ด้านฟ่านหลิ่นนั้น เขามาตามที่เย่หลิงนัดหมายเอาไว้ แต่ทว่ารอแล้วรอเล่ากลับไม่พบแม้แต่เงาของเย่หลิง ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อย คาดว่านางคงจะกลัวถูกบิดาจับได้จึงหนีกลับจวนไปแล้วสินะ เด็กดื้อ เอาเถิด ไว้เขาค่อยหาโอกาสแอบไปหานางอีกสักครา ครั้งหน้าจะนำขนมที่นางชอบไปมอบให้นางได้ลองลิ้มชิมรสด้วย
เมื่อเดินมาเรื่อย ๆ ก็ได้พบเจอผู้คนประปราย ฟ่านหลิ่นก็คิดว่าจะเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยง แต่ในขณะที่เขากำลังเดินกลับไป ระหว่างทางก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่เดินมาพร้อมสาวใช้ ท่าทางของนางดูร้อนรนไม่น้อยเลย เขาจำได้ว่านางคือเย่ฮูหยินมารดาของเย่จิ้นอันและเย่หลีนั่นเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงเดินเข้าไปหานางทันที
"เย่ฮูหยิน ไม่ทราบว่าท่านหาสิ่งใดอยู่หรือ เหตุใดจึงดูร้อนใจเช่นนี้เล่า"
เย่ฮูหยินเมื่อเห็นฟ่านหลิ่นก็รีบทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ย
"ทูลคังอ๋อง ก่อนหน้านี้หลีเอ๋อร์บอกว่าจะมาที่ห้องปลดทุกข์ นางออกมาพร้อมสาวใช้ นี่ก็ผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้วนางยังไม่กลับมาเลย หม่อมฉันเกรงว่านางจะซุกซนจนสร้างเรื่อง จึงออกมาตามหาเพคะ ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงเห็นบุตรสาวของหม่อมฉันบ้างหรือไม่"
ฟ่านหลิ่นขมวดคิ้วมุ่น พลางคิดทบทวนแล้วพูดขึ้นมาว่า
"หลังจากที่นางมามอบของขวัญให้ข้า ข้าก็ไม่เห็นนางอีกเลย จวนของข้ามีการคุ้มกันค่อนข้างปลอดภัย เย่ฮูหยินไม่ต้องกังวล ข้าจะให้สาวใช้ออกตามหาพวกนางสองคน ท่านวางใจเถิด"
เย่ฮูหยินพยักหน้า ฟ่านหลิ่นสั่งให้สาวใช้ไปตามหาเย่หลี ในขณะที่เขาและเย่ฮูหยินเองก็ช่วยกันเดินตามหาเย่หลีเช่นเดียวกัน
ไม่รู้ว่ามีคนปากเปราะผู้ใดกันที่ไปบอกคนในงานว่าเย่หลีและสาวใช้หายตัวไป คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นก็รีบออกมาดูสถานการณ์ทันที มีไม่น้อยที่เต็มใจช่วยตามหา แม่ทัพใหญ่เย่และเย่จิ้นอันเมื่อได้ยินว่าอยู่ ๆ เย่หลีหายตัวไปก็ร้อนใจขึ้นมาทันที รีบมาช่วยกันตามหานางเช่นเดียวกัน
ฟ่านจิ้งที่เพิ่งสร่างเมา เมื่อเขาหันไปมองก็ไม่พบกับฟ่านเฉินพี่ชายเสียแล้ว จึงออกตามหาคิดว่าจะชวนพี่ชายกลับจวนไปพร้อมกัน แต่กลับพบว่าในงานเลี้ยงตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย เมื่อสอบถามก็ได้ความว่าคุณหนูเย่หายตัวไปพร้อมสาวใช้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะเดินไปตามหาฟ่านเฉิน เดินมาเรื่อย ๆ ก็มาพบกับฟ่านหลิ่นที่เดินมาพร้อมกับเย่ฮูหยิน
"น้องสามเจ้ามาทำอันใด หากเมาก็ไปนอนเถิด ข้าจะให้สาวใช้เตรียมที่นอนให้เจ้า"
ฟ่านจิ้งส่ายหน้าไปมา แล้วกล่าวขึ้นว่า
"ข้ามาตามหาพี่รอง เขาบอกว่าจะมาเดินเล่นรับลมที่ท้ายจวนที่นั่นบรรยากาศดีลมเย็นสบาย ว่าแต่พวกท่านหาคุณหนูเย่เจอแล้วหรือ ข้าได้ยินคนเขาพูดกันว่านางหายไปพร้อมกับสาวใช้"
ฟ่านจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนร้อนอกร้อนใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของสาวใช้ดังขึ้น รวมไปถึงเสียงของผู้คนที่เอ่ยซุบซิบกันไปต่าง ๆ นานา เย่ฮูหยินรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงรีบเดินไปดูทันที
ภาพที่เห็นทำเอานางแทบล้มทั้งยืน แม้แต่แม่ทัพใหญ่เย่และเย่จิ้นอันก็ยังหน้าชาอับจนถ้อยคำในทันที
ในเรือนเล็กท้ายจวนคังอ๋อง ยามนี้มีร่างของบุรุษและสตรีสองคนกำลังนอนกอดรัดกระหวัดนัวเนียกัน เป็นฟ่านเฉินกับเย่หลี!
