วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่จวนคังอ๋องจัดงานเลี้ยงวันประสูติครบรอบอายุยี่สิบเอ็ดปี ฟ่านหลิ่นสั่งให้คนเตรียมสุราอาหารอย่างดีมาให้ทุกคนได้ดื่มกิน ครั้งนี้ฮ่องเต้และหนิงฮองเฮาให้คนนำของมีค่ามากมายส่งมาที่จวนคังอ๋องของเขา
งานเลี้ยงในครั้งนี้จัดขึ้นในยามเย็นเพราะอากาศกำลังดีและไม่ร้อนอบอ้าว ไม่นานก็มีคนเดินทางมาร่วมงานมากมาย ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้คนนำจดหมายไปมอบให้เย่หลิง และนางเองก็ได้ปักถุงหอมที่งดงามประณีตมาให้เขาชิ้นหนึ่ง ข้างในยังใส่เครื่องหอมที่มีกลิ่นหอมสบายมาให้เขาอีกด้วย นางบอกว่านางไม่มีของมีค่าใดจะมอบให้เขา นางมีเพียงถุงหอมและหัวใจที่มั่นคง เขาดีใจยิ่งนัก เขาไม่สนใจว่านางจะมอบสิ่งใดให้ ขอเพียงเป็นของของนางเขาล้วนชื่นชอบทั้งหมด
ฟ่านเฉินมาร่วมงานพร้อมฟ่านจิ้ง ยามนี้น้องชายตัวดีของเขานั้นได้ดื่มสุราจนเมามายไปเสียแล้ว เขาเองไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก แต่ไหนแต่ไรฟ่านจิ้งก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ชายหนุ่มเดินตรงไปหาฟ่านหลิ่น ก่อนจะมอบของขวัญให้พี่ชายของตน
"ขอให้เสด็จพี่มีความสุขไร้กังวล นี่เป็นของที่เสด็จแม่ให้ข้านำมามอบให้ท่าน"
ฟ่านหลิ่นมองดูของขวัญในมือของฟ่านเฉิน ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย และยื่นมือมารับของไปเก็บเอาไว้ เขามองน้องชายตรงหน้าด้วยแววตาที่เอื้อเอ็นดูและไม่ได้เคลือบแฝงด้วยความไม่ชอบใจเลยแม้แต่น้อย เขาจำได้ว่าวัยเยาว์ฟ่านเฉินชอบเขามาก มักจะมาเล่นที่ตำหนักของเขา เพราะที่ตำหนักของเขามีตำรามากมาย ฟ่านเฉินชอบอ่านตำรา อีกทั้งยังตัวติดกับเขาเป็นอย่างยิ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นฟ่านเฉินอายุสิบขวบ และฟ่านจิ้งที่อายุแปดปี ได้เดินซุกซนเข้าไปในห้องเก็บตำราเก่า ๆ ท้ายวังหลวง แล้วเผลอทำเชิงเทียนหล่นจนเกิดเพลิงไหม้ ฟ่านเฉินหมดสติอยู่ในกองไฟ เขาเป็นคนช่วยน้องรองและน้องสามออกมา และเพราะครั้งนั้น ทำให้ที่แขนซ้ายของเขามีรอยแผลที่เกิดจากการถูกไฟคลอกเพราะช่วยน้องชายทั้งสอง
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นับจากวันนั้นฟ่านเฉินก็ไม่มาหาเขาอีก เมื่อเริ่มโตขึ้น ฟ่านเฉินกลับหมางเมินเขา อีกทั้งยังมองเขาเป็นศัตรู อีกทั้งยังบอกว่า คนที่ช่วยตนจากไฟไหม้ก็คือน้องสาม ไม่ใช่เขา เขาต่างหากที่ต้องการให้ฟ่านเฉินตายในกองไฟ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเรื่องราวมันจึงกลายเป็นเช่นนี้ เขาเสียใจมากและไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเช่นไร เพราะฟ่านเฉินเองก็ไม่เคยมาหาเขาอีก
แม้จะไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่เขาก็รักพี่น้องทุกคน ไม่เคยคิดจะสังหารหรือทำร้ายเลยแต่น้อย
“เสด็จพี่ท่านมัวเหม่อมองสิ่งใดอยู่หรือ”
เสียงของฟ่านเฉินทำให้ฟ่านหลิ่นได้สติ เขามองน้องชายตนและยิ้มอย่างอ่อนโยน
"ขอบคุณน้องรองมาก"
"ไม่รบกวนให้คังอ๋องผู้สูงส่งลดตัวมาขอบคุณหรอกพ่ะย่ะค่ะ"
ฟ่านเฉินเอ่ยวาจาเหน็บแนมฟ่านหลิ่นพร้อมกับยิ้มอย่างดูแคลน แต่ฟ่านหลิ่นกลับไม่โกรธ ยิ่งฟ่านหลิ่นไม่แสดงท่าทีโกรธเคืองฟ่านเฉินก็ยิ่งเกลียดชังท่าทางเช่นนี้ของเขามากขึ้นไปอีก
วางท่าเป็นคนดีไปเถิด!
