หลังจากที่สองสามีภรรยากลับบ้านไป เซี่ยซูมี่นำขาหมูป่าที่เหลืออยู่มาเผา เพื่อทำให้เก็บรักษาได้นานขึ้น นอกจากนั้นยังมีส่วนหัวของหมูป่า ซ่งเวยหลงรับหน้าที่ในการทำความสะอาด เพื่อให้ดูน่ากินมากยิ่งขึ้น
“ข้าทำน้ำแกงกระดูกหมูป่า รบกวนท่านพี่เอาไปให้ท่านลุงจูด้วยนะเจ้าคะ” หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับท่านลุงจูมากขึ้น เวลาที่ทำของอร่อย ๆ เซี่ยซูมี่มักจะนึกถึงท่านลุงจูอยู่เสมอ
“ได้ ขอพี่ทำความสะอาดหัวหมูให้เจ้าก่อน” ซ่งเวยหลงพยักหน้ารับคำ เนื่องจากว่ายังทำหัวหมูติดพันอยู่ จึงอยากจะทำให้เสร็จเป็นอย่างๆ ไปเสียก่อน
“เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เองก็ไม่ได้เร่งรีบเพราะยังไม่ถึงเวลามื้อเย็น
เมื่อคุยกับสามีเสร็จแล้วหญิงสาวก็นำขาหมูมาเผา แล้วทำความสะอาด จากนั้นก็นำเกลือรวมไปถึงเครื่องเทศมาทารอบๆ เพื่อให้ไม่มีกลิ่นคาว จากนั้นก็นำไปรมควันเพื่อให้ขาหมูคายน้ำออกมาจะได้ไม่เน่า อาจจะต้องใช้เวลาทั้งคืนในการทำ ไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าทั้งคืน แต่ต้องลุกขึ้นมาดูว่าไฟมอดดับไปแล้วหรือยัง เมื่อหันมาอีกทีสามีก็กลับจากบ้านท่านลุงจูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ให้พี่ช่วยอะไรอีกหรือไม่” ซ่งเวยหลงเดินเข้าไปหาหญิงสาวในครัว เพื่อดูว่ามีสิ่งใดให้ตนได้ช่วยอีกหรือไม่
“ไม่มีแล้วล่ะเจ้าค่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านไปรอข้าที่โต๊ะอาหารเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะได้ยกอาหารตามออกไป” เซี่ยซูมี่ส่ายหน้าพร้อมทั้งยิ้มให้สามี
“พี่ช่วยเจ้าดีกว่าจะได้ไม่เหนื่อยมาก” ซ่งเวยหลงทำตามคำพูด เดินไปช่วยภรรยา ยกอาหารที่นางได้เตรียมเอาไว้ไปที่โต๊ะอาหาร
“ไปทันมื้อเย็นท่านลุงหรือไม่เจ้าคะ” เซี่ยซูมี่อยากจะให้ท่านลุงจูซดน้ำแกงร้อนๆ แต่ก็กลัวว่าเมื่อสามีไปถึงท่านลุงจะกินมื้อเย็นไปเสียแล้ว
“ไปทัน ท่านลุงกำลังจะกินมื้อเย็นพอดี” ซ่งเวยหลงพยักหน้าให้ภรรยาโล่งใจ
“แล้วท่านลุงอยู่บ้านกับผู้ใดหรือเจ้าคะ น้ำแกงที่ข้าตักให้ไปนั้นพอหรือไม่” เซี่ยซูมี่ไม่รู้ว่าภายในบ้านของท่านลุงจูนั้นมีใครบ้าง จึงตักน้ำแกงไปหนึ่งถ้วยใหญ่ ซึ่งนั้นก็เกือบจะครึ่งหม้อเข้าไปแล้ว
“อยู่คนเดียว ลูกของท่านลุงแต่งงานออกเรือนไปหมดแล้ว ส่วนท่านป้าเสียไปหลายปีแล้วล่ะ” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ น่าจะเหงาแย่เลยนะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เข้าใจความรู้สึกของการอยู่คนเดียวดีว่ามันอ้างว้างมากแค่ไหน ยิ่งต้องมาสูญเสียคนที่รักแล้วด้วยนั้นยิ่งเหงามากเป็นสองเท่า
“มันคือวัฏจักร อีกหน่อยพี่ก็คงต้องจากเจ้าไปเช่นท่านป้า” ซ่งเวยหลงเข้าใจโลก เพราะเขาเองก็ผ่านการสูญเสียมามากเช่นเดียวกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักรสงสารที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“ไม่พูดแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุยังน้อยผู้ใดพูดเรื่องความตายกันเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่ใช้มือปิดปากสามี พร้อมทั้งใช้สายตาดุเขาไป เนื่องจากว่ารู้สึกไม่ชอบใจเลยสักนิดที่ได้ยินคำพวกนี้
“กินเถอะ” ซ่งเวยหลงใช้จมูกสูดดมความหอมจากฝ่ามือหญิงสาว จากนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ หากนางไม่ชอบตนก็จะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้อีก