คนทั้งสองนอนกอดรัดกันอยู่บนพื้น เย่หลีมีเพียงผ้าคลุมกายบาง ๆ เท่านั้น ตามแขนและขาที่ขาวนวลเนียนมีรอยสีแดงเป็นจ้ำ ๆ ส่วนฟ่านเฉินนั้นตามลำคอก็มีรอยแดงและรอยเล็บเช่นเดียวกัน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนทั้งสองทำสิ่งใดกันก่อนหน้านี้!
เย่ฮูหยินเป็นลมล้มพับไปในทันทีแม่ทัพเย่รีบเข้าไปประคองภรรยาตน ส่วนเย่จิ้นอันนั้นก็รีบเข้าไปหาน้องสาวก่อนจะถอดชุดคลุมมาคลุมร่างของเย่หลีเอาไว้
"หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์เจ้ารีบตื่นสิ!"
เย่หลีเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกนางก็สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมาเจอเย่จิ้นอัน หญิงสาวปวดหนึบไปทั่วทั้งตัว นางเอ่ยถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้า
"พี่ใหญ่ เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ได้ คังอ๋องเล่า"
เย่จิ้นอันปั้นหน้าไม่ถูก เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ปริปาก เย่หลีก็ขมวดคิ้ว นางพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่เมื่อก้มลงมองก็พบว่าเสื้อผ้าตนเองกระจัดกระจายอยู่บนพื้น นางย่นหัวคิ้วก่อนจะหันมองไปโดยรอบ
ยามนี้มีคนมุงดูและมองนางอย่างดูถูกดูแคลน บ้างก็เอ่ยกระซิบกระซาบนินทานางว่าหน้าไม่อาย เย่หลีใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง นางหันมองซ้ายขวา ก่อนจะหยุดอยู่ที่ร่างของฟ่านเฉิน
ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย เขานอนอยู่ข้างนาง มือข้างหนึ่งยังวางอยู่บนเอวบางของนาง อีกทั้งที่ชายเสื้อสีขาวของเขายังมีรอยเลือดจาง ๆ อยู่ด้วย ไม่ต้องบอกนางก็พอจะรู้ว่ารอยเลือดนั่นมันมีต้นตอมาจากที่ใด
เย่หลีเอ่ยวาจาใดไม่ออก นางนึกย้อนไปว่าก่อนหน้านี้นางและเขาเข้ามาในห้องและได้กลิ่นกำยานประหลาด
ไม่จริง!
นางแตกตื่นลนลานมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่ยืนมองดูนางพร้อมกับย่นหัวคิ้ว
"ไม่จริง ไม่จริง อ๊า!"
เย่หลีกรีดร้องออกมาสุดเสียง ปลุกให้ฟ่านเฉินที่กำลังนอนหลับไปเพราะหมดแรงสะดุ้งตื่นขึ้นมา ชายหนุ่มหันมามองก่อนจะพบกับเย่หลีที่จ้องตนเขม็ง ดวงตาของนางแดงก่ำ ใบหน้าเย็นเยียบราวกับจะพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาได้ทุกเมื่อ
เขาไม่ใช่คนโง่ ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าคาดว่าตอนนี้ไม่ได้กลายเป็นเรือเขาและนางคงจะกลายเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองฟ่านหลิ่นที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะกัดฟันกรอด
เป็นแผนของฟ่านหลิ่นคนสารเลวจริง ๆ! เบื้องหน้าแสร้งทำเป็นคนดี แต่กลับตลบหลังเขา ทั้งวางยาและพาคนมาดูพวกเขาทำเรื่องเช่นนั้นกัน ให้เขาและเย่หลีอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเช่นนี้!
