ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังจะกลับบ้าน เซี่ยซูมี่เป็นคนถือเงินทั้งหมด เริ่มนับเงินในใจ เดิมทีมีเงินค่าสินสอด 5 ตำลึง เงินจากการขายหมูป่า 500 อีแปะ และเงินที่เหลือจากการขายกวาง 750 อีแปะ ตอนนี้เธอจึงมีเงินในตัวทั้งหมดอยู่ 3 ตำลึงทอง 39 ตำลึงเงินและอีก 250 อีแปะ ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับสร้างบ้าน ก่อนที่ฤดูหนาวจะมาถึง ตอนนี้ยามเซิน (15.00-16.59 น.) เดิมทีเซี่ยซูมี่อยากจะไปคุยเรื่องสร้างบ้านกับช่างในเมือง แต่ก็เกรงใจเจ้าของเกวียน จึงคิดว่าพรุ่งนี้จะชวนสามีเข้ามาในเมืองอีกครั้งหนึ่ง
“ท่านพี่เจ้าคะ พรุ่งนี้เราเข้ามาในเมืองเพื่อหาซื้อเกวียนกันเถอะเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าก็อยากจะหาช่างฝีมือดีมาสร้างบ้านให้พวกเราก่อนที่ฤดูหนาวจะมาเยือนด้วยเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่บอกกับสามี ตอนนี้นางนั่งอยู่บนเกวียนและกำลังจะกลับบ้าน
“อืม เจ้าจะแวะซื้อของเข้าบ้านด้วยหรือไม่” ซ่งเวยหลงเห็นด้วยกับภรรยา และเห็นว่าข้าวสารที่ซื้อไปครั้งก่อนก็น่าจะหมดแล้วเช่นเดียวกัน ตนไม่ได้อยู่บ้านหลายวันจึงไม่รู้ว่าของใช้ภายในบ้านเหลืออะไรอยู่บ้าง
“พรุ่งนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ ใกล้จะมืดแล้วเกรงใจท่านผู้นำด้วย” เซี่ยซูมี่บอกความต้องการกับสามีออกไป ซึ่งเรื่องนี้ซ่งเวยหลงเองก็เห็นด้วยกับภรรยา จากนั้นทั้งสองคนก็เดินทางกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วซ่งเวยหลงส่งภรรยาที่บ้าน จากนั้นก็นำเกวียนไปส่งผู้นำหมู่บ้าน เขาไม่ลืมที่จะปิดบังใบหน้าของตนเอง
เซี่ยซูมี่รีบเข้าครัวเพื่อทำมื้อเย็น นางคิดว่าสามีน่าจะหิว ไม่รู้ว่าช่วงที่เขาเข้าป่าไปนั้นจะได้กินอะไรดีๆบ้างหรือไม่ เข้าป่าลึกจะทำอะไรก็ต้องระวัง ไม่ใช่แค่สามีเท่านั้นที่เป็นผู้ล่า เพราะทุกคนที่อยู่ในป่ามีสถานะที่เป็นทั้งผู้ล่าและเหยื่อ จำเป็นที่จะต้องระวังตัวเองตลอดเวลา
ระหว่างที่เซี่ยซูมี่ทำอาหารใกล้จะเสร็จ ซ่งเวยหลงก็กลับเข้าบ้าน เขาเดินเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และพบว่าเสื้อผ้าของตนนั้นมีกลิ่นหอมมาก ตอนนี้เป็นเวลายามโหย่ว (17.00-18.59 น.) หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่แล้วก็สำรวจภายในบ้าน พบว่าทั่วทั้งห้องมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นหอมนี้ตนจำได้ดีว่าเป็นกลิ่นประจำของภรรยา เมื่อสูดดมเข้าไปมันให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
“ท่านพี่เจ้าคะ อาหารเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” สำหรับมื้อเย็นวันนี้ เซี่ยซูมี่ทำเมนูง่ายๆ คือชุนปิ่ง กินกับผัดผักป่า แล้วยังมีน้ำแกงจากกระดูกเสืออีกด้วย
ซ่งเวยหลงจัดการอาหารเย็นตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องล้างถ้วยชามเลยด้วยซ้ำ เซี่ยซูมี่เห็นดังนั้นแล้วก็หัวใจพองโตไม่รู้ว่ากับข้าวอร่อย หรือเป็นเพราะว่าเขาหิวโหย
“รสชาติดี” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น ฝีมือการทำอาหารของภรรยาของเขานั้นอร่อยกว่าโรงเตี๊ยมเสียอีก
“อิ่มหรือไม่เจ้าคะ? ให้ข้าไปทำเพิ่มดีหรือไม่” เซี่ยซูมี่เริ่มไม่แน่ใจว่าชายกินจุตรงหน้านี้อิ่มหรือไม่อิ่ม
“เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ เดี๋ยวไม่สบายท้อง” ซ่งเวยหลงส่ายหน้า คิดว่ากินเท่านี้กำลังดี แล้วก็รู้สึกอุ่นท้องมากด้วยหลังจากที่ซดน้ำแกงลงไป
“เจ้าค่ะ” จากนั้นเซี่ยซูมี่ก็เดินไปยกจานลูกพลับที่ปอกเปลือกสดๆมาให้ชายหนุ่ม กินคาวจะไม่กินหวานได้อย่างไร แต่ดูเหมือนว่าซ่งเวยหลงจะไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่
“ลองชิมดูก่อนเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่จำสิ่งที่เขาเคยบอกได้ว่ากินแล้วมันมีรสชาติฝาดจึงไม่กินมันอีก
“อืม” ซ่งเวยหลงรับคำ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบลูกพลับมากิน แต่เมื่อกัดมันลงไปแล้วกลับพบว่ารสชาติแตกต่างออกไปจากทุกครั้งที่ตนเคยกินมา มันทั้งกรอบและมีรสชาติหวาน
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เองก็ลุ้นไปด้วย ไม่รู้ว่าเขาจะถูกใจหรือไม่ เพราะสำหรับบางคนก็ไม่ชอบ เรื่องนี้นั้นสามารถเข้าใจได้
“หวาน กรอบ รสชาติดีมาก” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น ไม่คิดว่ารสชาติของมันจะดีเยี่ยมถึงเพียงนี้ นางไปเอาวิธีการกินเช่นนี้มาจากไหนกัน ที่แท้แล้วที่ผ่านมาตนก็พลาดของที่มีรสชาติเยี่ยมไปนี่เอง
“ข้าบอกท่านแล้วว่ามันอร่อย” เซี่ยซูมี่พูดอย่างภาคภูมิใจ
“จริงสิ เจ้าแขวนสิ่งใดในบ้าน เครื่องรางป้องกันภูตผีปีศาจหรือ” ซ่งเวยหลงว่าจะถามภรรยาตั้งแต่ที่มาถึงบ้าน แต่เป็นเพราะมัวแต่รีบชำแหละเสือ เพื่อนำไปขายให้ทันเวลา จึงทำให้ตนลืมถามเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ไม่ใช่เครื่องรางอะไรทั้งนั้นแหละเจ้าค่ะ แต่เป็นลูกพลับที่ข้าเก็บมาต่างหากล่ะเจ้าคะ ตั้งใจว่าจะเก็บเอาไว้กินช่วงฤดูหนาว แล้วจะเอาไปขายให้หลงจู๊ด้วยเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น
“นี่น่ะหรือสิ่งที่เจ้าจะเอาไปขาย?” ซ่งเวยหลงมองดูลูกพลับที่เริ่มแห้งเหี่ยว หน้าตาดูไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไปตรงๆ เพราะเกรงว่านางจะเสียใจ มองด้วยสายตาแล้วนางคงเก็บมาทั้งป่าแล้วเป็นแน่
“อย่าดูแค่ภายนอกสิเจ้าคะ เจ้าพวกนี้หากตากแห้งแล้วจะมีรสชาติหวานมากเจ้าค่ะ กินคู่กับน้ำชาช่วงฤดูหนาว รสชาติหวานทำให้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาดีทีเดียวเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซ่งเวยหลงพยักหน้าเข้าใจ หากเป็นดังเช่นที่นางว่าเจ้าพวกนี้ก็น่าจะมีราคา เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวทีไรมักจะมีคนตาย เพราะอดอยากเป็นจำนวนมาก เมื่อมีสิ่งนี้มาช่วยประทังชีวิตก็น่าจะดีไม่น้อย
“เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ยิ้มจนตาหยี
จากนั้นก็เก็บถ้วยชามไปล้าง แล้วก็เตรียมที่นอนให้สามี เขาเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการล่าสัตว์ในครั้งนี้ไม่น้อย และก็เป็นดังที่คิดเอาไว้ เพราะทันทีที่หัวถึงหมอน ชายหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจอย่างสม่ำเสมอทันที เมื่อส่งสามีเข้านอนแล้ว เซี่ยซูมี่ก็เข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย หลังจากที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันเมื่อได้อาบน้ำก็รู้สึกสบายตัวมากขึ้น
เซี่ยซูมี่เข้ามาภายในห้องแล้วทำการดับไฟตะเกียง ปีนขึ้นไปนอนบนเตียงกับสามี รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขานอนเคียงข้าง ช่วง 10 วันที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าตนเองก็นอนหลับไปไม่เต็มตื่นเท่าไหร่นัก เพราะบ้านที่อาศัยอยู่ก็ใช่ว่าจะแข็งแรงสักเท่าไหร่
เช้าวันถัดมาเซี่ยซูมี่รู้สึกว่าคืนนี้เป็นคืนที่นอนหลับสบายมากที่สุด คล้ายว่าได้นอนกอดหมอนข้างที่อบอุ่น แม้ว่ามันจะแข็งไปบ้างแต่โดยรวมแล้วรู้สึกดีมาก แทบไม่อยากจะลืมตาขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อสติเริ่มกลับมาครบก็นึกขึ้นได้ว่าที่บ้านป่าแห่งนี้ไม่น่าจะมีหมอนข้าง จึงค่อยๆลืมตาขึ้นมา พบว่านอนอยู่ในอ้อมกอดของชายหน้าหนวด ไม่ใช่สิ… เขาไม่มีหนวดอีกต่อไปแล้ว
เมื่่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ถือโอกาสสำรวจใบหน้าของเขาเสียเลย หน้าใสไร้สิว รูขุมขนก็ไม่มี คนบ้านป่าเหตุใดผิวพรรณถึงได้สวยเนียนเพียงนี้ ไม่ใช่แค่สามีเท่านั้น เพราะร่างที่อาศัยอยู่นี้ก็เช่นเดียวกัน ช่างน่าอิจฉาพวกเขาเสียยิ่งนัก ไม่ต้องบำรุงอะไรก็มีผิวพรรณที่เรียบเนียนถึงเพียงนี้
หลังจากที่สำรวจใบหน้าหล่อเหลาจนพอใจแล้ว ก็ได้เวลาลุกขึ้นไปทำมื้อเช้า เพราะตั้งใจว่าจะออกเดินทางเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้ามืด มีสิ่งที่จะต้องทำอยู่หลายอย่างทีเดียว แต่มันใช่เรื่องง่ายเลยที่แกะมือเหนียวนี้ออกจากเอวบางของตนได้ ใช้ความพยายามราวๆ 1 เค่อก็เป็นผลสำเร็จ เซี่ยซูมี่ถอนหายใจเบาๆ เช็ดเหงื่อที่ไหลมาตามกรอบหน้า แล้วก็ลุกขึ้นเพื่อไปทำธุระส่วนตัว
“หึ” ทางด้านของคนตัวโตที่แกล้งหลับ เดิมทีเขาตื่นก่อนหญิงสาวนานแล้ว แต่เป็นเพราะเห็นว่านางนอนหลับอย่างสบายไม่อยากจะขยับตัว จึงทำได้เพียงเป็นหมอนให้นางหนุนแขนนอนเท่านั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็รู้สึกดีไม่น้อยที่ตื่นมาเห็นภาพเช่นนี้
ยามเหม่า ( 05.00-06.59 น.) สองสามีภรรยาเดินทางเข้าไปในเมือง โดยที่แรกที่พวกเขาไปก็คือไปหาช่่างที่รับสร้างบ้าน เพื่อสอบถามราคา
เซี่ยซูมี่ไม่มีแบบในหัว คิดเพียงว่าจะไม่ทำแตกต่างจากคนอื่นมากสักเท่าไหร่ จึงบอกความต้องการของตนไปว่าอยากได้บ้านสองชั้นที่มีห้องว่างสัก 3 ห้อง และมีห้องสำหรับอาบน้ำด้วย ส่วนห้องที่ปลดทุกข์นั้นคงต้องสร้างข้างนอกแล้วให้พวกเขาทำบ่อซึมให้ ในยุคนี้นี่คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว จากนั้นก็ต่อห้องครัวออกไป เพราะเวลาทำอาหารกลิ่นจะได้ไม่เข้าไปภายในบ้าน นอกจากนั้นก็ขอให้ทำห้องโถงที่กว้างหน่อย จะแยกที่กินข้าวกับที่รับแขกออกจากกัน
หลังจากที่ช่างฟังคำต้องการแล้วก็ประเมินราคาคร่าวๆ บ้านที่ดีที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นบ้านที่ทำจากไม้ ซึ่งช่างเองก็มีไม้สำหรับทำบ้านอยู่แล้วไม่ต้องลำบากไปตัดใหม่ ซึ่งมันสะดวกและรวดเร็วกว่านี่ก็ใกล้จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วจึงไม่มีทางเลือกเท่าไหร่
“ข้าทำราคาตามที่เจ้าแจ้งมา ค่าของรวมค่าแรงด้วยก็ราวๆ 1 ตำลึงทอง” เถ้าแก่ที่เป็นเจ้าของพูดขึ้น แม้ว่าจะฟังดูแล้วไม่มีอะไร แต่ต้องบอกรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะเธอให้เขาทำตูเสื้อผ้าติดกับผนังบ้าน เกิดมาก็เพิ่งจะเคยได้ยินเนี่ยแหละ
“เรียนเถ้าแก่ เดิมทีข้าอยากจะได้บ้านฝีมือของท่านมาก แต่หากว่าท่านเรียกราคาสูงถึงเพียงนี้ข้าเกรงว่าจะมากเกินไป ข้าสองคนผัวเมียเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆเท่านั้น คงไม่มีเงินทองมากมายเพียงนั้นเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น นางไม่ใช่คนโง่ที่จะหลับหูหลับตาตกลงทุกอย่าง ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสมถึงจะถูก
“ไอหยาฮูหยิน ต้องบอกว่าราคานี้ถูกแล้ว รายละเอียดที่ท่านระบุมาก็ใช่ว่าจะน้อยๆ เท่าที่ข้างฟังแล้วให้ลูกน้องเขียนแบบตาม ท่านเองก็แทบไม่ต้องซื้อสิ่งใดเข้าบ้านเพิ่มเลยสักนิด เช่นนี้ฮูหยินจะบอกว่าราคาสูงได้อย่างไร” เถ้าแก่พูดด้วยความลำบากใจ
“ถ้าเช่นนั้นสัก 80 ตำลึงเงินได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากมีบ้านที่ท่านเป็นคนสร้างจริงๆ หากว่ามากกว่าข้าคงต้องขอตัว” เซี่ยซูมี่ลุกขึ้น จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองประสานกันเพื่อทำความเคารพ ตั้งใจว่าจะเดินออกจากร้านไป
“ก็ได้ๆ 80 ก็ 80 ” เถ้าแก่ลังเล 80 ตำลึงเงินก็พอจะมีกำไรอยู่บ้าง เพราะข้าวของต่างๆ แทบจะไม่ต้องลงทุน ไม้ก็ให้ลูกน้องไปตัดที่ป่า หมดไปกับค่าจ้างคนงานเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงเจ้าค่ะ แต่ท่านต้องร่างสัญญาแล้วระบุให้ชัดเจนด้วยนะเจ้าคะว่าต้องแล้วเสร็จให้ทันก่อนช่วงฤดูหนาว” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงแม่นาง เอกสารพวกนั้นข้ามีอยู่แล้ว” เขาทำงานพวกนี้มาทั้งชีวิต เหตุใดจะลืมสิ่งสำคัญนี้ไปได้
“เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ยิ้มดีใจ ในที่สุดก็จะมีบ้านใหม่แล้ว
“รบกวนแม่นางช่วยเขียนแผนที่บ้านของแม่นางให้ข้าด้วย อีก 2 วันข้าจะพาลูกน้องไปที่บ้านของท่าน” เถ้าแก่พูดขึ้น ในขณะที่เซี่ยซูมีอ่านรายละเอียดในสัญญา ซึ่งก็ถือว่าครอบคลุมไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบ
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านช่วยเขียนแทนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” ชายหนุ่มรูปงามหลังจากที่นั่งนิ่งๆ ไม่ได้เอื้อยเอ่ยอะไรออกมา ในที่สุดก็ถึงหน้าที่ของตัวเองเสียที แม้จะอดสงสัยไม่ได้ว่านางอ่านเนื้อความในสัญญาออกได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าไม่ได้เรียนหนังสือหรอกหรือ แล้วเหตุใดนางถึงกวาดสายตาไล่อ่านทีละตัวอักษรราวกับว่าเข้าใจเนื้อหาในนั้นได้เป็นอย่างดี
“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น
3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่
1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่
เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้
“คารวะท่ารองแม่ทัพเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่และพี่สาวทำความเคารพรองแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง “ตามสบายเถิดน้องสะใภ้ ไม่ต้องมากพิธี” รองแม่ทัพกล่าวทักทายภรรยาของสหายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว ด้วยมีหน้าที่ที่ต้องถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์ชายห้ามาตั้งแต่เด็กๆ “ท่านมาก็ดีแล้วขอรับ ข้าขอขอบคุณสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย” ซ่งเวยหลงเอ่ยขึ้น ช่วงที่ไปล่าสัตว์ด้วยกันเขาได้เรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวิชาป้องกันตัว รองแม่ทัพหนุ่มเองก็ได้เรียนรู้วิชาเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในป่าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมาก “ไม่เป็นไร เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องขอข้า ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาทำเรื่องที่พูดเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง ซ่งเวยหลง เจ้าต้องการที่จะเป็นพี่น้องสาบานร่วมกับข้าหรือไม่?” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งจ้องมองหน้าสหายที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ “ไมตรีที่ท่านมอบให้ ข้าซ่งเวยหลงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นพี่น้องกับท่าน” ซ่งเวยหลงไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความเมตตาที่รองแม่
ทุกคนถูกจับตัวไปที่ศาลของท่านเจ้าเมืองเพื่อช่วยตัดสิน โดยท่านลุงไท่ร้องทุกข์แก่ท่านเจ้าเมืองทันทีที่ไปถึง รวมไปถึงเซี่ยซูมี่และซ่งเวยหลงเองก็ถูกควบคุมตัวมาในที่นี้ด้วย “จับตัวข้ามาด้วยเรื่องอันใดกัน ข้าจะกลับหมู่บ้านป่า” นางเซี่ยโวยวายในขณะที่ถูกจับกุมตัวมีเพียงซ่งเวยหลงและภรรยาเท่านั้นที่ไม่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร หากจะบอกว่าทหารเหล่านั้นเกรงกลัวสายตาของซ่งเวยหลงที่จ้องมองในตอนที่กำลังจะไปคุมตัวคนท้องก็คงจะไปผิด ทหารผู้น้อยจึงทำได้เพียงผายมือเชิญทั้งสองคนไปยังศาล ซึ่งเซี่ยซูมี่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด “หุบปาก ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองห้ามเสียมารยาท” ลูกน้องคนสนิทของท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นน้ำเสียงน่าเกรงขาม ทำให้ชาวบ้านที่ตามมาดูคำตัดสินต่างเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเข้ามานั่งประจำตำแหน่งก็เริ่มทำการสอบสวน ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ร้องทุกข์นั่นก็คือท่านลุงไท่เป็นคนพูดก่อน “เซี่ยซือมั่น สิ่งที่ไท่หานพูดเป็นความจริงหรือไม่” ท่านเจ้าเมืองเริ่มทำการสอบสวน “ข้าน้อยเซี่ยซือมั่นคารวะท่านเจ้าเมือง สิ่งที่ท่านลุงไท่พูดเป็นความจริ
เซี่ยซือมั่นถูกบิดาจับข้อมือเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาตะโกนออกมาจนสุดเสียง ท่านลุงไท่เองก็ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าคดโกง สมัยนี้เรื่องโกงต่างๆ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความซื่อสัตย์ รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ท่านลุงไท่มองตาเขียวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนในเมืองรู้จักตนอยู่ไม่น้อย เพราะมีอาชีพรับของป่าจากหมู่บ้านต่างๆ มาขาย หากเรื่องนี้ถูกผู้คนเข้าใจผิด แล้วตนจะทำงานต่อไปอย่างไร “หมายความว่าที่ผ่านมาเจ้าคดโกงข้า วันนี้หากข้าไม่มารับเงินกับลูกสาวด้วยมือของข้าเอง ก็หารู้ไม่ว่าเจ้าโกงเงินข้าทุกเดือน เร่เข้ามา… มาดูคนหน้าด้านโกงได้แม้กระทั่งเงินอีแปะ” นางเซี่ยแผดเสียงออกไปเพื่อต้องการให้ทุกคนมามุงและสนใจ “นี่เจ้า….” ท่านลุงไท่ชี้หน้านางเซี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็หันไปสบตากับเซี่ยซือมั่น เพื่อต้องการให้นางพูดและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่เคยคิดที่จะเปิดดูถุงผ้านั้นว่ามีเงินอยู่จำนวนเท่าใด เพราะความสงสารหญิงสาวที่จากบ้านมาทำงานไกลถึงในเมือง อยู่กินตัวคนเดียวเป็นสาวเป