ทางด้านเซี่ยซูมี่เมื่อชักมือกลับแล้ว ก็ทำได้เพียงก้มหน้ากินอาหาร เพราะรู้สึกเขินอายการกระทำของสามี วันนี้เขาฉวยโอกาสถึงสองครั้ง ครั้งแรกคืออยู่ในป่าซึ่งถือว่าครั้งนั้นเป็นการปลอบขวัญ ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ทำให้รู้สึกดีไม่น้อย แต่ครั้งนี้มันไม่ดีต่อหัวใจเซี่ยซูมี่เลยสักนิด ใจเจ้ากรรมไม่รักดีเต้นดังโครมครามเกรงว่าคนข้างๆ จะได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจ
ทางด้านของชายหนุ่มเองก็ไม่แพ้กัน เขาไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป รู้เพียงว่าไม่สามารถหักห้ามใจไม่ให้สูดดมกลิ่นหอมจากหญิงสาวได้อีกต่อไป คล้ายว่านางมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ไม่เคยได้กลิ่นจากไหนมาก่อน ทำให้เขาไม่สามารถบังคับตัวเองได้อีกต่อไป
“น้ำแกงรสชาติดีมาก หน่อไม้ก็ไม่ขมเลย เจ้าทำได้อย่างไรหรือ?” ซ่งเวยหลงไม่ใช่ไม่เคยกินหน่อไม้ แต่เขาไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่เพราะมันมีรสชาติออกไปทางขมมากกว่า
“ก่อนจะนำมาทำน้ำแกงต้องต้มเอาความขมออกก่อนเจ้าค่ะ หรือไม่ก็ใส่เกลือเข้าไปก็สามารถช่วยได้เยอะเช่นเดียวกัน” เซี่ยซูมี่หลุดจากภวังค์ จากนั้นก็หันมาตอบคำถามชายหนุ่ม
“เช่นนั้นหรือ มิน่าเล่าถึงไม่มีรสขมปนอยู่เลย” ซ่งเวยหลงพยักหน้า พร้อมทั้งทำหน้าสนใจอาหารตรงหน้า
“ท่านพี่ลองกินผัดผักดูสิเจ้าคะ ข้าใช้มันของหมูป่ามาผัด กลิ่นหอมใช้ได้เลยเจ้าค่ะ”
จากนั้นสองสามีภรรยาก็กินมื้อเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย ซ่งเวยหลงเจริญอาหาร เพราะเขาตักข้าวเพิ่มถึงสองรอบ ข้าวสวยร้อนๆ กินคู่กับผัดผัก รวมไปถึงซดน้ำแกงร้อนๆ ช่างเข้ากันดีเยี่ยม
“อาจื่อแต่งงานกับพี่รั่วซีนานหรือยังเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ต้องการรู้ประวัติของคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนเอง
“น่าจะขวบปีได้แล้ว ทำไมหรือ?” ซ่งเวยหลงอดที่จะสงสัยไม่ได้
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าแค่นึกหน้าพี่รั่วซีไม่ออก ทั้งๆ ที่นางบอกว่าเป็นสหายกับพี่สาวของข้า” เซี่ยซูมี่ยักไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจในคำถามมากนัก ก็แค่อยากจะรู้ประวัติของศัตรูแค่เท่านั้น
“พี่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะจำผู้ใดได้สักคน แม้กระทั่งอาจื่อเอง เจ้าก็ยังไม่เรียกเขาว่าพี่ ทั้งๆ ที่อาจื่อก็อายุเท่ากับรั่วซี” ซ่งเวยหลงส่ายหัวให้กับความตีมึนของภรรยา นางช่างทำหน้าตาไม่รู้ประสาได้เหมือนจริงๆ จนบางครั้งเขาเผลอเข้าใจผิดคิดว่านางเหมือนไม่เคยมาที่หมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน
“อาจื่อน่ะหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ทวนย้ำ
“ก็อาจื่อนั่นแหละ อายุ 17 ปีแล้ว เป็นพี่เจ้าถึง 2 ปี” เซี่ยซูมี่เบะปาก
“ต่อไปท่านอยากจะให้ข้าเรียกเขาว่าพี่หรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ถาม เพราะนางไม่รู้ว่าอาจื่ออายุเท่าไหร่ บางครั้งก็เห็นอาจื่อเรียกสามีว่าพี่ แต่บางครั้งก็ทำราวกับว่าเป็นสหายรุ่นเดียวกัน อีกอย่างนางคือหญิงสาวอายุ 23 ปี ไม่ใช่เด็กน้อยอายุ 15 เสียหน่อย มันก็ต้องมีบ้างที่เผลอลืมตัว