ฟ่านหลิ่นรีบสั่งให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกลับจวนตนเองไปก่อน ก่อนจะไปคนเหล่านั้นยังซุบซิบกันว่าเย่หลีหน้าไม่อาย ได้ยินว่าเพราะพลาดหวังจากคังอ๋องไปไม่นาน ก็คิดจะจับองค์ชายรองช่างน่าหน้าด้านหน้าหนาโดยแท้
เมื่อคนจากไปหมดแล้ว เย่หลีก็หันมามองฟ่านเฉิน ก่อนจะเอ่ย
"คนสารเลว ไหนท่านบอกว่าทุกอย่างจะราบรื่น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เพราะเหตุใด!"
นางพุ่งเข้าไปดึงทึ้งศีรษะของฟ่านเฉินอย่างไม่ออมมือ ฟ่านเฉินเจ็บจนต้องรวบแขนของนางและกดนางลงบนพื้น
"ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ มีคนคิดตลบหลังพวกเรา!"
"เป็นเพราะท่าน ท่านวางแผนเอาไว้แล้ว เพื่อให้ข้าหลงกลท่าน สารเลว ท่านมันตัวบัดซบ ปล่อยข้า!"
ฟ่านหลิ่นไม่เข้าใจในสิ่งที่คนทั้งสองพูด เขารีบสั่งให้คนไปแยกฟ่านเฉินและเย่หลีออกจากกัน
เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ฟ่านเฉินก็เดินจากไป ก่อนจากเขาหันมามองนาง เห็นเพียงหญิงสาวตรงหน้าจ้องมองเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ส่วนเย่หลีเองก็เอาแต่กรีดร้องด้วยความเคียดแค้น เมื่อกลับมาถึงจวนผู้ใดถามสิ่งใดนางก็ไม่ยอมบอก แม่ทัพใหญ่เย่จึงเรียกเถาเป่ามาถามก็ไม่ได้ความอันใดเลยแม้แต่น้อย
ฟ่านหลิ่นเองก็ให้คนสืบหาต้นตอของเรื่องทั้งหมดแต่ก็ไม่พบสิ่งใดเช่นกัน
ด้านสาวใช้ที่โดนฟ่านเฉินตีจนสลบก่อนหน้านี้นั้น ก็ได้สติฟื้นตื่นเดินหายไปก่อนหน้าที่ฟ่านหลิ่นและเย่ฮูหยินจะมาถึงแล้ว เรื่องนี้จึงไม่อาจสืบความใดได้อีก
ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อได้ทราบเรื่องบัดสีที่เกิดขึ้นก็พิโรธไม่น้อย ถึงกับเรียกฟ่านเฉินมาสั่งสอนหลายประโยค และบอกให้เขารับเย่หลีเข้าจวนเป็นพระชายาเอกเสีย
เดิมทีเขาไม่อยากให้บุตรสาวทั้งสองคนของสหายรักแต่งกับบุตรชายทั้งสองพร้อมกัน เพราะไม่อยากให้เกิดการแย่งอำนาจและแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่ครั้งนี้มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ
เมื่อเย่หลีแต่งให้ฟ่านเฉินแล้ว แน่นอนว่าเย่หลิงย่อมไม่อาจแต่งเข้ามาเป็นชายารองของฟ่านหลิ่นได้อีก อย่างไรเสียก็เป็นแค่บุตรอนุผู้หนึ่ง เชิดหน้าชูตาไม่ได้อยู่แล้ว ฟ่านหลิ่นย่อมต้องเข้าใจเขา
เมื่อฟ่านหลิ่นได้ทราบเรื่องก็เสียใจเป็นอย่างมาก เขารีบร้อนแอบมาหาเย่หลิงกลางดึก นางเองไม่ต่อว่าเขาและเข้าใจเขาดี ฟ่านหลิ่นให้คำมั่นสัญญาว่าวันใดที่เขาได้เป็นฮ่องเต้วันนั้นเขาจะมารับนางเข้าวัง เมื่อเป็นฮ่องเต้แล้วย่อมไม่มีใครมาบังคับเขาได้ แต่ยามนี้นางคงต้องรอไปก่อน เย่หลิงเองก็สัญญาว่านางจะไม่แต่งให้บุรุษอื่น ชาตินี้จะรอเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