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องสนทนากันต่อแล้ว ฟ่านเฉินจึงกลับมานั่งที่ข้างกายฟ่านจิ้งที่ยามนี้เมามายไปเสียแล้ว เขารักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ฟ่านจิ้งไร้เดียงสา ทั้งยังจิตใจดี เขาจะต้องปกป้องน้องชายเอาไว้ให้ได้
ชายหนุ่มมองไปโดยรอบอย่างเบื่อหน่าย ไม่นานนักก็เห็นว่าคนคุ้นเคยมาถึงแล้ว
เย่หลี!
เย่หลีวันนี้นางแต่งกายงดงามเด่นสะดุดตาเป็นอันมาก ฟ่านเฉินเหมือนถูกนางดึงดูดจนละสายตาไม่ได้ เมื่อนางก้าวเข้ามาในงานบุรุษทุกคนล้วนมองนางอย่างไม่ละสายตา ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกไม่ชอบใจที่เห็นบุรุษเหล่านั้นจ้องมองนาง
เย่หลีมองไปโดยรอบก่อนที่ดวงตาคู่งามจะหยุดอยู่บนร่างของเขา นางหันมาสบตากับเขาคราหนึ่ง ฟ่านเฉินยกจิกสุราขึ้นดื่มก่อนจะเลิกคิ้วมองนางตอบเช่นเดียวกัน คนทั้งสองสบประสานสายตากัน ก่อนที่นางจะแยกไปอีกทางเพื่อพบกับฟ่านหลิ่น
งานเลี้ยงดำเนินไปเรื่อย ๆ ยิ่งยามค่ำก็ยิ่งคึกคัก วันนี้ฟ่านหลิ่นสั่งให้คนพาคณะนางรำเลื่องชื่อจากหอสุราเซียนเมามายมาแสดงถึงในจวนคังอ๋อง เย่หลีเพียงเมียงมองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะมองไปที่ท่านพ่อและเย่จิ้นอันที่ยามนี้กำลังสนทนากับสหายและดื่มสุราไปไม่น้อย นางหันมามองมารดาตนที่นั่งอยู่ข้างกาย พลางกระซิบกับมารดาว่า
"ท่านแม่ ข้าปวดเบายิ่งนักเจ้าค่ะ ข้าอดกลั้นจวนจะไม่ไหวแล้ว ไม่เช่นนั้นจะขายหน้าเอาได้"
เย่ฮูหยินเมื่อได้ยินก็กังวลไม่น้อย จวนอ๋องคนพลุกพล่านยิ่ง ทั้งไม่เคยมาจึงรีบสั่งความกับเถาเป่าทันที
"เจ้าพาคุณหนูไปหาที่ปลดเบา ลองถามสาวใช้ในจวนคังอ๋องดูว่าห้องปลดทุกข์อยู่ที่ใด แล้วรีบกลับมาเล่า"
“เจ้าค่ะนายหญิง"
เย่หลีฉีกยิ้มให้มารดาแล้วบอกว่าเสร็จธุระจะรีบกลับมา เดินมาไม่นานก็พบกับสาวใช้ในจวนคังอ๋อง สาวใช้เมื่อได้ยินว่าเย่หลีต้องการปลดเบาก็รีบอาสานำทางไปในทันที
ด้านฟ่านหลิ่นนั้นก็ได้รับจดหมายจากเย่หลิง นางบอกว่านางแอบตามท่านพ่อมาที่จวนของเขาเพราะอยากพบเขา ให้เขามาพบนางที่ศาลาริมสระน้ำด้านหลังจวนคังอ๋องได้หรือไม่
