บทที่ 5
น้ำตกหรรษา
เช้าวันถัดมา หรงหรานลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการอ่อนเปลี้ยและเมื่อยขบไปทั้งร่างจนลุกจากเตียงไม่ไหว เหล่ยเซินจึงต้มโจ๊กมาให้นางถึงเตียงนอน
“ข้าไม่กิน”
เพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อคืนตนถูกเขาบังคับให้แต่งงาน หนำซ้ำยังร่วมหอกันไปแล้ว หรงหรานทั้งเขินอายทั้งโกรธจึงสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมกินโจ๊กที่เขาอุตส่าห์ต้มมาให้
แต่ก็นั่นแหละ เหล่ยเซินไม่ใช่คนพูดมากหรือคอยพูดซ้ำหลายรอบ เขาตักโจ๊กขึ้นมาเป่า ก่อนจะนำมาจ่อติดปากของนาง
เห็นแค่นั้นนางก็รู้ว่าต้องถูกบังคับให้กินโจ๊กเหมือนตอนนอนเป็นผักบนเตียงเป็นแน่แท้ นางจึงรีบบอกออกไป แต่เพราะยังอายกับเรื่องเมื่อคืนน้ำเสียงของนางจึงค่อนข้างแข็งกระด้าง
“วางไว้ตรงนั้น เดี๋ยวข้าจะกินเอง”
“เจ้ากำลังโกรธข้า ทำไม?”
หรงหรานถลึงตาใส่เหล่ยเซิน นี่นางต้องพูดออกไปหมดหรือไม่ว่าเมื่อคืนเขาทำอุกอาจกับนางแค่ไหน
ตั้งแต่ช่วยนางกลับมา ก็ถือว่าเขามีพระคุณกับนางอย่างใหญ่หลวงแล้ว ทว่า...แต่ละอย่างที่เขาทำกับนาง ต่อให้อยากซาบซึ้งสักแค่ไหน นางก็ซาบซึ้งไม่ลง
เฮ้อ...
คิดแล้วนางก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้
“อ้าปาก”
เหล่ยเซินออกคำสั่งอย่างไม่ดูเวล่ำเวลา เมื่อครู่นางเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ เขากลับสั่งให้นางอ้าปากกินโจ๊ก!?
หรงหรานถลึงตาใส่เหล่ยเซินครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่างเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักคำว่า ‘รักหยกถนอมบุปผา’ โดยแท้
อย่างไรก็ตาม เหล่ยเซินไม่ยอมวางถ้วยโจ๊กลงจนกว่าหรงหรานจะรับไปกินเอง ด้วยความจนใจ หรงหรานจึงรับถ้วยโจ๊กจากมือของเขา จากนั้นค่อยๆ ตักกินทีละคำ
เมื่อเห็นนางกินโจ๊กได้ครึ่งถ้วยแล้ว เหล่ยเซินค่อยลุกจากขอบเตียง มีแวบหนึ่ง นางเห็นว่าริมฝีปากใต้หนวดเคราดกดำของเขามีรอยยิ้มอ่อนโยน
หรงหรานตกตะลึงแทบจะขยี้ตาซ้ำๆ
“นี่ท่าน...”
ตอนที่เหล่ยเซินหันกลับมามองนาง พร้อมส่งเสียง “หือ?” เป็นคำถาม ใบหน้าของเขาก็เรียบนิ่ง ราวกับว่าก่อนหน้านั้นนางตาฝาดไป
“ข้า...ข้าแค่อยากถามว่าวันนี้ท่านจะไปไหนหรือ”
“ล่าสัตว์ หาของป่า” เขาตอบสั้นๆ แต่หลังจากทำหน้าครุ่นคิดเพียงครู่ก็ถามมาอีกว่า “อยากไปด้วยหรือไม่”
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา นางรักษาตัวอยู่ในบ้านของเหล่ยเซิน พออาการดีขึ้นก็เอาแต่นั่งๆ นอนๆ รู้สึกเบื่อหน่ายจนไม่รู้จะเบื่ออย่างไรแล้ว หากได้ออกไปข้างนอกคงดีไม่น้อย
หรงหรานรีบตอบ “ดี ข้าอยากไปด้วย”
เขาถามต่อไปอีก “ลุกจากเตียงไหวแล้วหรือ”
“เอ่อ...”