สวีกุ้ยเฟยที่ทราบเรื่องก็ปลอบบุตรชายตนไม่ให้โมโหไปมากกว่านี้ ยามนี้ไม่อาจแก้ไขทำได้เพียงยอมรับ ถือซะว่าเก็บนางเป็นหมากเอาไว้ข้างกาย เผื่อวันหน้าจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ ฟ่านเฉินกลับมาที่จวน เขานอนครุ่นคิดไม่ตก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมันจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้
แรกเริ่มเขาไม่อยากจะใช้นางเป็นหมาก แต่สถานการณ์จวนตัวทำให้ต้องดึงนางเข้ามาพัวพันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ก็แค่สตรีเจ้าอารมณ์ผู้หนึ่ง นางไม่สามารถก่อคลื่นลมใดให้เขาได้อยู่แล้ว วันหน้าค่อยขังนางเอาไว้ก็ไม่เป็นอันใด แต่ทว่าแผนกลับพังไม่เป็นท่า เขาและนางต้องกลายมาเป็นสามีภรรยากัน
ฟ่านเฉินหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะหวนคิดถึงอดีตเมื่อหลายปีก่อน
ยามนั้นเขามีอายุเพียงเก้าขวบปี เสด็จพ่อพาเขามาเที่ยวเล่นที่ค่ายทหารพร้อมกับฟ่านหลิ่น เขาเดินไปทั่วจนพลัดหลงกับแม่นมซุกซนปีนต้นไม้จนพลัดตกต้นไม้มา ร้องไห้โยเย และมีหญิงสาวตัวน้อยที่เดินเข้ามาหาเขา นางบอกว่าเขาช่างอ่อนแอยิ่งนัก ตกต้นไม้เพียงเท่านี้ก็ร้องไห้เสียแล้ว แม้ปากจะด่าว่าแต่กลับช่วยเข้ามาพยุงเขาเดินไป และใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดเลือดบนหัวเข่าให้เขา
นางคือเย่หลี
เขารู้ว่านางจำเขาไม่ได้แล้ว ยามนั้นนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นองค์ชาย หลังจากช่วยเขาและพาเขามานั่งใต้้ต้นไม้และทำแผล นางเห็นว่าเขาปลอดภัยแล้วจึงยิ้มตาหยีและมอบผ้าเช็ดหน้าให้เขาเอาไว้เช็ดแผล ไม่นานก็มีแม่นมมาตามนางให้กลับไปหาท่านพ่อและเรียกนางว่าคุณหนูเย่หลี
เขาจำได้ไม่เคยลืม
หลังจากนั้นเขาและนางก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เขาได้ยินเพียงว่านางก่อเรื่องไม่เว้นวันเท่านั้น ชื่อเสียงของนางก็ไม่ได้ดีเท่าใดนัก เพราะเขาถูกเสด็จพ่อสั่งให้เล่าเรียนอย่างหนักจึงไม่ได้หาโอกาสไปดูนางสักครา จนกระทั่งวันที่ฟ่านหลิ่นจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งคังอ๋อง เขาจึงได้พบกับนาง
ช่างงดงามเฉิดฉาย งามเสียจนเขาละสายตาไปจากนางไม่ได้
เพราะรู้ว่าเป็นนางเขาจึงไม่อยากดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะให้ทำเช่นไรได้เล่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ระหว่างเขาและนางอย่างไรเสียก็ต้องเดินมาถึงจุดนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!
ฟ่านเฉินแค่นเสียงเย็นออกมา ไม่คาดคิดว่าเมื่อเติบโตขึ้นนางจะร้ายกาจเจ้าแผนการเช่นนี้
เย่หลี หากระหว่างเจ้าและข้าเราทั้งสองเป็นเพียงคนธรรมดาคงจะดีไม่น้อย หากข้าไม่ใช่องค์ชายรองและเจ้าไม่ใช่บุตรสาวแม่ทัพใหญ่ที่เป็นก้างชิ้นโตขวางทางอำนาจข้าจะดีเพียงใดกันนะ หากเป็นเพียงคนธรรมดาเราจะเดินมาสู่เส้นทางของการหลอกใช้ซึ่งกันและกันเช่นนี้หรือไม่
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม