แชร์

บทที่ 1.3 ชีวิตใหม่ข้าขอกำหนดเอง

ผู้เขียน: ชงเมิ่ง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-13 15:15:04

บทที่ 1.3

ชีวิตใหม่ข้าขอกำหนดเอง

หลังจากที่หลอกล่อให้ซ่งหานลู่กินซาลาเปาจนหมดลูก ซ่งไป๋ลู่ก็เปิดประตูบ้านออกมาดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อพบว่าตลอดริมรั้วหน้าบ้านล้วนมีกิ่งกุหลาบปักชำเอาไว้ ไม่ต้องเอ่ยถามก็รับรู้ได้ว่าทั้งหมดนี่ล้วนเป็นฝีมือ ซ่งต้าลู่

“พี่ใหญ่ ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ”

ทั้งที่เป็นเพียงเด็กชายวัยสิบสี่ปี แต่กลับต้องเลี้ยงดูน้องทั้งสองคน ทั้งยังต้องคอยทำงานให้ญาติผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวอย่างซ่งหลี่เถียน ช่างแบกภาระไว้เกินตัวจริงๆ

“ขอเพียงเจ้ารู้ความเช่นนี้ ข้าย่อมไม่เหนื่อย”

รู้ความ คำพูดนี้ใช่หมายถึงซ่งไป๋ลู่ในอดีตที่วันๆ เอาแต่กิน นอน ข่มเหงรังแกซ่งหานลู่จริงๆ หรือไม่

“ตอนบ่ายข้าจะพา น้องรองออกไปทำนาด้วยกันจะได้ไม่รบกวนเจ้า”

ซ่งไป๋ลู่พยักหน้ารับคำ ยามเมื่อสองพี่น้องออกไปแล้วนางก็ลงมือเกี่ยวหญ้งหลังบ้านต่อแม้จะทำได้ไม่เร็วมากนักแต่รวมๆ แล้วก็กว้างยาวถึงด้านละสามผิน (1 ผิง=3.3 เมตร) เลยทีเดียว

มือเรียวยกขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าออก เกลี่ยหญ้าที่นางเกี่ยวเมื่อครู่ให้กระจายตัวตากแดดเอาไว้ ยามที่แห้งดีค่อยเก็บเอาไว้ใช้งานต่อ

ดวงตากลมหันกลับมามองบ้านที่นางและพี่น้องแซ่ซ่งทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกัน แม้ตัวบ้านจะยังพอกันฝนกันลม แต่บนหลังคาหลายแห่งก็รั่วซึม ซ่งไป๋ลู่พอจะมีความรู้เรื่องการซ่อมแซมบ้านอยู่บ้างดังนั้นสิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องเร่งซ่อมแซมบ้านหลังนี้ก่อนที่สายฝนจะกระหน่ำลงมา

และหลังจากนั้นสิ่งที่นางต้องจัดการก็คือกักตุนเสบียง

ความโชคดีหนึ่งเดียวของซ่งไป๋ลู่ก็คือนางเข้ามาในนิยายช่วงต้นฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะแก่การเพาะปลูก และถัดไปจากนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ยังพอมีเวลาให้นางได้เก็บเกี่ยวผลผลิตกักตุนเอาไว้ใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาว เพียงแต่เมื่อมองไปยังห้องครัวที่มีเพียงสี่เสาตั้งหลังคอก็ถอนหายใจยาว

ชีวิตใหม่ในนิยายนี้ของนางอัตคัดเกินไปหรือไม่

ยามเย็นซ่งต้าลู่กลับมาพร้อมกับข้าวเปลือกหนึ่งถุงและฝักทองแก่ลูกใหญ่

“ท่านป้าชุนให้มาหรือ”

ซ่งไป๋ลู่เอ่ยถามซ่งหานลู่โดยที่สายตาจ้องมองไปยังซ่งต้าลู่ที่กำลังเทข้าวเปลือกใส่ครกไม้ใบใหญ่เพื่อตำแยกเอาข้าวสารออกมา

“ท่านป้าชุนเห็นว่าป้าใหญ่เอาเงินค่าจ้างไปหมดจึงมอบข้าวเปลือกกับฟักทองให้เราแทน”

เด็กน้อยเอ่ยตอบอย่างใสซื่อ ในใจของซ่งไป๋ลู่จดจำหญิงแซ่ชุนผู้นี้ไว้ในใจทันที ภายหน้านางย่อมตอบแทนอีกฝ่ายอย่างดี เช่นเดียวกับซ่งหลี่เถียนท่านป้าใหญ่ผู้นั้นนางย่อมตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสาสม

“พี่ใหญ่แกลบข้าวนั่นเก็บไว้ให้ข้าได้หรือไม่”

ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนา แกลบพวกนี้นอกจากเอาไปทิ้งเป็นปุ๋ยก็ไม่มีประโยชน์ใดอีก เมื่อน้องสาวเอ่ยขอเขาจึงกวาดใส่ตระกร้าเอาไว้ให้นาง

“หากท่านปลอกฝักทองแล้วเก็บเมล็ดของมันไว้ให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ”

“น้องรองเจ้าจะปลูกฟักทองหรือ”

“เจ้าค่ะ”

ซ่งต้าลู่ยิ้มกว้าง เรื่องปลูกฟักทองเขาเองก็คิดไว้เช่นกัน เพราะอย่างไรก็ไม่อาจเอาท้องไปผูกไว้กับท่านป้าใหญ่ใจแคบผู้นั้น การดิ้นรนหาทางรอดไว้ให้ตนเองย่อมดีที่สุด เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าน้องสาวของเขาก็มีความคิดถึงอนาคตเช่นกันในใจของเขาก็ยินดียิ่งนัก

“อ่อ... ข้าหายดีแล้วอยากออกไปวิ่งเล่นบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ”

วิ่งเล่น เมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยคำนี้ความภาคภูมิใจเรื่องที่นางมีความคิดเมื่อครู่ก็พลันจางหายไปในทันที ถอนหายใจยาวพยักหน้ารับแล้วหันไปสบสายตาที่สิ้นหวังของน้องคนเล็ก

ดูแล้วซ่งหานลู่ที่อายุเพียงห้าขวบยังมีความคิดมากกว่านางเสียอีก

“พี่ใหญ่ ท่านอย่าตำหนิพี่รองเลยรออีกปีสองปีพี่รองต้องคิดได้แน่นอน”

ซ่งหานลู่มองตามแผ่นหลังเล็กของพี่สาวที่เดินเข้าบ้านไปแล้วเอ่ยบอกพี่ชายของตนเสียงหนักแน่น หลายวันมานี้เขาสัมผัสได้ว่าพี่สาวของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม และที่สำคัญเป็นการเปลี่ยนไปในทางที่ดี ดังนั้นเขามั่นใจว่าอนาคตพี่สาวของเขาย่อมต้องพึ่งพาได้แน่นอน

“เย็นมากแล้วเจ้าไปก่อไฟ ข้าจะหุงข้าว”

“ขอรับ”

เช้าวันต่อมาหลังจากที่สองพี่น้องพากันออกจากบ้านไปช่วยคนบ้านตระกูลชุนทำนา ซ่งไป๋ลู่ก็หยิบเคียวไปเกี่ยวหญ้าที่ด้านหลังบ้าน และเพราะวันนี้นางลงมือตั้งแต่เช้า ผ่านไปครึ่งวันที่ดินหนึ่งในสามก็โล่งเตียน แน่นอนว่าครั้งนี้ย่อมไม่อาจปกปิดสองพี่น้องแซ่ซ่งได้อีก

“เหตุใดงานหนักเช่นนี้จึงลงมือเอง”

ซ่งต้าลู่เอ่ยเสียงดุเมื่อจับมือเล็กมาดูแล้วพบรอยแตกบนฝ่ามือ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่น

“ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือเจ้ายังเด็กเกินกว่าจะใช้ของมีคม”

“พี่ใหญ่... ข้าทำดีขนาดนี้ท่านไม่ชมยังดุข้าอีกหรือ”

ซ่งไป๋ลู่เห็นเด็กชายดุนางก็จำใจใช้มารยาเด็กน้อยแง่งอนใส่เขา อย่างไรเสียตอนนี้นางก็เป็นเด็กหญิงสิบขวบจะคิดเหตุผลมากมายไปทำไม ใบหน้ากลมเบนหลบหน้าพี่ชายพยายามถลึงตาเอาไว้จนแดงก่ำยามที่น้ำตาเอ่อคลอก็หันมาเบ้ปากใส่คนเป็นพี่

“พี่ใหญ่ ท่าน... ดุข้า”