เห็นนางอ้ำอึ้ง เหล่ยเซินจึงเปลี่ยนมาบอกด้วยความห่วงใย
“เช่นนั้นเอาไว้เป็นวันอื่นเถิด”
หรงหรานเกาแก้ม ก่อนจะพยักหน้าเชื่อฟัง อันที่จริง ให้ลุกจากเตียงวันนี้คงไม่ไหวเพราะนางทั้งเหมื่อยทั้งเพลีย เช่นนั้นจะยอมเชื่อฟังเขาสักครั้งก็แล้วกัน
เมื่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ทั้งเหล่ยเซินก็ไม่ได้แตะต้องหรงหรานนับตั้งแต่คืนเข้าหอ ร่างกายของนางจึงกลับมาแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า
สองสามวันถัดมา เหล่ยเซินจึงพาหรงหรานเข้าป่า
เพราะเป็นบุตรสาวแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ พื้นเพนิสัยของหรงหรานจึงค่อนข้างโลดโพนหน่อยๆ อยู่แล้ว นางมองป่ากว้างอันเขียวขจีด้วยความตื่นเต้น รู้สึกถึงชีวิตที่แสนอิสระ
เหล่ยเซินเดินนำหน้านางไปหลายก้าวแล้ว นางมองดูแผ่นหลังกว้าง ทันใดนั้นในอกก็รู้สึกร้อนวูบวาบ ว่าไปแล้ว ถึงใบหน้าของเหล่ยเซินจะเต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้ม แต่หุ่นของเขากำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อแต่ละหมัดก็ดูดีมาก ช่างเป็นร่างกายของคนที่พึ่งพาได้ ไม่แปลกใจเลยที่นางรู้สึกอุ่นใจยามนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา
อีกอย่าง ทั้งที่เรี่ยวแรงเยอะขนาดนั้น หากยามร่วมรักกลับรู้จักหนักเบา รู้ว่าจะต้องเล้าโลมอย่างไร เอาใจนางอย่างไร และควรสอดใส่เข้ามาตอนไหนนางถึงจะได้ไม่เจ็บ...
อ๊ะ ไม่สิ ห้ามคิดเรื่องนั้น!
พอความคิดของหรงหรานเริ่มเตลิดไปถึงเรื่องบนเตียง นางรีบหยุดความคิด ก่อนมือเล็กจะยกขึ้นมาลูบจมูกที่เห่อร้อนด้วยความรู้สึกแปลกพิกล
นอกจากนี้ หรงหรานยังรีบผละสายตาออกจากแผ่นหลังของเหล่ยเซิน จากนั้นดวงตาคู่งามก็มองซ้ายแลขวา เปลี่ยนมาสำรวจป่าเขารอบๆ
หลังจากเดินลึกเข้ามาในป่าพอสมควร เหล่ยเซินก็พานางมาถึงน้ำตก
สารธารที่ลดหลั่งเป็นชั้นๆ บวกกับน้ำใสสะอาด รอบด้านคือแมกไม้และขุนเขา ราวกับที่นี่มีเพียงตัวเองและธรรมชาติ
หรงหรานยืนมองความงดงามนั้นด้วยสายตาตะลึง
ไม่คาดคิดเลยว่าใต้หุบเขาเล่อฉางที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นป่าหนาทึบและเต็มไปด้วยฝูงสัตว์อันตรายจะมีทรัพยากรที่สวยงามเช่นนี้
ว่าไปแล้ว ตั้งแต่นอนรักษาตัวเป็นผักจนถึงตอนนี้ นางยังไม่ได้แช่น้ำดีๆ เลยสักครั้งนี่น่า
คิดแล้วหรงหรานก็ชะเง้อชะแง้คอมองดูลาดเลา ก่อนหน้านั้นเหล่ยเซินบอกว่าจะไปล่าสัตว์อีกที่หนึ่ง ดังนั้นที่นี่จึงมีเพียงนางคนเดียว เมื่อไม่เห็นเงาของคนอื่น นางรีบถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นลงไปแช่ในธารน้ำตก
น้ำเย็นมาก ทว่าก็ให้รู้สึกสดชื่น
หรงหรานแหวกว่ายในธารน้ำใสสักพัก ก่อนจะเอนหลังพิงกับโขดหินใกล้ๆ กับจุดที่มีน้ำตกไหลลงมา เบื้องหลังโขดหินเป็นหน้าผา แม้หน้าผานี้จะไม่ได้สูงชันเท่าใดนัก หากกลับมีถ้ำหินย้อยซึ่งปกคลุมด้วยเถาวัลย์
นางพริ้มตาเอนหลังกับโขดหิน ปล่อยตัวปล่อยใจอย่างผ่อนคลาย โดยลืมไปว่ายังมีใครบางคนอยู่ที่นี่ด้วย
เพิ่งเกิดความคิดนั้น เอวของหรงหรานถูกฝ่ามือใหญ่ประคอง จากนั้นร่างแบบบางของนางก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดอันทรงพลังและร้อนผ่าว
“ว๊าย!”