ฟ่านหลิ่นยิ้มเต็มใบหน้า ก่อนหน้านี้เขาแอบไปพบนางที่จวนตระกูลเย่ และบอกนางว่าที่ศาลาริมสระน้ำมีดอกมู่ตานแบ่งบานงดงามยิ่งนักไว้มีโอกาสเมื่อแต่งงานกันแล้วเขาจะพานางมาร่วมชื่นชม ไม่คิดว่านางจะใจร้อนถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบไปทันที
ด้านเย่หลีเมื่อเดินมาไม่นาน ก็มีเงาสายหนึ่งพุ่งผ่านนางไปที่สาวใช้จวนอ๋องนั้นด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะลงมือตีนางจนสลบและลากไปไว้ในพุ่มไม้ด้านข้าง เมื่อเย่หลีหันไปมองก็พบว่าเป็นฟ่านเฉินนั่นเอง
เถาเป่าตกใจคิดจะร้องเรียกให้คนช่วย แต่กลับถูกเย่หลียกมือฟาดเข้าที่แผ่นหลังจนนางสลบล้มลงไปนอนที่พื้นหญ้าอีกคน เย่หลีหันไปสบตากับฟ่านเฉิน ก่อนจะมองซ้ายมองขวาและเอ่ยกับเขาว่า
"ท่านมาได้อย่างไรกัน ไหนบอกว่าจะทำตามแผน ให้ข้าหาทางไปที่เรือนเล็กท้ายจวนอ๋องอย่างไรเล่า"
ฟ่านเฉินเองก็มองไปโดยรอบอย่างระแวดระวังเช่นเดียวกัน ก่อนจะเดินเข้ามาดึงแขนของเย่หลีให้ตามเขาไปอีกทาง เย่หลีคิดจะสะบัดมือออกแต่นางสู้แรงเขาไม่ไหว ฟ่านเฉินพานางมาที่เรือนหลังเล็ก ก่อนจะปิดประตู เย่หลีมองเขาอย่างระแวดระวัง รีบร้อนถามขึ้นว่า
"ไหนบอกมาสิ ว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เหตุใดไม่ทำตามแผน ท่านบอกว่าจะพาฟ่านหลิ่นมาหาข้ามิใช่หรือ จากนั้นให้ข้าใช้ผงยาปลุกกำหนัดกับเขา แล้วท่านจะไปพาคนมาพบเจอข้ากับเขาสองคนอยู่ด้วยกัน"
ฟ่านเฉินมองเย่หลี แล้วกล่าวว่า
"เปลี่ยนแผน แผนก่อนหน้าค่อนข้างไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะมีคนมากเกินไป ย่อมเป็นที่ผิดสังเกต"
"แล้วจะทำเช่นไร"
"ข้าจะให้เจ้าไปพบเขาที่ศาลาริมน้ำ แกล้งสวมรอยเป็นเย่หลิง จากนั้นเจ้าก็ใช้ผงยาปลุกกำหนัดสาดใส่ใบหน้าของเขา เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว การจัดฉากที่นี่ดูจงใจเกินไป ฟ่านหลิ่นไม่ใช่คนโง่เขาอาจไม่หลงกลโดยง่าย ข้านัดเขาไปที่ศาลาริมสระน้ำแล้ว เจ้าก็รีบไปเถิด"
ฟ่านเฉินบอกเล่าแผนการใหม่ให้เย่หลีฟัง แผนนี้เสด็จแม่เป็นคนออกอุบายให้เขา นางบอกว่าต้องทำให้เหมือนดูไม่เป็นการจงใจ อีกทั้งหากฟ่านหลิ่นขัดขืนด้วยสภาพของเขาที่ถูกวางยาปลุกกำหนัดย่อมไม่อาจทนไหวและอาจจะฉุดรั้งกับเย่หลีจนพากันตกสระน้ำไปเอง เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปแล้วอย่างไรย่อมไม่อาจปฏิเสธการแต่งงานได้
เย่หลีมองฟ่านเฉินด้วยแววตาที่ล้ำลึก แล้วกล่าวว่า
"ท่านนี่ช่างฉลาดในการวางแผนได้ดีจริงเชียว ถึงกับปลอมลายมือของเย่หลิงได้เหมือนจนฟ่านหลิ่นเชื่อ"
"ข้าย่อมต้องมีแผนสำรองอยู่แล้ว เจ้ารีบไป ยามนี้ฟ่านหลิ่นคงไปถึงศาลาริมสระน้ำแล้ว"
"ได้"
เย่หลีพยักหน้า ทว่านางยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากห้องก็ได้กลิ่นแปลก ๆ ภายในห้อง หญิงสาวย่นคิ้ว ก่อนจะหันมาพูดกับฟ่านเฉิน
"องค์ชายรอง ท่านได้กลิ่นแปลก ๆ หรือไม่ กลิ่นเหมือนกำยาน แต่มันหอมแปลก ๆ”
ฟ่านเฉินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทางตื่นตระหนก ชายหนุ่มสอดส่ายสายตามองหาต้นตอของกลิ่นกำยานนั้น ก่อนจะพบกับกำยานที่ถูกจุดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ได้ ดูเหมือนแรกเริ่มที่เข้ามากลิ่นจะยังไม่แรงเท่าใดนัก แต่ตอนนี้กลิ่นกลับเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
แย่แล้ว!
"เย่หลี เจ้ารีบออกไป!"
"อืม โอ๊ย!"
อยู่เย่หลีก็เวียนศีรษะร่างกายซวนเซทรงตัวไม่อยู่ เพราะได้กลิ่นกำยานนั่นนางจึงรู้สึกว่าสมองมึนงง ยิ่งได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของฟ่านเฉินนางกลับยิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งสรรพางค์กายอย่างไม่อาจควบคุม
ด้านฟ่านเฉินเองก็ไม่ต่างกัน เขารู้สึกว่าเริ่มจะควบคุมตนเองไม่ได้ ยิ่งอยู่ใกล้และแนบชิดกับเย่หลีเช่นนี้เขาก็เริ่มร้อนไปทั่วทั้งร่างกาย
ชายหนุ่มสบถออกมา นี่เขาหลงกลหรือ ใครกันที่ซ้อนแผนของเขา!
หรือว่าฟ่านหลิ่นรู้ตัวแล้วซ้อนแผนจัดการเขา!
คนทั้งสองคิดจะผละออกจากกัน แต่กลับทำไม่ได้ เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ อาการของคนทั้งสองก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เย่หลีควบคุมตนเองไม่อยู่แล้ว นางโผเข้าไปจูบฟ่านเฉินอย่างเร่าร้อน ฟ่านเฉินเองเมื่อถูกนางรุกล้ำเช่นนี้สติก็ขาดสะบั้น คนทั้งสองโผเข้าหากันอย่างหื่นกระหาย ไฟแห่งความปรารถนาลุกโชติช่วงไม่อาจสะกดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
เขาและนางมีความสัมพันธ์กันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย!
