุ่นของเสื้อคลุมที่เพิ่งถอดออกจากตัวของเขาและกลิ่นกายที่คุ้นเคยนั้นทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเสียอย่างนั้นปากของเขาก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่มีหยุด‘บ่นเป็นตาแก่ไปได้’“เมื่อก่อนท่านไม่เห็นบ่นเช่นนี้เลยนะ”“นั่นมันเมื่อก่อน”พูดจบก็นั่งลงข้างๆ นางจ้องมองใบหน้าหวานนั้นไม่วางตา“เมื่อก่อนข้านั้นโง่เขลายิ