และก่อนจะถูกจับได้ว่าเสแสร้งซ่งไป๋ลู่ก็ชิ่งวิ่งหนีเข้าบ้านซุกตัวในผ้าห่มผืนเก่า ใช้มือเล็กโบกพัดดวงตาเรียกน้ำตาออกมา

“น้องรองข้าไม่ได้ตั้งใจดุเจ้า”

“ใช่แล้วพี่รอง ท่านเก่งมาก เก่งมากๆ พี่ใหญ่อยากชมท่านแต่แค่พูดไม่เก่งเท่านั้น”

เป็นเจ้าก้อนแป้งวัยห้าขวบที่ช่างเจรจาเกินวัย อีกทั้งยังปีนขึ้นเตียงมาใช้แขนเล็กของตัวเองกอดคนใต้ผ้าห่ม

“พี่รองของข้าโตแล้ว เก่งมากด้วย ข้าดีใจที่สุด”

ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำป้อยอปลอบโยนของเด็กน้อยก็อดที่จะขบขันไม่ได้ หากแต่ให้อย่างไรก็ต้องเสแสร้งให้มาก เล่นให้ใหญ่เข้าไว้ หัวกลมๆ ค่อยๆ ออกมาจากผ้าห่มใช้ดวงตาที่แดงก่ำจ้องมองพี่ชายตัวผอมสูงตรงหน้า

“พี่ใหญ่ ท่านไม่ดุข้าแล้วใช่หรือไม่”

“เป็นข้าผิดเอง คืนนี้ข้าจะออกไปตกปลามาทำน้ำแกงปลาให้เจ้ากิน”

ซ่งไป๋ลู่ส่ายหน้าไปมา เด็กชายผู้นี้ทำงานหนักมาทั้งวัน หากยังให้เขาออกไปตกปลาตอนกลางคืนอีกนางก็ใจร้ายเกินคนไปแล้ว

“คืนนี้ข้าอยากนอนกอดท่านกับน้องเล็ก”

“ได้พวกเราสามคนนอนกอดกัน”

ซ่งหานลู่เอ่ยบอกเสียงก้อง ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างขณะที่คนเป็นพี่ชายคนโตกลับใบหน้าซีดเผือดมองเตียงเล็กที่คาดว่าคงรับน้ำหนักพวกเขาสามคนไม่ไหวแน่นอน

ซ่งไป๋ลู่ย่อมมองสายตาของอีกฝ่ายออกหากแต่ไม่คิดจะโต้แย้งอะไร เตียงเล็กนอนไม่พอนางก็แค่ลงไปนอนกับพวกเขาสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างพี่น้องเอาไว้ ภายหน้าหากนางถูก

เมิ่งเฟยอวี่พระเอกของนิยายเรื่องนี้สังหารก็ยังมีคนทำศพเผากระดาษเงินกระดาษทองให้นาง ไม่กลายเป็นศพไร้ญาติ วิญญาณไร้มิตร

“รอได้เตียงที่กว้างกว่านี้พวกเราค่อยนอนด้วยกัน”

ซ่งต้าลู่เอ่ยตอบเสียงราบเรียบ และสุดท้ายให้คืนนั้นซ่งไป๋ลู่ใช้วิธีใด แผ่นหลังของพี่ชายก็ยังคงแนบอยู่บนพื้นบ้านเช่นเดิม

ช่างเป็นเด็กใจแข็งไม่น้อย

...................................................

ใช้เวลาอยู่สามวันในที่สุดที่ดินสามหมู่หลังเรือนก็โล่งเตียน ทว่าที่ทั้งหมดสำเร็จได้อย่างรวดเร็วนั้นล้วนเพราะซ่งต้าลู่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง จัดการช่วยเกี่ยวหญ้าหลังเรือน พอฟ้าสางก็เข้าครัวต้มข้าวให้น้องๆ ทั้งสอง ยามสายก็พาซ่งหานลู่ออกไปทำนาด้วยกัน

ซ่งไป๋ลู่ถอนหายใจยาว มองท้องฟ้าที่หมุนเวียนมาครึ่งเดือน หากจะบอกว่านี่เป็นความฝันก็ช่างเป็นยาวนานนัก เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือความฝัน ยามนี้นางก็ไม่อาจอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เรื่องราวชะตาชีวิตดำเนินไปตามนิยายเช่นเดิมได้อีก

ข้าจะเปลี่ยนแปลงชะตานางร้ายตัวประกอบผู้นี้เอง

แน่นอนว่าจะเปลี่ยนแปลงชะตาในอนาคต นางต้องลงมือสร้างตัวในปัจจุบันให้มั่นคง สร้างชีวิตให้ก้าวหน้าเสียก่อน หางตามองไปที่กล้ามันเทศข้างบ้าน

ท่านป้าชุนบอกว่ามันเทศพวกนี้เป็นของดีที่ลูกชายของนางได้มาจากจวนเจ้าเมืองราคาในตลาดสูงมากทีเดียว

ริมฝีปากเล็กยิ้มกว้าง เช่นนั้นก็เริ่มจากการทำสวนมันเทศนี่ก่อนก็แล้วกัน มือเล็กหยิบจอบไปขุดขึ้นแปลงที่ริมรั้ว หักกิ่งมันเทศที่แก่กำลังดีปักชำลงดินแล้วปูโคนด้วยหญ้าแห้ง ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยามก็แล้วเสร็จ

ใบหน้ากลมแหงนมองตะวันที่เคลื่อนตัวขึ้นสูง วันนี้นางบอกกับซ่งต้าลู่ว่าจะออกไปเดินเล่น เขาไม่ต้องกลับมากินข้าวเที่ยงกับนาง แม้ครั้งแรกซ่งต้าลู่จะเป็นไม่ยินยอม ทว่ายามเห็นดวงตาที่แดงก่ำของคนเป็นน้องก็ใจอ่อนยอมทำตามอย่างว่าง่าย

นี่นับเป็นท่าไม้ตายของนางเลยทีเดียว

มันเทศต้องใช้เวลาร่วมสามถึงสี่เดือนจึงสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไปขายได้ ดังนั้นตอนนี้ซ่งไป๋ลู่จำต้องหารายได้จากทางอื่นก่อน มือเล็กหยิบตะกร้าหาบใบเล็กใส่บ่าแล้วเดินออกจากบ้าน ที่ด้านหลังหมู่บ้านมีภูเขาใหญ่อยู่ ในช่วงนี้เป็นฤดูร้อนผลท้อและบ๊วยป่ากำลังเริ่มสุก ทว่าชาวบ้านกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกย่อมไม่มีใครสนใจผลท้อป่าเหล่านี้ นี่ไม่นับเป็นโอกาสที่ดีของนางหรือไร

ดวงตากลมมองลูกท้อมากมายอย่างตื่นตาตื่นใจ คิดถึงวิธีการแปลรูปหลากหลายอย่างในหัว ทว่าในครัวของนางมีเพียงเตาถ่านเก่าๆ กับกะทะแตกหัก เรื่องจะเอาผลท้อเหล่านี้ไปแปลรูปเก็บไว้กินในฤดูหนาวล้วนเป็นสิ่งที่เกินตัวทั้งสิ้น เพียงแต่แปลรูปเป็นของกินไม่ได้แต่แปลรูปเป็นเงินนั้นไม่น่าจะยากเกินไป

เด็กน้อยเขย่งตัวเด็ดผลท้ออย่างทุลักทุเล ทว่าสุดท้ายก็สามารถเก็บผลท้อได้เต็มตะกร้า เดินขึ้นลงเขาอยู่หลายรอบเวลานี้ที่มุมหนึ่งของบ้านก็มีผลท้อกองโตวางอยู่

“พี่รองท่านเก็บผลท้อมาเสียมากมายจะเอามาทำอะไรหรือขอรับ”

ซ่งหานลู่เอ่ยถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงสงสัย ขณะที่ซ่งต้าลู่ได้แต่ถอนหายใจยาวมองคนที่เพิ่งหายไข้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นปกติ

“ผลท้อกินมากไปจะท้องเสีย ครั้งหน้าเจ้าเก็บมาแค่ตะกร้าเดียวก็พอ”

“ใช่แล้วพี่รอง ท่านอย่าได้เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้เลย พวกเรากินผลท้อพวกนี้ไม่หมดหรอก”

เด็กชายวัยห้าขวบเอ่ยสั่งสอนพี่สาวคนรองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจริงจังราวกับบุรุษวัยห้าสิบ ซ่งไป๋ลู่ที่เห็นเช่นนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ยกมือขึ้นดีดหน้าผากเล็กของอีกฝ่ายเบาๆ อย่างหยอกล้อ

“ผู้ใดว่าพี่สาวเจ้าจะเอามากินเล่า”

“หากไม่เอามากินแล้วจะเก็บมาทำไมกัน”

ซ่งต้าลู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น ในใจก็เกิดความรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย เพราะเขาดูแลนางไม่ดี ปล่อยให้อดอยากใช่หรือไม่ ซ่งไป๋ลู่จึงไม่รู้จักหักห้ามใจ เมื่อเห็นของกินก็เก็บมาอย่างละโมบเช่นนี้ หากแต่ยามที่คิดจะตำหนินางภาพดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาก็ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจยาว

“ข้าไม่ได้เก็บมากินแต่จะเอาไปขายเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ท่านพอจะช่วยข้าได้หรือไม่”

ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนาน้องสาวของเขาไม่รู้หนังสือ ยิ่งหลักการคิดคำนวณยิ่งยากเกินตัว เช่นนี้จะทำการค้าได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องที่น้องสาวเขาตั้งใจลงมือถึงเพียงนี้เขาจะไม่ส่งเสริมได้อย่างไร

“ได้! เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะช่วยเจ้าขนผลท้อหกตะกร้านี้ไปหาท่านลุงกู้ ฝากเขาเอาไปขายในเมื่องให้”

“จะฝากผู้อื่นไปได้อย่างไร เรื่องนี้ข้าย่อมต้องไปจัดการเอง”

ซ่งต้าลู่ถอนหายใจอีกครั้ง ค้าขายไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าเมื่อซ่งไป๋ลู่ต้องการลงมือเขาก็ไม่ได้เอ่ยขัดใจคนอยากขายของ เพราะไม่ว่าจะขาดทุนหรือได้กำไรล้วนไม่สำคัญขอเพียงนางพอใจก็พอแล้ว เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่เอ่ยขัด ซ่งไป๋ลู่ก็ยิ้มกว้าง

“เช่นนั้นเราไปตั้งแต่เช้ามืดได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้ท่านป้าใหญ่รู้เรื่องนี้”

ซ่งต้าลู่ย่อมเข้าใจความคิดของน้องสาว เรื่องนี้หากให้ป้าใหญ่ของพวกเขารู้เข้าเกรงว่าภายหน้าน้องรองของเขาคงถูกไล่ให้ขึ้นเขาไปเก็บผลท้อทุกวันอย่างแน่นอน

...................................................

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทพิเศษ

    บทพิเศษสายลมเหมันต์พัดผ่าน หิมะขาวโปรยปรายร่วงหล่นองค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันยืนอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเสี่ยวอัน สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องล่าง“ถวายพระพรองค์ชายรอง”เสียงเอ่ยด้วยความนอบน้อมจากด้านหลังดึงสายตาของเขาให้หมุนตัวกลับมามองอีกฝ่าย“ลุกขึ้นเถิด ท่านอาจารย์หลิว หมอหลวงถัง”หลิวชงซิว และ ถังซานอี้ ขยับตัวลุกขึ้น หากแต่ยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบ“หลายปีมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”“ได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของพวกกระหม่อม”ฟู่ฉ่าคังอันยกมุมปากขึ้นยิ้ม สายตามองคนทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจและขอบคุณอยู่ในที การซ่อนตัวแฝงกายเพื่อสืบข่าวในต่างแคว้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการแทรกซึมขึ้นเป็นคนสำคัญที่ต่างแคว้นไว้วางใจ“ตอนนี้เจียงเป่ยและต้าหยางลงนามผูกพันธมิตรร้อยปี ต่อไปคงไม่มีสงครามอีก ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเรียกตัวพวกท่านกลับเจียงเป่ยเพื่อตกรางวัล”เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด สองสายลับก็ทรุดตัวลงก้มหน้าคุกเข่า“องค์ชายได้โปรดเมตตา พวกกระหม่อมไม่ปรารถนาของรางวัลหรือลาภยศใดๆ เพียงแต่ต่อจากนี้ขอให้ลบชื่อพวกเราออกจากบัญชีสายลับ”ลบชื่อออก นี่ไม่เท่ากับลบผลงานในหลายสิบ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 33.3 บทสุดท้าย 

    “เสี่ยวไป๋!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในคราวแรกนั้นค่อนข้างตื่นตระหนกดีใจ หากแต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นเศร้าหมอง ยืนนิ่งเอ่ยออกมาเสียงบางเบา“สบายดีหรือไม่”ซ่งไป๋ลู่ในชุดสีแดงอ่อนแถบขาว เม้มริมฝีปากบางพยักหน้าตอบกลับ เมิ่งเฟยอวี่ยิ้มด้วยสายตาเจือความทุกข์ เอ่ยถามเสียงสั่น“มีเรื่องทุกข์ใจ หรือใครทำให้รู้สึกยากลำบากไหม”ดวงตาคมมองใบหน้าที่ส่ายไปมา ด้วยใจคะนึงหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นเท้าเล็กก้าวเข้ามาหาตน“อย่า อย่าเข้ามา...”“อาเล่อ ทำไม...”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ช่วยอยู่ให้นานหน่อยได้หรือไม่”คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันของซ่งไป๋ลู่พลันคลายออก ในดวงตาปรากฏความรู้สึกผิดที่ชัดเจน ไม่สนใจคำห้ามปรามของเขาวิ่งเร็วพร้อมโถมตัวเข้าโอบกอดร่างหนา“เสี่ยวไป๋ ทำไมเจ้าจึงกอดข้าได้”เมิ่งเฟยอวี่ยังคงตื่นตกใจ สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะจางหายไป“ข้าไม่เพียงแค่กอดเจ้าได้แต่ยัง... จูบเจ้าได้ด้วย”ซ่งไป๋ลู่กล่าวจบสองมือที่กอดกายหนาก็ขยับขึ้นโอบลำคอแกร่ง เขย่งปลายเท้ากดแนบริมฝีปากของตนลงบนปากหยักของเมิ่งเฟยอวี่ร่างกายของเมิ่งเฟยอวี

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 33.2 บทสุดท้าย

    ห้าวันต่อมาทั่วทั้งต้าหยางก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาว่าองค์ชายห้าหลงเจิ้นซีก่อกบฏ ตระกูลจางเก้ารุ่นถูกสังหารภายในคืนเดียว บรรดาขุนนางที่ร่วมมือถูกประหารไปนับสิบคน พระสนมจางเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย หากแต่เพียงครึ่งเดือนต่อมาทุกอย่างก็สงบลง“ได้ยินว่าองค์ชายห้าใช้โอกาสตอนไปจัดการปัญหาทางเหนือ ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ โชคดีที่องค์ชายรองแคว้นเจียงเป่ยยื่นมือเข้ามาช่วยเปิดโปง ไม่เช่นนั้นหากเกิดกบฏกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไร”“ยังต้องขอบคุณที่ปรึกษาเมิ่งด้วย ได้ยินว่าเขาให้บัณฑิตใหม่ปีนี้แฝงตัวเข้าสืบความ จึงได้รายชื่อขุนนางโฉดทั้งหมดออกมา”“ใช่ๆ เขายังเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวหน้าหวงแห่งกองอาชาเหล็กร่วมมือกันเข้าจับกุมองค์ชายกบฏ ดังนั้นจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไม่เดือดร้อนชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”เรื่องราวการปราบกบฏครั้งนี้ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองด้วยความตื่นเต้นของชาวบ้าน ขณะที่ซ่งไป๋ลู่ได้แต่รับฟังอย่างสงบ“พี่รอง เหตุใดท่านจึงดูสงบนัก ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว”“หากข้าบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 33.1 บทสุดท้าย

    “อาไป๋นอนหรือยัง”เสียงซ่งต้าลู่ดังขึ้นที่หน้าห้อง ซ่งไป๋ลู่ก็หมุนตัวออกมาเปิดประตูในทันที“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงตื่นตัวและกังวลอยู่ตลอดเวลา“ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไร ข้าเพียงต้องการบอกบางอย่างกับเจ้า”ซ่งไป๋ลู่เห็นใบหน้าของพี่ชายมีความกังวลแฝงอยู่ก็คาดเดาได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังจะบอกกับนางนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามานั่งด้านในห้อง รินชาร้อนแล้วส่งให้เขาซ่งต้าลู่รับถ้วยชามาจากน้องสาว ทว่ากลับไม่ได้ยกมันขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งกำถ้วยชาแน่น ส่วนอีกข้างกำกล่องไม้บนตักเอาไว้แน่นหากซ่งไป๋ลู่รู้ว่าระหว่างเขากับนางไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด สายตาที่ห่วงใยนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ซ่งต้าลู่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ที่เขากลัวก็คือ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และห่วงใยคู่นี้จะเปลี่ยนไป เพียงแต่ให้หวาดกลัวเพียงใดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ดังนั้นมือหนาจึงวางกล่องไม้ที่เขาเก็บเอาไว้เกือบสิบหกปีลงตรงหน้าซ่งไป๋ลู่“พี่ใหญ่นี่คือ...”“ของที่มารดาเจ้ามอบไว้ให้”มารดาของนาง ไม่ใช่มารดาของเขาหรือ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 32.3 สตรีของข้า

    “เช่นนั้นคงต้องรบกวนองค์ชายห้า แสดงของในมือแล้ว”“เมิ่งเฟยอวี่!”“กระหม่อมอยู่นี่ รอดูของในมือพระองค์ด้วยความตั้งใจ”“บังอาจ! เหวินเสียนไปชิงสตรีของข้าคืนมา”สิ้นคำสั่งของหลงเจิ้นซี องครักษ์ลับร่วมห้าสิบชีวิตก็ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าแม้จะตกเป็นรองแต่เมิ่งเฟยอวี่ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาคมดุจดจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะโต้กลับด้วยเสียงเยือกเย็น“มีใครกล้าก็เข้ามา”มือหนาดึงซ่งไป๋ลู่ไปไว้เบื้องหลัง ขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง ข้างกายมีคนติดตามอีกร่วมสิบชีวิตกระชับกระบี่ในมือด้วยท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกัน“ปกป้องแม่นางซ่ง!”เสียงปริศนาดังขึ้น พริบตาชายในชุดสีน้ำตาลก็ทะยานตัวมาเป็นเกราะคุ้มกันที่ด้านหน้าเมิ่งเฟยอวี่อีกชั้น หลงเจิ้นซีตวัดสายตามองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมเนื้อดีตามแบบวัฒนธรรมชาวเจียงเป่ย“องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอัน!”คำเรียกขานที่แจ้งสถานะของผู้สอดมือทำให้องค์ชายห้าหลงเจิ้นซีขบกรามแน่น“นี่เป็นเรื่องภายในของต้าหยาง องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”“แม่นางซ่งเป็นน้อง... เป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นไม่ว่าใคร

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 32.2 สตรีของข้า

    เสวียนรั่วซีกำกระบี่ในมือแน่น นางอยู่บ้านซ่งมาหลายปีเสี่ยวโกวแม้เป็นเพียงสุนัขแต่ก็ผูกพันราวญาติคนหนึ่ง หากแต่แม้แค้นเคืองจนตัวสั่นทว่าเสวียนรั่วซีก็ไม่คิดทำให้ซ่งไป๋ลู่เดือดร้อนเพราะความวู่วามของตน“สักวันข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวโกว”“รั่วซีระวังหน่อย”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา แม้คำพูดของเสวียนรั่วซีจะดังเพียงแค่ให้ได้ยินเข้ามาในเกี้ยว แต่คนของหลงเจิ้นซีล้วนมากฝีมือ ดังนั้นจึงควรระวังให้มาก เพียงแต่แม้จะเอ่ยเตือนเสวียนรั่วซีไปเช่นนั้น ทว่าในความเป็นจริงตัวนางเองก็ยากจะควบคุมโทสะในใจ มือกำเข้าหากันแน่น จนปลายเล็บกดลงไปในอุ้งมือเป็นรอยแผล สองตาแดงก่ำใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาตำหนักเจิ้นซีอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง ในขณะที่จวนซ่งอยู่ทางตะวันตกดังนั้นขบวนเจ้าสาวนี้จึงเดินทางผ่านผู้คนมากมายกว่าครึ่งเมือง เพียงไม่นานเรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ทิ้งกู้เหยียน ขึ้นเกี้ยวใหม่แต่งเข้าเป็นพระชายาองค์ชายห้าก็ดังไปทั่ว“หยุดเกี้ยว!”เสียงแม่สื่อด้านหน้าขบวนร้องบอก ก่อนที่เกี้ยวเจ้าสาวจะหยุดลง ซ่งไป๋ลู่ใจสั่นระรัว แม้จะบอกว่านางเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนลึกก็ยังคงคาดหวังว่าสวรรค์จ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status