ฟ่านเฉินพานางไปไหว้หลุมศพของหยางกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาหลังจากแต่งงานกันได้ไม่นาน อีกทั้งยังขอให้พระนางอวยพรให้เขาและนางใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น มีสายลมพัดเข้ามาแผ่วเบาราวกับว่าหยางกุ้ยเฟยรับรู้ถึงคำขอของนางและฟ่านเฉินแล้วเดิมทีฟ่านเฉินตั้งใจว่าจะเอาเลือดของสวีกุ้ยเฟยมาเซ่นสังเวยหลุมศพมารดา แต่เมื่อได้คิดอีกคราเขากลับพบว่าตนเองคิดถูกที่ไม่ทำเช่นนั้น เพราะเสด็จแม่เองก็คงไม่ต้องการให้เลือดชั่วของสวีกุ้ยเฟยมาแปดเปื้อนหลุมศพของนาง!หนึ่งปีแรกหลังจากแต่งงาน เย่หลียังคงไม่ตั้งครรภ์ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาและนางเลยแม้แต่น้อย นางไม่มีแม่สามีคอยกดดัน อีกทั้งพ่อสามีก็ไม่เร่งรัดนางจากนั้นไม่นาน เย่หลีก็ได้เอ่ยถามฟ่านเฉินว่าเขาคิดจะถอนพิษให้ไป๋ซู่ฮวาหรือไม่ ยามนี้แผนการก็สำเร็จลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ควรจะเมตตานางเสียหน่อย แต่ฟ่านเฉินกลับไม่ตกลงทำตามที่นางบอก เขาเอ่ยว่าไป๋ซู่ฮวากลับมาแล้วยังไม่รู้จักประมาณตน ปล่อยไว้ย่อมเป็นภัย ให้นางเป็นใบ้ไปชั่วชีวิตเช่นนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่ก่อคลื่นลมให้เขาและนางต้องปวดหัวได้อีก เย่หลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอันใดส่วนเย่หลิงนั้นนางได้แต่งงานกับหวังฉงคน
เมื่อทุกอย่างจบลง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือการปลอบขวัญกำลังใจเหล่าทหารกล้า พวกเขาทุกคนช่วยกันนำศพไปฝังเพราะอย่างไรเสียคงไม่อาจนำศพของพวกเขากลับบ้านเกิดได้อีกแล้ว เหล่าชาวบ้านก็ล้มตายไปไม่น้อยที่เหลือรอดก็มีอยู่ไม่มากและยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฟ่านหลิ่นและฟ่านเฉินจึงสั่งให้ทหารช่วยดูแลชาวบ้านและปลอบขวัญพวกเขาจนมีอาการดีขึ้นเวลาผ่านมาร่วมหลายวัน คนทั้งหมดก็เดินทางกลับเมืองหลวง อย่างไรเสียย่อมต้องกลับไปรายงานความดีความชอบนี้ให้ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นได้ทราบเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นค่อยจัดการหารือกันภายหลังระหว่างที่เดินทางกลับนั้นเย่หลีนั่งรถม้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยนางนั้น เดิมทีเย่หลีไม่ได้คิดจะพานางติดตามกลับเมืองหลวงมาด้วย แต่เพราะสตรีนางนั้นบอกว่าไม่มีที่ไปแล้ว เย่หลีสงสารจึงรับนางเอาไว้และตั้งชื่อให้ว่าอาหลวนเดินทางมาจนถึงจุดพักม้าอย่างไรย่อมต้องหยุดพักเสียหน่อยเพราะอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงและยามนี้ม้าก็อ่อนแรงลงไปไม่น้อยแล้ว ทางการรีบจัดที่พักให้พวกเขาและดูแลเรื่องอาหารอย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เย่หลีได้พักที่เรือนรับรองที่สะดวกสบายที่สุด เดิมทีเรือนนี้คนของท