“เจ้าเรียกอาจื่อเช่นเดิมน่ะถูกแล้ว เพราะถึงอย่างไรอาจื่อก็ต้องเรียกเจ้าว่าอาซ้ออยู่ดี” ซ่งเวยหลงดีดหน้าผากภรรยาเบาๆ รู้สึกมันเขี้ยวนางขึ้นมา ช่างเป็นหญิงที่ทำหน้าตาสงสัยมึนงงได้น่ามันเขี้ยวมากที่สุด
เซี่ยซูมี่ทำเพียงย่นจมูกให้สามีเท่านั้น ส่วนซ่งเวยหลงทำเพียงส่ายหัวเบาๆ กับความขี้เล่นของภรรยา ระหว่างสองสามีภรรยาไม่มีใครรู้ตัวว่าต่างฝ่ายต่างเริ่มเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาทีละนิด และเริ่มยอมรับในตัวของกันและกัน
เวลาผ่านไปราวๆ 1 เดือน หลังจากที่ช่างเข้ามาสร้างบ้าน ซึ่งมันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น นอกจากที่สร้างบ้านแล้ว เซี่ยซูมี่ยังให้ช่างล้อมรั้วกำแพงให้มิดชิดอีกด้วย เพราะต้องการความเป็นส่วนตัวมากที่สุด
“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าว่าอีกไม่กี่วันผักพวกนี้ก็น่าจะเก็บได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่พูดกับสามี ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังช่วยกันรดน้ำผัก
“เจ้าไม่รอให้มันโตอีกหน่อยแล้วเอาเข้าไปขายที่ในเมืองหรอกหรือ” ซ่งเวยหลงแปลกใจ นางเคยบอกเอาไว้ว่าจะปลูกผักเพื่อเอาไปขายในเมือง ถึงขั้นลงทุนซื้อเกวียนมา แต่เป็นเวลากว่าเดือนหนึ่งแล้วยังไม่ได้ใช้เกวียนเลยสักนิด
“ข้าเปลี่ยนใจแล้วเจ้าค่ะ เอาผักมาดองขายช่วงก่อนจะเข้าฤดูหนาวดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าจะให้ท่านพาข้าไปเสนอขายให้กับหลงจู๊ที่ในเมือง” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น ผักสดแล้วอย่างไร ก็ได้แค่เป็นผักเท่านั้น สู้เอามาแปรรูปเพื่อเพิ่มราคาให้มันดีกว่า ในเมื่อเป็นเจ้าแม่แปรรูปแล้วเหตุใดต้องทำให้เหมือนคนอื่น
“พี่แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน” ซ่งเวยหลงพยักหน้าเข้าใจ เพราะช่วงนี้ตนเข้าป่าเพื่อไปดูกับดักสัตว์ทุกวัน ภรรยามีหน้าที่แปรรูปอาหาร นางบอกว่าทำไว้เพื่อจะนำไปขายก่อนฤดูหนาวจะมาถึง ตอนนี้ในห้องครัวมีขาหมูป่าอยู่ราว 8 ขาใหญ่ๆ นอกจากนั้นยังมีเนื้อสามชั้นอีกจำนวนมาก คาดไม่ถึงเลยว่านางจะใจแข็งไม่ยอมขายเนื้อก่อน
เซี่ยซูมี่ยิ้มชอบใจ พร้อมทั้งคิดในใจว่าสามีที่เชื่อฟังภรรยาย่อมเจริญทุกคน รวมไปถึงสามีของตนด้วย แม้จะเป็นเพียงสามีในนามก็ตาม ไม่ใช่ว่านางไม่ยินยอมเป็นของเขา แต่เป็นเพราะฝ่ายชายเขาไม่ทำแล้วจะให้ตนทำอย่างไรได้ คงได้แต่นอนกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันทุกคืนอยู่ร่ำไป แต่ไม่มีคืนไหนเลยที่มีทีท่าว่าจะพัฒนาเป็นอย่างอื่นไปได้ หรือว่าสามีของตนจะมีรสนิยมเป็นอย่างอื่น
5 วันผ่านไป เซี่ยซูมี่ก็เริ่มเก็บผัก หนึ่งในนั้นคือหัวไชเท้าที่มีมากเป็นพิเศษ นอกจากหัวไชเท้าแล้ว ใบของมันก็ยังสามารถนำมาทำผักดองเผ็ดได้อีกด้วย นำมาผสมกับใบกุยช่ายเพื่อชูรสชาติเพิ่มขึ้น ซ่งเวยหลงรับอาสาเป็นลูกมือช่วยภรรยาล้างผัก และช่วยนางตากหัวไชเท้า ไม่คิดว่าภรรยาของเขาจะมีความสามารถมากเพียงนี้
“อีก 2 วันเราก็น่าจะเอาไปขายได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น เดิมทีอยากจะเอาใบของไช้เท้าดองไปขายก่อนด้วยซ้ำ เพราะมันสามารถกินได้เลยไม่ต้องรอเวลา
“ได้พี่จะไปเตรียมเกวียน” ซ่งเวยหลงเอ่ย