หรงหรานหวีดร้อง รีบเงยหน้ามองเจ้าของร่างกำยำตรงหน้า...เป็นเหล่ยเซิน(อีกแล้ว)
ไม่เพียงแค่เข้ามาขัดจังหวะสุนทรีย์ ชายหนุ่มยังถอดเสื้อผ้าออกจนเกลี้ยงตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ มิหนำซ้ำ 'สิ่ง' ที่จ่อติดกับท้องน้อยของหรงหรานยังให้สัมผัสคุ้นๆ อย่างยิ่ง
“ทะ...ท่านคิดจะทำอะไร”
นางร้องเสียงหลงแม้จะเดาได้อยู่แล้วก็ตาม
แต่ว่า นี่มันกลางวันแสกๆ เลยนะ!
เหล่ยเซินไม่ได้ตอบ กลับก้มหน้าประกบจูบปากของหรงหรานทันทีทันใด
“อื้อ...”
แม้จุมพิตของเขาจะเร่าร้อน แต่หนวดเคราดกหนากลับทำให้นางรู้สึกคันยุบยิบ
หรงหรานผลักอกเหล่ยเซิน ทว่าชายหนุ่มกลับอุ้มนางขึ้นนั่งบนโขดหิน ท่ามกลางความงุนงง เรียวขาขาวของหรงหรานถูกจับยกขึ้นมาพาดบ่ากว้าง
“ทะ ท่าน...อ๊า!”
ไม่พูดพล่ามใดๆ เหล่ยเซินก็ก้มหน้าเชยชิมความหวานของบุปผาทันที เสียงดูดจ๊วบจ๊าบดังหยาบโลน ไม่เพียงเท่านั้น ยามใบหน้าของเขาซุกอยู่ระหว่างกึ่งกลางลำตัวของนาง หนวดเครานั้นยังทิ่มแทงต้นขาและเนินเนื้ออูม ทั้งเจ็บทั้งคัน
“ฮึก...เจ้าบ้า ปล่อยข้านะ...อื้อ...อ๊ะ…”
ทว่าลิ้นร้อนยังคงตวัดไปมาไม่หยุด
ถึงจะปฏิเสธ หากน้ำหวานจากบุปผากลับไหลเยิ้มไม่หยุด ซ้ำหัวใจเจ้ากรรมยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
ด้วยความอายและทำอะไรไม่ถูก หรงหรานยกเท้าถีบไหล่หนา แต่ก็นั่นแหละ เหล่ยเซินยึดจับข้อเท้าของนางเอาไว้ได้ ทั้งยังแหวกแย้มเรียวขาของนางกว้างยิ่งกว่าเดิม ลิ้นร้อนลวกดุนดันซ้ำๆ ที่กลางใจเกสร
“อื้อ...อ่า...”
ไม่รู้ว่าเป็นบทลงโทษที่นางบังอาจถีบเขาหรือไม่ ลิ้นร้อนละเลงหนักขึ้นพร้อมกับนิ้วแกร่งที่สอดเข้ามาในกึ่งกลางความสาว
“มะ ไม่นะ...ปล่อย...อึก อื้อ...”