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เย่หลีตื่นขึ้นมา ก็พบว่าฟ่านเฉินรวมถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ออกรบกับแคว้นฉีอีกครั้งแล้วเมื่อคืนนี้หลังจากปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นางก็กลับมาพักยังที่พักของตน ยามนอนหลับนางฝันดีตลอดทั้งคืนในขณะที่เย่หลีเพิ่งจะกินมื้อเช้าเสร็จและเดินออกมาภายนอกกระโจมก็พบว่ายามนี้ภายในค่ายทหารกำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกหามเข้ามาคนแล้วคนเล่า บางคนถูกธนูยิงจนทะลุหน้าอก บางคนแขนขาด บางคนเลือดไหลโทรมกาย ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวไม่น้อยเลย สาวใช้น้อยข้างกายของนางถึงกับเบือนหน้าหนีไม่กล้ามองเพราะหวาดกลัวเย่หลีย่นหัวคิ้ว ไม่คิดว่าทหารของแคว้นซ่งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ นางมองไปโดยรอบก่อนจะพบกับฟ่านหลิ่นที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที"คังอ๋อง เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ"ฟ่านหลิ่นมองเย่หลีก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีเท่าใดนัก"เสด็จอาเล่นลูกไม้สกปรก ลอบส่งทหารไปซุ่มโจมตีทหารของพวกเราจากที่ลับ ก่อนหน้านี้ก็ส่งคนมาเผาเสบียงอาหาร อีกทั้งยังใช้ดินประสิวระเบิดภูเขาทำให้ก้อนหินร่วงลงมาทับทหารของแคว้นซ่งตายไปหลายพันนาย สถานกา
ฟ่านเฉินรีบหันกลับมามองก่อนจะต้องตกตะลึงอยู่เช่นนั้น เขาคิดว่าตนเองคงจะฝันไป แต่เมื่อได้เห็นว่ายามนี้สตรีตรงหน้ากำลังแย้มยิ้มให้เขา เขาจึงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นนางจริง ๆเย่หลีมองพิจารณาบุรุษตรงหน้า ยามนี้เขายังคงดูหล่อเหลาเช่นเดิม แต่ทว่าผิวกลับคล้ำลงไปไม่น้อย ดูคมเข้มชวนมองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"เจ้ามาได้เช่นไร"ฟ่านเฉินเอ่ยถามเย่หลีด้วยความสงสัย เขาเองก็มองนางอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน แม้ยามนี้ผิวของนางจะดูคล้ำลงแต่ความงามนั้นไม่ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อยเย่หลียิ้มก่อนจะตอบ"ข้าก็เดินทางมากับขบวนเสบียงน่ะสิ มาพร้อมพี่ชายของท่าน"เมื่อได้ยินว่าเย่หลีมาพร้อมกับฟ่านหลิ่น ในใจของฟ่านเฉินก็พลันขมขื่นขึ้นมา นางมาพร้อมพี่ชายของเขา ไม่คิดว่าเวลาเพียงไม่นานความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้วที่นางเคยบอกว่าไม่ชอบพี่ชายเขา คงเป็นเพราะนางจะยังไม่รู้หัวใจตนเองใช่หรือไม่ เมื่อรู้แล้วนางจึงเลือกพี่ชายของเขาอย่างไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าฟ่านเฉินเอาแต่เงียบ เย่หลีก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย อันใดกัน ไม่เจอกันนานก็ไม่มีเรื่องจะสนทนากันแล้วหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยถามเขาอีกครั
เย่หลีนั่งอยู่ในเรือนนั้นอีกสักพัก ก่อนที่นางจะตัดสินใจเรื่องราวบางอย่างได้ ก่อนกลับนางได้บอกกับอาหลันว่าให้นำชุดแต่งงานสองชุดนั้นส่งกลับไปให้นางที่จวนตระกูลเย่ด้วย อาหลันรับคำ เย่หลีพยักหน้ารับก่อนจะกลับจวนของตนไปเมื่อเย่หลีกลับมาที่จวนนางก็จัดการล้างหน้าของตนให้สะอาด ทำเหมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เช้าวันต่อมานางก็ได้ยินข่าวหนึ่ง นับว่าเป็นข่าวดีของแคว้นซ่ง เมื่อมีจดหมายจากชายแดนว่าครั้งนี้ได้รับชัยชนะต่อเนื่องกัน พวกกบฏแคว้นฉีระส่ำระสาย เรื่องนี้สร้างความดีใจต่อฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าหากฟ่านเฉินกลับมาอาจจะมอบตำแหน่งดี ๆ ใหบุตรชาย