“ทำไมข้ารู้สึกว่าท้องของวัวตัวเมียมันขยายขึ้นล่ะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เฝ้าสังเกตวัวทั้งสองที่ซื้อมา ดูเหมือนว่าวัวตัวเมียจะดูอ้วนขึ้น
“พี่คิดว่ามันน่าจะท้องก่อนหน้าที่เราซื้อมาแล้วล่ะ แต่แค่ยังดูไม่ออกเท่านั้น” ซ่งเวยหลงไม่ใช่ไม่สงสัย แต่เขาแค่ต้องการมั่นใจ
“ช่างเป็นข่าวดีสำหรับบ้านเราจริงๆ เลยเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่รู้สึกว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากจริงๆ
“ใช่แล้วล่ะ แต่พี่อยากจะให้ข่าวดีของบ้านเราเป็นอย่างอื่นมากกว่า” ซ่งเวยหลงใช้สายตาหวานเยิ้มมองไปที่หญิงสาว แม้พยายามจะสื่อความหมายกับหญิงตรงหน้ามากเพียงใด แต่ดูเหมือนว่านางทำเพียงเอียงอายเท่านั้น เขาเองก็เป็นสุภาพบุรุษมากกว่าที่จะขืนใจสตรี หากว่านางไม่เต็มใจ คงต้องรอวันที่นางพร้อมจะเป็นของเขาจริงๆ
ทางด้านเซี่ยซูมี่เองก็เขินจนหน้าแดง พยายามบอกตัวเองว่าห้ามคิดไปไกล แต่คำพูดของชายหนุ่มชวนให้คิดเหลือเกินว่าเขาต้องการที่จะมีลูกกับตน แต่เมื่อคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อยังไม่เคยร่วมหอกันเลยสักครั้ง คิดถึงเรื่องนี้ก็ต้องถอนหายใจ ด้วยว่าตนเองก็เป็นหญิงจะต้องให้ทอดสะพานเช่นไรชายหนุ่มถึงจะรู้ว่าตัวเองนั้นพร้อมที่จะเป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจแล้ว
“อะ เอ่อ ข้าขอตัวไปให้อาหารไก่ก่อนนะเจ้าคะ” ตอนนี้ไก่ป่าที่เลี้ยงเอาไว้ก็เริ่มโตขึ้นมากแล้วเช่นกัน เนื่องจากว่าให้พวกมันกินเศษอาหารเข้าไปด้วย ไม่ใช่มีเพียงแค่ผักอย่างเดียว ทำให้ตัวของพวกมันอ้วนท้วนสมบูรณ์ อีกทั้งหมูป่าต่างก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคล้ายว่าพวกมันก็ต้องการอาหารเช่นเดียวกัน
ซ่งเวยหลงได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยใจไปตามๆ กัน เห็นทีว่าคงต้องขอคำปรึกษากับอาจื่อเสียแล้วว่าต้องทำเช่นไรภรรยาถึงยอมใจอ่อนร่วมหอด้วยเสียที จะว่าเป็นเพราะตนเองอัปลักษณ์ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะโกนหนวดเคราออกหมดแล้ว คงต้องขอคำปรึกษาจากคนที่ผ่านเหตุการณ์นี้มาว่ามีเคล็ดลับอะไร ที่สามารถทำให้หญิงคล้อยตามได้โดยง่ายบ้าง หรือมีเคล็ดลับอะไรที่สามารถทำให้หญิงที่รักเข้าใจความรู้สึกลึกๆ ของตนบ้าง
“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น
3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่
1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่
เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้
“คารวะท่ารองแม่ทัพเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่และพี่สาวทำความเคารพรองแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง “ตามสบายเถิดน้องสะใภ้ ไม่ต้องมากพิธี” รองแม่ทัพกล่าวทักทายภรรยาของสหายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว ด้วยมีหน้าที่ที่ต้องถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์ชายห้ามาตั้งแต่เด็กๆ “ท่านมาก็ดีแล้วขอรับ ข้าขอขอบคุณสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย” ซ่งเวยหลงเอ่ยขึ้น ช่วงที่ไปล่าสัตว์ด้วยกันเขาได้เรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวิชาป้องกันตัว รองแม่ทัพหนุ่มเองก็ได้เรียนรู้วิชาเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในป่าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมาก “ไม่เป็นไร เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องขอข้า ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาทำเรื่องที่พูดเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง ซ่งเวยหลง เจ้าต้องการที่จะเป็นพี่น้องสาบานร่วมกับข้าหรือไม่?” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งจ้องมองหน้าสหายที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ “ไมตรีที่ท่านมอบให้ ข้าซ่งเวยหลงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นพี่น้องกับท่าน” ซ่งเวยหลงไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความเมตตาที่รองแม่
ทุกคนถูกจับตัวไปที่ศาลของท่านเจ้าเมืองเพื่อช่วยตัดสิน โดยท่านลุงไท่ร้องทุกข์แก่ท่านเจ้าเมืองทันทีที่ไปถึง รวมไปถึงเซี่ยซูมี่และซ่งเวยหลงเองก็ถูกควบคุมตัวมาในที่นี้ด้วย “จับตัวข้ามาด้วยเรื่องอันใดกัน ข้าจะกลับหมู่บ้านป่า” นางเซี่ยโวยวายในขณะที่ถูกจับกุมตัวมีเพียงซ่งเวยหลงและภรรยาเท่านั้นที่ไม่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร หากจะบอกว่าทหารเหล่านั้นเกรงกลัวสายตาของซ่งเวยหลงที่จ้องมองในตอนที่กำลังจะไปคุมตัวคนท้องก็คงจะไปผิด ทหารผู้น้อยจึงทำได้เพียงผายมือเชิญทั้งสองคนไปยังศาล ซึ่งเซี่ยซูมี่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด “หุบปาก ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองห้ามเสียมารยาท” ลูกน้องคนสนิทของท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นน้ำเสียงน่าเกรงขาม ทำให้ชาวบ้านที่ตามมาดูคำตัดสินต่างเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเข้ามานั่งประจำตำแหน่งก็เริ่มทำการสอบสวน ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ร้องทุกข์นั่นก็คือท่านลุงไท่เป็นคนพูดก่อน “เซี่ยซือมั่น สิ่งที่ไท่หานพูดเป็นความจริงหรือไม่” ท่านเจ้าเมืองเริ่มทำการสอบสวน “ข้าน้อยเซี่ยซือมั่นคารวะท่านเจ้าเมือง สิ่งที่ท่านลุงไท่พูดเป็นความจริ
เซี่ยซือมั่นถูกบิดาจับข้อมือเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาตะโกนออกมาจนสุดเสียง ท่านลุงไท่เองก็ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าคดโกง สมัยนี้เรื่องโกงต่างๆ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความซื่อสัตย์ รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ท่านลุงไท่มองตาเขียวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนในเมืองรู้จักตนอยู่ไม่น้อย เพราะมีอาชีพรับของป่าจากหมู่บ้านต่างๆ มาขาย หากเรื่องนี้ถูกผู้คนเข้าใจผิด แล้วตนจะทำงานต่อไปอย่างไร “หมายความว่าที่ผ่านมาเจ้าคดโกงข้า วันนี้หากข้าไม่มารับเงินกับลูกสาวด้วยมือของข้าเอง ก็หารู้ไม่ว่าเจ้าโกงเงินข้าทุกเดือน เร่เข้ามา… มาดูคนหน้าด้านโกงได้แม้กระทั่งเงินอีแปะ” นางเซี่ยแผดเสียงออกไปเพื่อต้องการให้ทุกคนมามุงและสนใจ “นี่เจ้า….” ท่านลุงไท่ชี้หน้านางเซี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็หันไปสบตากับเซี่ยซือมั่น เพื่อต้องการให้นางพูดและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่เคยคิดที่จะเปิดดูถุงผ้านั้นว่ามีเงินอยู่จำนวนเท่าใด เพราะความสงสารหญิงสาวที่จากบ้านมาทำงานไกลถึงในเมือง อยู่กินตัวคนเดียวเป็นสาวเป