หลายวันมานี้ เย่หลีอาละวาดเกรี้ยวกราดอย่างหนัก นางเอาโทสะไปลงกับสาวใช้ และยังคิดจะหาเรื่องเย่หลิง จนแม่ทัพใหญ่เย่ต้องจับนางขังเอาไว้ นานวันเข้าเย่หลีก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะอาละวาดอีก นางเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญและด่าทอฟ่านเฉินไม่หยุด
สุดท้ายแล้วแม้เย่หลิงจะไม่ได้แต่งกับฟ่านหลิ่น แต่ตัวเย่หลีก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก นางไม่อาจกลับไปหาฟ่านหลิ่นได้อีกแล้ว อำนาจที่นางปรารถนายามนี้กลายเป็นเพียงหมอกจาง ๆ ที่สลายหายไปไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้ให้นางไขว่คว้าได้อีก
งานแต่งถูกกำหนดมาแล้ว แม้จะไม่อยากแต่งแต่เมื่อเป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทย่อมไม่อาจขัดขืน หลายวันต่อมา เมื่อถึงฤกษ์ดีวันแต่งงาน เย่หลีถูกเย่ฮูหยินปลุกให้ลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้าตรู่ นางเหมือนศพไร้วิญญาณ ใบหน้าเฉยชา ดวงตาว่างเปล่า เย่ฮูหยินแม้จะไม่ยินดีที่บุตรสาวทำตัวเช่นนั้น แต่อย่างไรนี่ก็คือบุตรสาวของนางย่อมไม่อาจเกลียดชังบุตรีของตนได้ ทำได้เพียงปลอบใจเท่านั้น
งานสมรสนี้ไม่ได้สร้างความดีใจและเบิกบานให้แก่คนตระกูลเย่เลยแม้แต่น้อย แม่ทัพใหญ่เย่เองก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เขาทั้งสงสารเย่หลีและรู้สึกผิดต่อเย่หลิง เหตุใดชะตาชีวิตของบุตรสาวทั้งสองของเขาจึงเดินมาถึงจุดนี้ได้
ขมขื่น ฝืดเฝื่อน และมีแต่ความทุกข์ตรม
เย่หลีถูกรับตัวไปที่จวนองค์ชายรอง ครั้งนี้นางพาเถาเป่าติดตามไปรับใช้ด้วย ทุกอย่างจัดขึ้นอย่างสมฐานะของนาง แต่ทว่านางกลับไม่รู้สึกปลาบปลื้มยินดีเลยแม้แต้น้อย
นางไม่ยินดีเลย!
ทุกอย่างผิดแผนไปหมด ต้องเป็นแผนการของฟ่านเฉิน เขาหลอกใช้นาง เขาไม่รักษาสัญญา
ฟ่านเฉินยามนี้สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงใบหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ในใจของเขาขมฝาดเหลือเกิน ความรู้สึกมากมายกระทบกระเทือนจิตใจของเขาไม่หยุด มันมีทั้งความรู้สึกยินดีและไม่ยินยอมตีกันอยู่ภายในใจของเขา
เขายินดีที่ได้พบเจอสตรีวัยเด็กผู้นั้นอีกครา สตรีที่อยู่ในใจของเขาผู้นั้น
แต่เขาไม่ยินยอมที่จะแต่งกับนาง ไม่อยากให้วาสนาด้ายแดงนี้ผูกมัดเขาและนางจนไปไหนไม่ได้อีก
เพราะเขารู้ดีว่า จุดจบระหว่างเขาและนางจะเป็นเช่นไร
ในเมื่อรู้จุดจบแล้ว มิสู้อย่าผูกวาสนากันจะดีกว่า เมื่อถึงวันที่ลงมือเขาจะได้ไม่รู้สึกผิดอันใด
งานสมรสนี้สวีกุ้ยเฟยมาเป็นประธานในพิธี นางเพียงมองดูลูกสะใภ้ตนแวบหนึ่งและมิได้กล่าวสิ่งใด ก่อนจะจากไปยังเอ่ยว่าให้คนทั้งสองครองรักกันนาน ๆ
งานเลี้ยงดำเนินต่อไป จนกระทั่งแขกเหรื่อกลับไปหมดแล้ว ฟ่านเฉินจึงเดินเข้ามาหาเย่หลีที่นั่งอยู่ในห้องหอ เมื่อสาวใช้เห็นว่าองค์ชายรองมาแล้วก็พากันล่าถอยออกไป ชายหนุ่มปรายตามองสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตนแวบหนึ่ง นางกำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยแววตาที่เรียบเฉยว่างเปล่า เมื่อเขามองไปที่พื้นก็พบกับผ้าคุลมหน้าเจ้าสาวที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ กองอยู่บนพื้น ก่อนจะถอนหายใจยาว ๆ ออกมา
ชายหนุ่มก้มลงไปเก็บผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ บนพื้นหมายจะโยนมันไปให้พ้นสายตา แต่ทว่าเขากลับรู้สึกว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังขยับกายพุ่งตรงเข้ามาหาเขา สัญชาตญาณการป้องกันตนเองบอกให้เขาระวังตัว ฟ่านเฉินรีบหันไปมองก่อนจะพบว่าเย่หลียามนี้กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาจริง ๆ ในมือของนางมีมีดสั้นเล่มหนึ่ง นางหมายจะสังหารเขาในคืนเข้าหอ!