เพราะยามนี้เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันว่าคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทก็คือหลิงอ๋อง เพราะการศึกที่ชนะได้ในครั้งนี้เก้าในสิบส่วนเพราะเป็นความปรีชาสามารถของหลิงอ๋องแต่ทว่านอกจากจดหมายของทางการทหารแล้ว กลับมีจดหมายของฟ่านเฉินแนบมาด้วย เมื่อเขาเปิดออกก็ถึงกับทอดถอนใจออกมาฟ่านเฉินบอกว่าไม่ต้องการตำแหน่งใดทั้งสิ้นเพราะหลังจบสงครามก็จะไม่ขอกลับเมืองหลวงอีก จะใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนเยี่ยงคนธรรมดาสามัญ นับแต่นี้ท่องเที่ยวไปทั่วใต้หล้า ไม่
"พี่สาวท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ"เย่หลีที่กำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยพลันได้สติกลับคืนมาเมื่อเย่หลิงเอ่ยถามตน นางหันไปยิ้มให้น้องสาวก่อนจะส่ายหน้าไปมา แล้วจึงเอ่ยกับเย่หลิง"ข้าจะไปหาที่เดินเล่นสงบใจเสียหน่อย อีกไม่นานจะกลับมา""เจ้าค่ะ"เย่หลีเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเถาเป่า เดิมทีนางอยากนั่งอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ ๆ นางจึงอยากจะเดินเล่นรอบ ๆ จวนองค์ชายรองที่ยามนี้กลายเป็นจวนหลิงอ๋องเสียหน่อย"เจ้าไม่ต้องตามข้ามา รออยู่ตรงนี้ก็พอ""เจ้าค่ะคุณหนู"เถาเป่าพยักหน้ารับเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งเจ้านาย เย่หลีเดินตามทางมาเรื่อย ๆ ยามนี้โดยรอบจวนอ๋องมีดอกไม้และใบไม้เขียวชอุ่มให้ความรู้สึกที่สบายตาไม่น้อยเลย สายลมพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของนางเล็กน้อย เย่หลีมองไปโดยรอบด้วยแววตาที่วูบไหว อยู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าอยู่ที่ด้านหน้าเรือนแห่งหนึ่งมันคือเรือนที่นางเคยอยู่ในชาติก่อนที่จวนแห่งนี้เดิมทีมีแต่ความทรงจำที่ขมขื่นและเจ็บปวดมากมาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงอยากจะมองมันให้ชัดเจนอีกสักคราราวกับว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางจะได้เยียบย่างเข้ามาในที่ที่เป็นความหลังแห่งนี้ราวกับภา
เวลาผ่านมาร่วมหลายวัน ในที่สุดอาการบาดเจ็บของฟ่านเฉินก็หายดีจนเป็นปกติ เพราะได้รับบาดเจ็บระยะนี้จึงได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องเข้าร่วมประชุมยามเช้าที่วังหลวงหลังจากกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาที่วังหลวงเพื่อเยี่ยมเยือนบิดา ฮ่องเต้ฟ่านหมิงจิ้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่เป็นอันใดแล้วก็ดีใจไม่น้อย ฟ่านเฉินอยู่สนทนากับบิดาต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับเมื่อเดินออกมาแล้ว เขากลับยังไม่ได้ออกจากวังหลวง ชายหนุ่มเดินตรงมาที่คุกหลวงซึ่งเป็นสถานที่กักขังสวีกุ้ยเฟยเอาไว้ นางยังไม่ถูกลงโทษ เพราะเสด็จพ่อเดิมทีก็เหมือนจะมีเยื่อใยต่อนางอยู่ไม่น้อยเขาเดินเข้ามาในคุกหลวงที่มืดมิด ได้กลิ่นสาบจาง ๆ โชยมาต้องนาสิกเป็นระยะ แต่ทว่าชายหนุ่มกลับหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเดินตรงมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องขังห้องหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปก็พบกับสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่ ใบหน้าของนางที่เคยงดงามยามนี้แก่ชราลงไปหลายปี ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เมื่อได้ยินเสียงห้องขังเปิดออกนางจึงหันมามอง เมื่อพบว่าเป็นฟ่านเฉิน นางก็รีบลนลานเข้ามากอดเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เฉินเอ๋อร์ ช่วยแม่ด้วย ได้โปรดช่วยแม่ด้วย
ยามนี้ฟ่านเฉินกำลังควบม้ามุ่งหน้าตรงมาที่จวนของฟ่านหรง เมื่อมาถึงเขาก็สั่งให้คนค้นทั่วทั้งจวน หลังจากสำรวจโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมาคาดเดาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลสวีก่อนหน้านี้จะต้องเป็นฝีมือของฟ่านหรงถึงสิบส่วน คนของเขาบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนสวีกุ้ยเฟยคลุ้มคลั่งแทบเสียสติเพราะตราคำสั่งทางทหารของบิดานางหายไป เขาเคยเห็นตราสั่งการทางทหารนั้นมาก่อน ย่อมจำได้เป็นอย่างดี การที่ฟ่านหรงหนีไปครั้งนี้ย่อมไม่ได้หนีไปตัวเปล่า แต่เขานำกองกำลังนั้นไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมอันตรายมากยิ่งนักเมื่อเขาออกมาจากจวนฟ่านหรงก็พบกับเย่จิ้นอันที่ควบม้าตามมา ชายหนุ่มมองฟ่านเฉินครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"องค์ชายรอง คนเล่า เขาหนีไปได้เช่นไร เห็นอยู่ว่าพิการเช่นนั้นไปแล้ว"ฟ่านเฉินมองเย่จิ้นอันก่อนจะเอ่ยตอบ"ถึงเขาจะพิการ แต่คนของเขาฝีมือไม่ได้ด้อย ข้าเชื่อว่าเขาต้องหนีไปพร้อมกับตราคำสั่งทางทหารของสวีกุ้ยเฟย อีกทั้งการที่ทหารในค่ายถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของเขารวมไปถึงการที่จวนตระกูลสวีเกิดเหตุในคืนนั้นก็เป็นฝีมือเขาด้วยเช่นกัน""เกิดการหักหลังกันเช่นนั้นหรือ""ถูกต้อง"เ
ฟ่านเฉินเกรงว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายทำให้เขารับมือไม่ได้ จึงบอกให้เย่จิ้นอันจับตาดูฟ่านหรงเอาไว้เย่จิ้นอันพยักหน้ารับคำ เอ่ยปากอำลากลับมาที่จวนของตนเรื่องนี้เขาได้ปรึกษากับบิดาก่อนหน้านี้แล้ว ท่านพ่อเองก็คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ อีกอย่างค่ายทหารที่ฟ่านเฉินบอกก็เป็นความจริง ชายหนุ่มนั่งสนทนากับบิดา ก่อนจะเอ่ย"ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ความฝันของหลีเอ๋อร์เหมือนจะเป็นจริงหลายส่วน แต่ว่าไม่ตรงกับฟ่านเฉิน เขาไม่ได้เลวร้ายหรือคิดแย่งบัลลังก์ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร"แม่ทัพใหญ่เย่มีท่าทางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า"บางทีความฝันก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เอาเถิด เจ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำก็ทำอย่างรอบคอบ หากต้องการความช่วยเหลือพ่อจะคอยช่วยเจ้าอีกแรง ไว้จับคนร้ายได้เมื่อไหร่และเปิดโปงคนชั่วได้สำเร็จ คาดว่าเรื่องนี้คงจะทำให้ฝ่าบาทปวดหัวไม่น้อยเลย เรื่องนี้พ่อไม่ได้ทูลฝ่าบาทเพราะเกรงว่าอาจกระทบกับแผนการที่พวกเจ้าลงมืออยู่ แต่อย่างไรพ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ”"ขอรับท่านพ่อ"เย่จิ้นอันพยักหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา ระหว่างทางได้พบกับเย่หลีที่เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนใหญ่พอดี สองพี่น้องยิ้ม