ร่างบางสั่นสะท้าน ในขณะชายหนุ่มดื่มด่ำน้ำหวานอย่างตะกละตะกลาม
เมื่อเหล่ยเซินเร่งจังหวะนิ้วและลิ้นด้วยความเร็ว ร่างกายของหรงหรานพลันสั่นระริก เรียวขาหดเกร็ง อึดใจนั้นเองนางครางเสียงสูงและคล้ายว่าในร่างกายมีดอกไม้ไฟแตกพร่า
เหล่ยเซินปล่อยมือจากต้นขาของหรงหรานเป็นอิสระ
หรงหรานเพิ่งจะหอบหายใจด้วยอาการเหม่อลอย ร่างกายกำยำกลับแทรกเข้ามากลางระหว่างลำตัว เหล่ยเซินจับท่อนร้อนเข้ามาในช่องทางคับแน่นอันอ่อนนุ่ม ทว่าก่อนหน้านี้เหล่ยเซินเตรียมความพร้อมให้กับหรงหรานแล้ว ตอนสอดใส่เข้ามาจึงไม่ได้ลำบากแต่อย่างใด เมื่อท่อนลำอันใหญ่โตเข้ามาจนสุดทาง บั้นเอวแกร่งก็โยกไหวตามแรงของอารมณ์ หรงหรานโยกคลอนบนโขดหิน
แรงขยับของชายหนุ่มยิ่งรุนแรงเท่าไร นางก็ยิ่งส่งเสียงครวญครางด้วยความรัญจวนดังมากเท่านั้น
“อื้อ...อ๊างงง”
ในขณะที่เหล่ยเซินควบขี่หรงหรานประหนึ่งควบม้า ฝ่ามือหนาของเขาลูบไล้ทั่วร่างแบบบางที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ก่อนมือข้างหนึ่งจะขยับมาเคล้นคลึงยังทรวงงาม
“อ๊ะ อ๊ะ...อื้อ...เหล่ย...เหล่ยเซินคนบ้า อ๊า!”
ถึงจะพูดออกมาอย่างนั้น หากหรงหรานกลับเคลิ้มลอยไปกับความรัญจวนที่ชายหนุ่มปรนเปรอให้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...
บทที่ 41ปลอบโยนชายา ตั้งแต่ถูกอุ้มขึ้นมานั่งบนหลังม้า ฟางถิงถิงก็อยู่ไม่สุข นางเอาแต่คลอเคลียเจ้าของร่างหนา ไม่เพียงแหวกสาบเสื้อของเซียวอวิ้นหยางให้เปิดกว้าง ตลอดทางกลับจวนอ๋อง มือน้อยยังซุกซนไต่ไปทั่วแผงอกแข็งแกร่ง ลูบคลำตรงนั้น จับตรงนี้ ทำให้ผู้อื่นปั่นป่วนหัวใจ โชคดีที่เซียวอวิ้นหยางมีจิตใจมั่นคงและอ่านสถานการณ์ออก อ๋องหนุ่มใช้เสื้อคลุมตัวใหญ่ของตนคลุมร่างของฟางถิงถิงเอาไว้ ให้พูดตรงๆ เซียวอวิ้นหยางไม่ได้อายหากผู้อื่นเห็นว่าตนถูกชายาลวนลาม แค่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นความเย้ายวนอันงดงามของภรรยาเท่านั้นเอง เมื่อควบม้าผ่านประตูเข้ามาภายในตำหนัก เซียวอวิ้นหยางตวัดตัวลงจากหลังม้าพร้อมอุ้มฟางถิงถิงเดินเข้าห้องนอนใหญ่ ใบหน้าของฟางถิงถิงแดงก่ำเหมือนจะกลั่นเลือดออกมาได้อยู่แล้ว หนำซ้ำยังชื้นไปด้วยเหงื่อ ดวงตาหรี่ปรือคล้ายคนเลื่อนลอย เซียวอวิ้นหยางปัดปอยผมชื้นเหงื่อที่แนบติดกับแก้มนวลพลางถามด้วยความห่วงใย “ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” คำตอบของฟางถิงถิงคือเสียงครางและพยายามถอดเสื้อผ้าของนางออกจากตัว “ร้อน...อื้อ
บทที่ 40ยืมดาบฆ่าคน (2) “แม่นางช่างสุนทรีย์ไม่น้อย นี่เป็นกลิ่นไม้จันทร์หอมผสมกับหลันฮวา(ดอกกล้วยไม้)อบแห้งขอรับ” หนุ่มน้อยคนนั้นกล่าว “แม่นาง เชิญดื่มขอรับ” คราวนี้เป็นชายหนุ่มรูปงามอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ เขารินสุราใส่จอกให้กับฟางถิงถิง ก่อนจะเดินไปนั่งที่ตั่งกลางห้องซึ่งถูกจัดเตรียมไว้สำหรับบรรเลงพิณ ฟางถิงถิงดื่มสุราท่ามกลางเพลงพิณที่ถูกบรรเลงอย่างอ่อนช้อย นางพริ้มตาลงด้วยความรู้สึกผ่อนคลายและ...ร้อน... ร้อนหรือ!? คิดแล้วนางรีบยกจอกสุราขึ้นมองด้วยความสงสัย เพิ่งดื่มไปได้เพียงจอกเดียว คงไม่ได้เมาเร็วขนาดนี้หรอกกระมัง ตอนนั้นเอง จู่ๆ ลมหายใจของนางก็หอบกระชั้นอย่างน่าสงสัย ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่นาง เสียงพิณหยุดลง ก่อนเสียงหอบหายใจของชายหนุ่มหน้าหล่อกับหนุ่มน้อยจะดังขึ้นตามทีหลัง “ระระ ร้อนจัง แฮ่ก...ทำไมเล่า” หนุ่มน้อยหน้ามนพูดด้วยท่าทีกระสับกระส่าย “...ข้าก็ด้วย” ชายหนุ่มเจ้าของพิณกุมอกพร้อมพูดกับตัวเอง “มีบางอย่างแปลกๆ” ฟางถิงถิงพึมพำ ชายหนุ่มทั้งสองได้ยินอย่างนั้นก็มีท่า
บทที่ 39ยืมดาบฆ่าคน (1) ขนอ่อนบนหลังคอของเซียวจื้ออี้กับหลินซวงเอ๋อร์ลุกชัน พวกเขาไม่เคยรู้สึกหนาวสะท้านราวกับกำลังย่างเท้าลงสู่ขุมนรกเช่นนี้มาก่อน แต่สายตาของหยางอ๋องทำให้รู้สึกเช่นนั้นได้! หลินซวงเอ๋อร์ดึงสติกลับมาได้เร็วกว่ารัชทายาทเซียวจื้ออี้ นางที่ยังประกบมือบนแก้มฝั่งที่ถูกตบใช้จังหวะนั้นทวงความยุติธรรม “ท่านอ๋อง หม่อมฉันแค่มาเยี่ยมพระชายาฟาง แต่...แต่ถูกพระชายาทำร้ายร่างกาย จะให้คิดอย่างไรได้เพคะ” ยามพูด หลินซวงเอ๋อร์ทำหน้าเศร้าสร้อย ร่างกายของฝ่ายนั้นผอมบางอยู่แล้ว ประกอบกับแก้มซ้ายที่บวมแดง พอมายืนอยู่ตรงหน้าอ๋องนักรบที่มีร่างสูงใหญ่อย่างเซียวอวิ้นหยาง ท่าทางอ่อนแอเปราะบางนั้นแลดูน่าสงสารมากกว่าเดิม ทว่า... คำตอบของหยางคือ...สายตาดุดันที่สาดมอง หลินซวงเอ๋อร์สะดุ้ง แม้จะหวาดกลัว แต่ยังคงทำใจกล้า มองตอบเซียวอวิ้นหยางแกมขอร้อง “ท่านอ๋อง ได้โปรดมอบความยุติธรรมให้กับหม่อมฉันด้วยเพคะ” “ยุติธรรมหรือ ได้สิ” หยางอ๋องพยักหน้าบอก “ข้าจะลงโทษคนของข้าเอง” หลินซวงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั
บทที่ 38ใครกล้าแตะต้องนาง...ตาย! (2) หลายวันต่อมา ในที่สุดรัชทายาทเซียวจื้ออี้ก็หาจังหวะมายังตำหนักหยางอ๋องจนได้ หลังจากสืบทราบมาว่าฮ่องเต้เรียกเซียวอวิ้นหยางเข้าเฝ้าในเช้าวันหนึ่ง รัชทายาทเซียวจื้ออี้ก็หาได้รอช้า รีบเดินทางมาตำหนักหยางอ๋องพร้อมกับหลินซวงเอ๋อร์ เมื่อมาถึง ทั้งสองก็วางอำนาจใหญ่โตทันที เทียบกันแล้ว ระหว่างตำแหน่งรัชทายาทกับชายาอ๋อง แน่นอนว่าฟางถิงถิงต้องให้ความเคารพรัชทายาทที่มีศักดิ์สูงกว่า แต่สำหรับหลินซวงเอ๋อร์ที่ไม่มีตำแหน่งอะไรเลย นางจึงเมินเฉยฝ่ายนั้นอย่างสมบูรณ์ ฟางถิงถิงย่อกายให้กับรัชทายาท แต่กับหลินซวงเอ๋อร์ นางเมินหน้าหนี หลินซวงเอ๋อร์เห็นอย่างนั้นก็เขย่าแขนรัชทายาท ทั้งยังส่งสายตาแง่งอน รัชทายาทเข้าใจความหมายจึงหันไปกล่าวตำหนิฟางถิงถิง “พระชายาฟาง หยางอ๋องคงตามใจเจ้าจนทำให้ลืมฐานะของตนไปแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ไม่ให้ความเคารพคนของข้า” ฟางถิงถิงย่อมเข้าใจคำพูดนั้น รัชทายาทต้องการให้นางมอบความเคารพหลินซวงเอ๋อร์ เพราะยิ่งเข้าใจ ฟางถิงถิงจึงยิ่งรู้สึกไม่พอใจ นางแสร้งมอ
บทที่ 37ใครกล้าแตะต้องนาง...ตาย! (1) แสงอรุณส่องผ่านหน้าต่างฉลุลายอันประณีต แสงสว่างนั้นปลุกฟางถิงถิงให้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางอาการปวดระบม มือน้อยนวดเฟ้นเอวและสะโพกของตนป้อยๆ พร้อมกับดวงตาคู่สวยเหลือบมองคนข้างกายที่ยังหลับสนิท เซียวอวิ้นหยางมีรูปร่างสูงใหญ่ ด้วยเพราะเป็นอ๋องนักรบ ถึงได้มีกล้ามเนื้อบึกบึนสมส่วน ส่วนฟางถิงถิงรูปร่างบอบบาง เทียบกันแล้ว นางไม่ต่างจากกระต่ายตัวน้อยที่ถูกราชสีห์รังแก แรกเริ่มแม้เขาจะทำอย่างอ่อนโยนและค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่ออารมณ์ปะทุถึงขีดสุด ความอ่อนโยนนั้นเปลี่ยนเป็นโจนจ้วง นางเองก็สุขสมจนสติหลุด ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่า พอคิดถึงเรื่องน่าอายนั้น หัวใจเจ้ากรรมก็สั่นสะท้านขึ้นมา ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าว ถึงอย่างนั้นนางกลับพลิกตัวนอนตะแคงโดยหันหน้าไปทางเซียวอวิ้นหยาง จ้องใบหน้าเขาคล้ายต้องการเก็บทุกรายละเอียด ยามที่ถูกเขาจับจ้อง ดวงตาคมคู่นี้ช่างลึกล้ำและเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา เพียงแค่ถูกจ้องมองนาง ร่างกายของนางก็เหมือนถูกสะกด ระหว่างคิด ฟางถิงถิงลูบมือบนเปลือ
บทที่ 36คืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง เมื่อเทียนทุกเล่มดับลงภายในห้องหอก็ตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างฉลุลายประณีต ท่ามกลางความมืดสลัวนั้น ฟางถิงถิงได้ยินเสียงลมหายใจของเซียวอวิ้นหยางที่หนักหน่วงขึ้น ชัดเจนขึ้น มิหนำซ้ำทรวงอกของเขายังขยับขึ้นๆ ลงๆ ราวกับกำลังพยายามข่มกลั้นความปรารถนา หญิงสาวยื่นมือแตะแผงอกร้อนผ่าวของหยางอ๋อง พูดเสียงอ่อนเสียงหวานคล้ายกำลังวอนขอ “ท่านอ๋อง” ทันใดนั้น... ใบหน้าหล่อเหลาโน้มต่ำ ริมฝีปากบางบดขยี้กลีบปากเนียนนุ่ม แล้วร่างของนางก็สั่นระริก เสียงครางหวานๆ ดังอยู่ในลำคอ “อ...อือ...” เซียวอวิ้นหยางระดมจุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแค่ถูกจูบ ฟางถิงถิงก็แทบจะเสียอาการ ร่างแบบบางสะท้านไม่หยุด ...อยากได้มากกว่านี้ หญิงสาวปรือตารับจูบเร่าร้อนอย่างเคลิบเคลิ้ม ริมฝีปากเนียนนุ่มเผยอเปิดเล็กน้อย ชั่วอึดใจสั้นๆ นั้นปลายลิ้นร้อนก็ดุนดันเข้ามาในโพลงปาก อ๋องหนุ่มกระหวัดลิ้นพัวพันกับลิ้นของฟางถิงถิง ระหว่างจูบมือหนาค่อยๆ ปลดชุดกลางสีขาวขอ