แต่ฟ่านเฉินรวดเร็วยิ่งกว่า เขาคว้าจับข้อมือของนางเอาไว้ได้ทัน ส่วนมืออีกข้างก็รวบตัวนางเข้ามา เย่หลีจ้องมองฟ่านเฉินด้วยความเกลียดชัง พลางพูดขึ้นว่า
"วันนี้ข้าจะเอาเลือดท่านมาล้างความอัปยศในใจข้าให้ได้!"
ฟ่านเฉินส่งเสียงเหอะ ตะคอกเสียงเข้ม
"เจ้าลงมือผิดคนแล้วเย่หลี!"
เย่หลีเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะเอ่ยกับเขา
"คนสารเลว คนบัดซบ ท่านหลอกใช้ข้า ท่านหลอกให้ข้าตกหลุมพรางใช่หรือไม่!"
นางเค้นถามเขาด้วยน้ำเสียงที่จงเกลียดจงชัง ฟ่านเฉินจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่ละสายตาแล้วจึงอ้าปากตอบนางด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"เจ้าเองก็หลอกใช้ข้าเช่นกันไม่ใช่หรือ เย่หลี"
เย่หลีพลันชะงักไปชั่วขณะ แววตาวูบไหวไปมา
"คิดว่าข้าไม่รู้หรือ หากเจ้าได้สมปรารถนากับฟ่านหลิ่นแล้ว เจ้าเองก็คงไม่ปล่อยข้าไปเช่นกัน ถูกไหม"
"ท่านก็ไม่เคยคิดจะปล่อยข้าเหมือนกัน! ท่านคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ บอกมา!"
"ใช่ ข้าไม่เคยคิดจะปล่อยเจ้า แต่ข้าไม่เคยคิดว่าเราจะมาอยู่ด้วยกันในสภาพนี้ ข้าไม่เคยอยากแต่งกับเจ้า ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมด
ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้ข้าก็จะบอกเจ้าให้ วันนั้นที่หอเซียนสุราเมามาย ที่ข้าบอกเจ้าว่าข้าชอบน้องสาวเจ้า ข้าโกหก ข้าไม่เคยชอบนาง เพียงใช้นางหลอกล่อเจ้าเท่านั้น
เพราะเจ้าคือหมากตัวสำคัญในแผนการนี้ เมื่อทุกอย่างที่ข้าต้องการสำเร็จลุล่วง ข้าไม่เคยคิดจะปล่อยคนตระกูลเย่ไป แต่ในเมื่อวันนี้เจ้าแต่งเข้ามาเป็นภรรยาข้าแล้ว ข้าก็จะให้ของขวัญเจ้า หากถึงเวลานั้นเจ้าว่าง่ายสักหน่อย บางทีข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป ไม่ฆ่าเจ้าและคนตระกูลเย่ก็ได้"
“สารเลว! นี่ท่านคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ ข้าจะไปบอกให้ท่านพ่อรู้ ท่านอย่าหวังเลยว่าจะทำสำเร็จ!"
"คนที่รู้เรื่องของข้าไม่มีวันก้าวออกไปจากจวนข้าได้ และไม่มีสิทธิ์มีชีวิตอยู่ต่อ ในเมื่อเจ้ากับข้าลงเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้าจงทำตัวให้ดี!"
"อ๊า! ข้าเกลียดท่าน ฮือ ข้าเกลียดท่านได้ยินหรือไม่ฟ่านเฉิน ข้าทั้งเกลียด ทั้งขยะแขยง อยากจะสับท่านเป็นหมื่นเป็นพันชิ้น!"
เย่หลีจะพยายามทำร้ายเขา ฟ่านเฉินบิดข้อมือนางจนมีดในมือกระเด็นไปไกล เย่หลีร้องไห้จนหมดแรง นางล้มลงไปนั่งบนพื้น ก่อนจะปล่อยโฮออกมา ยามนี้นางไม่อาจได้ดั่งใจปรารถนาอีกแล้ว อีกทั้งไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะอยู่รอดได้อีกหรือไม่
นางไม่ควรร่วมมือกับเขาเลย
ฉับพลันคำเตือนที่เย่จิ้นอันพี่ชายเตือนนางเอาไว้ก็ย้อนกลับมา ยามนั้นนางไม่เชื่อ คิดว่าจะเป็นฝ่ายควบคุมเขาได้ แต่ยามนี้กลับกลายเป็นนางที่ถูกเขาควบคุมเสียเอง
ที่สำคัญนางกลับทำได้เพียงมองดูคนตระกูลเย่ทั้งตระกูลกำลังเดินไปสู่เหวลึกเพราะความอวดดีของตนเอง
เมื่อเห็นว่าเย่หลีร้องไห้ไม่เป็นผู้เป็นคน ใจของฟ่านเฉินก็บีบรัด แต่เพียงชั่วครู่เขาก็ทำให้มันสงบลง เขาทิ้งกายลงนั่งตรงหน้านาง ก่อนจะยื่นมือไปเชยปลายคางของนางให้เงยหน้าขึ้นมามองเขา
"เย่หลี เจ้าไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว จงอยู่อย่างสงบ บางคราข้าอาจจะเหลือทางรอดให้เจ้าได้"
"ถุย!"
เย่หลีถ่มน้ำลายใส่หน้าฟ่านเฉินอย่างไม่เกรงกลัว ฟ่านเฉินพยายามระงับอารมณ์ ก่อนจะสั่งให้คนจับตาดูนางให้ดี ส่วนเขานั้นไปนอนที่ห้องหนังสือ
เมื่อได้อยู่เพียงลำพัง ฟ่านเฉินก็ยกมือขึ้นกุมหน้าผากตนคราหนึ่ง ก่อนจะสบถออกมา
เป็นเพราะนางทุกอย่างที่เขาคิดมันจึงผิดแผนไปหมด!
เหลือทางรอดให้นางอย่างนั้นหรือ
เมื่อถามใจดูแล้วกลับได้คำตอบว่า
เขาทำใจสังหารนางได้ลงคอจริงหรือ!
เวรกรรมอันใดกัน จึงทำให้เขาเกิดผูกพันกับสตรีชั่วร้ายเช่นนี้ได้
ที่มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า เราเป็นเช่นไรก็จะดึงดูดคนประเภทเดียวกันให้เข้ามาหาเรา มันคงเป็นเรื่องจริงสินะ!
นับตั้งแต่วันนั้นเขาและนางก็เหมือนศัตรูคู่อาฆาต นางเจอเขาก็มีแต่พุ่งเข้ามาจะทำร้าย เขาทนไม่ไหวจึงสั่งขังนางเอาไว้ มีสาวใช้คอยปรนนิบัติรับใช้ มีอาหารให้กิน ไม่ได้ทรมานนาง แต่ทุก ๆ วัน ฟ่านเฉินมักจะได้ยินว่ามีบ่าวรับใช้หามศพสาวใช้ออกมาจากเรือนที่เย่หลีอยู่อยู่เป็นประจำ
นางใจดำอำมหิตเกินคนไปแล้ว!
เขาไม่มีเวลามาสนใจนางมากนัก ยามนี้เสด็จพ่อทรงประชวรหนัก คนในวังหลวงต่างรู้กันดี ทว่านอกวังกลับยังไม่มีข่าวคราวเผยแพร่ออกมา เพราะหนิงฮองเฮาสั่งให้คนปิดเรื่องนี้เอาไว้ ห้ามแพร่งพรายให้คนภายนอกรับรู้เป็นอันขาด
ใกล้ถึงเวลาที่เขาจะลงมือแล้ว!
วันนี้ฟ่านเฉินเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อมาเยี่ยมดูอาการป่วยของฮ่องเต้ ระหว่างทางเขาได้พบกับชินอ๋องฟ่านหรงโดยบังเอิิญ
ชินอ๋องฟ่านหรงคือเสด็จอาของเขา เป็นน้องชายต่างมารดาของฮ่องเต้ ชินอ๋องฟ่านหรงเกิดจากนางสนมที่ไม่ได้มีตำแหน่งสูงศักดิ์อันใด แต่เพราะมีความชอบช่วยออกรบจนได้รับบาดเจ็บ ขาพิการไม่อาจเดินเหินได้สะดวก ฮ่องเต้จึงอนุญาตให้เขาไม่ต้องมาร่วมประชุมยามเช้า และยังให้เบี้ยหวัดเช่นเดิมเพราะเคยทำความดีความชอบแก่บ้านเมือง
แม้จะพิการแต่ยังมาเยี่ยมฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายและภักดีเป็นอย่างมาก
ฟ่านหรงคืออีกคนที่เขาเก็บเอาไว้ไม่ได้!
สองอาหลานเอ่ยทักทายกันตามประสา ก่อนจะแยกย้ายกันไป
อาการประชวรของฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นยังคงไม่สู้ดีเท่าใดนัก เหล่าขุนนางต่างตกถกเถียงกันไปต่าง ๆ นานาว่า อีกไม่นานอาจจะเกิดการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ขุนนางต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีไม่น้อยที่เข้าหาฟ่านเฉิน แต่ส่วนใหญ่ล้วนเข้าหาฟ่านหลิ่นเสียมากกว่า
ในวังหลวงเกิดการคานอำนาจกันอย่างลับ ๆ
และในขณะเดียวกัน ยามนี้ก็มีข่าวลือหนึ่งกำลังแพร่สะพัดไปถ้วนทั่วในหมู่ชนชั้นสูงและขุนนาง สร้างความตื่นตระหนกตกใจไม่น้อยเลย
นั่นก็คือข่าวการสลับตัวบุตรสาวภายในจวนตระกูลเย่!
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม